ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3 เดือนแรกของ ปี 2566 ยอดขายลดลง 29.1%
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 1/2566 ยอดขายในภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลดลง -29.1% สาเหตุหลักจากยอดขายอาคารชุดเพราะขาดแรงส่งจากโครงการใหม่ที่ลดลงจากปีก่อนมาก แต่ยอดขายบ้านแนวราบช่วยพยุงไว้ ส่งผลให้หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายรวมในตลาดเพิ่ม 7.8%
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานผลสำรวจภาคสนามอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย สำหรับรายไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยสำรวจเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ซึ่งพบว่า ในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล พบว่า
สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย (แนวราบและอาคารชุด) ปรับตัวลงแรง
ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลการที่ภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) 204,226 หน่วย มูลค่า 989,251 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.3 และ 4.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 21,680 หน่วย หรือเพียง 10.62% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่า 82,246 ล้านบาท หรือเพียง 8.31% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งหน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ -26.0 และ -22.5 ตามลำดับ
เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ที่เกิดในไตรมาสจำนวน 21,291 หน่วย มูลค่า 105,768 ล้านบาท พบว่าลดลงร้อยละ -29.1 และ -22.0 และมีอัตราการดูดซับที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.5%/เดือน หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 26 เดือน (ลดลงจากปีก่อน 5.0% และระยะเวลาขายหมด 17 เดือน)
แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงของยอดขายอาคารชุด และประกอบกับส่วนต่างของหน่วยเปิดตัวใหม่มากกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 389 หน่วย ส่งผลให้หน่วยที่เหลือขายภาพรวมที่อยู่อาศัย(แนวราบและอาคารชุด)ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 182,935 หน่วย มูลค่า 883,484 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.8% และ 9.4% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ
เมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า หน่วยที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยแนวราบ 124,723 หน่วย มูลค่า 679,672 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.9 และ 13.0 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งพบว่า ประเภทบ้านที่มีการขยายตัวของหน่วยเสนอขายมากได้แก่ บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮ้าส์ ที่มีจำนวนหน่วยขยายตัวจากปีก่อนถึงร้อยละ 13.0 และ 2.8 โดยมูลค่าขยายตัวร้อยละ 21.5 และ 2.0 ตามลำดับในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่เพียง 8,699 หน่วย หรือเพียง 6.97% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด และ มูลค่า 51,473 ล้านบาท หรือเพียง 7.57% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งหน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ -16.8 และ -12.8 ตามลำดับ โดยประเภทที่มีการลดลงมากคือ ทาวน์เฮ้าส์ ที่ลดลงทั้งหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ -23.4 และ -35.3
เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของที่อยู่อาศัยแนวราบที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 11,581 หน่วย ขยายตัวร้อยละ 5.1 และ มูลค่า 69,599 ล้านบาทลดลงร้อยละ -0.02 และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 3.1%/เดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 29 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบค่อนข้างคงตัวเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้
- บ้านแฝด เป็นประเภทที่มียอดหน่วยและมูลค่าการขายได้ใหม่ขยายตัวมากสุดถึงร้อยละ 6 และ 11.5 แม้ว่าจะยังมีขนาดของตลาดยังไม่ใหญ่ และยังมีอัตราการดูดซับที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น
- บ้านเดี่ยวมียอดขายใหม่ในไตรมาสนี้ที่ขยายตัวทั้งหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ 8 และ 3.2 โดยมีอัตราการดูดซับที่ 3.3% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 27 เดือน (ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 3.5% และระยะเวลาขายหมด 26 เดือน)
- ทาวน์เฮ้าส์ พบว่า ยอดขายใหม่ แม้จะมีขนาดตลาดที่ใหญ่ และยังมีการขยายตัวของหน่วยขายใหม่ร้อยละ 8 แต่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ ลดลงร้อยละ -7.4
แสดงให้เห็นว่า ตลาดบ้านเดี่ยว และ ทาวเฮ้าส์ ยังคงมีการขยายตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีการตอบรับที่ดีจากตลาดมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เนื่องจากราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการที่ยอดขายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และมีหน่วยเปิดตัวใหม่น้อยกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ถึง -2,882 หน่วย ส่งผลให้หน่วยที่เหลือขายของที่อยู่อาศัยแนวราบ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 113,142 หน่วย มูลค่า 610,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1% และ 14.7% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บ้านเดี่ยว และ บ้านแฝด มีการขยายตัวของหน่วยเหลือขายอย่างมากถึงร้อยละ 13.4 และ 15.1 ขณะที่มูลค่าก็มีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 24.2 และ 19.5 สำหรับ ทาวน์เฮ้าส์ มีหน่วยเหลือขายขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.9 และ 3.1 การที่อัตราขยายตัวของมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าของจำนวนหน่วยได้สะท้อนเห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการปรับราคาขึ้นจากปีก่อนอีกด้วย
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด
ตลาดอาคารชุด ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า หน่วยที่มีการเสนอขายอาคารชุด 79,503 หน่วย มูลค่า 309,579 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -4.3 และ -9.5 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเกิดจากโครงการอาคารชุดเปิดตัวใหม่สูงถึง 12,981 หน่วย หรือ 16.33% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด และ มูลค่า 30,773 ล้านบาท หรือ 9.94% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งหน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ -31.1 และ -34.7 ตามลำดับ และเมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของอาคารชุดที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 9,710 หน่วย มูลค่า 36,169 ล้านบาท พบว่าลดลงร้อยละ -48.9 และ -45.2 และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 4.1%/เดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 21 เดือน
ทั้งนี้ สาเหตุที่หน่วยเปิดใหม่และหน่วยขายได้ใหม่ของอาคารชุดปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนนั้น มาจากการที่การเปิดตัวใหม่เป็นจำนวนมากและสามารถสร้างยอดขายใหม่จากโครงการอาคารชุดที่เป็นโครงการบ้านล้านหลัง หรือ โครงการ BOI ที่เปิดขึ้นจำนวนมากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปี 2565 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่เริ่มกลับมามากขึ้นและเริ่มขยับเข้ามามีจำนวนใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 แต่ยอดขายยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19
แม้ว่าหน่วยเปิดตัวใหม่ของจะลดลงมาก แต่ยอดขายใหม่ก็ปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาสนี้เช่นกัน โดยพบว่ามีหน่วยเปิดตัวใหม่มีจำนวนมากกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ถึง 3,271 หน่วย ส่งผลให้หน่วยที่เหลือขายของอาคารชุดในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 69,793 หน่วย ขยายตัวร้อยละ 9.0% และมีมูลค่า 273,411 ล้านบาท ลดลง -0.9% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา
ผลจากการสำรวจภาคสนามยังได้แสดงให้เห็นทำเลศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยแนวราบที่ 3.1%/เดือน ประกอบด้วยโซน (1) บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 2,674 หน่วย มูลค่า 16,579 ล้านบาท และ อัตราดูดซับ 5.0%/เดือน (2) เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 1,477 หน่วย มูลค่า 5,394 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7%/เดือน (3) บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 942 หน่วย มูลค่า 5,521 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 1.8%/เดือน (4) คลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง ยอดขาย 918 หน่วย มูลค่า 5,990 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 5.6%/เดือน (5) เมืองสมุทรสาคร ยอดขาย 821 หน่วย มูลค่า 3,091 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.2%/เดือน
อย่างไรก็ตาม ทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ (1) บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,803 หน่วย มูลค่า 80,150 ล้านบาท (2) บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย 15,221 หน่วย มูลค่า 84,580 ล้านบาท (3) ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 13,726 หน่วย มูลค่า 54,287 ล้านบาท (4) ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 12,146 หน่วย มูลค่า 43,574 ล้านบาท และ (5) ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,021 หน่วย มูลค่า 40,796 ล้านบาท
สำหรับทำเลศักยภาพของตลาดอาคารชุด ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยอาคารชุดที่ 4.1%/เดือน ประกอบด้วยโซน (1) คลองหลวง-หนองเสือ ยอดขาย 1,628 หน่วย มูลค่า 3,550 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 14.4%/เดือน (2) ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ยอดขาย 799 หน่วย มูลค่า 2,539 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.8%/เดือน (3) ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 775 หน่วย มูลค่า 2,010 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7%/เดือน และ (4) ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ยอดขาย 758 หน่วย มูลค่า 1,468 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.5%/เดือน นอกจากนั้น ยังมี ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ที่มียอดขายเป็นอันดับ 5 จำนวน 689 หน่วย มูลค่า 2,674 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 2.7%/เดือน เป็นทำเลที่ยังได้รับความสนใจในการหาซื้ออาคารชุดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่มีจุดอ่อนคือมีอุปทานในตลาดมาก
ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายของอาคารชุดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ (1) ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขาย 8,544 หน่วย มูลค่า 27,045 ล้านบาท และ (2) ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขาย 7,951 หน่วย มูลค่า 31,786 ล้านบาท (3) ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เหลือขาย 6,432 หน่วย มูลค่า 14,774 ล้านบาท (4) ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ เหลือขาย 6,204 หน่วย มูลค่า 18,007 ล้านบาท และ (5) ทำเลสุขุมวิท เหลือขาย 5,348 หน่วย มูลค่า 47,222 ล้านบาท
“ผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนในเชิงมูลค่ายอดขายของตลาดถึง 69,599 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 65.8 แต่อาคารชุดมีมูลค่าตลาดรวม 36,169 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 34.2 ของมูลค่าตลาดโดยรวม
แต่สิ่งที่มีน่าจะเป็นข้อสังเกตที่สำคัญ คือ จังหวัดที่มียอดขายใหม่ของบ้านจัดสรรมากที่สุดคือ จังหวัดสมุทรปราการที่มีจำนวนถึง 4,151 หน่วย มูลค่า 21,974 ล้านบาท รองลงมาที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 2,734 หน่วย มูลค่า 27,105 ล้านบาท แต่หน่วยเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่จังหวัดปทุมธานีมากสุดถึง 35,893 หน่วย มูลค่า 138,658 ล้านบาท ทั้งที่จังหวัดปทุมธานีที่มียอดขายเป็นอันดับ 3 เท่านั้น ทำให้ปทุมธานีมีอัตราการดูดซับเพียง 1.3%/เดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 74 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 3.1%/เดือน ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดบ้านแนวราบในจังหวัดปทุมธานีเริ่มมีภาวะ Oversupply แล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจในการลงทุนเป็นพิเศษ
ขณะที่ตลาดอาคารชุดยังคงอยู่ในพื้นที่เป็นหลัก โดยจังหวัดที่มียอดขายสูงสุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนถึง 5,221 หน่วย มูลค่า 24,686 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายกว่าร้อยละ 60 ของการขายห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รองลงมาที่จังหวัดปทุมธานี มีจำนวน 2,205 หน่วย มูลค่า 4,664 ล้านบาท แต่หน่วยเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 และ จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวน 1,227 หน่วย มูลค่า 4,732 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครก็ยังมีหน่วยเหลือขายสูงสุดถึง 47,225 หน่วย มูลค่า 225,596 ล้านบาท ทำให้มีอัตราการดูดซับเพียง 3.3%/เดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 27 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 4.1%/เดือน ขณะที่จังหวัดปทุมธานีและสมุทรปราการมีอัตราการดูดซับถึง 7.3% และ 5.3%/เดือน ซึ่งสะท้อนว่า ตลาดอาคารชุดของกรุงเทพมหานครยังคงมีการแบกอุปทานที่หนักอยู่ หากต้องการลงทุนอาจต้องพิจารณาถึงอุปทานในแต่ละ Segment ของราคาและรูปแบบของแต่ละทำเลอย่างละเอียดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการฯ คงต้องติดตามดูทิศทางทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัจจัยลบของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิดอีกด้วย” ดร.วิชัย กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thinkofliving.com
ศุภาลัย รุกนครปฐม! ลุยเกมรุกเปิดตัว 2 โครงการ พร้อมเจาะตลาดทุกเซกเมนต์ [PR News]
ศุภาลัย เดินหน้าชิงบัลลังก์จ้าวตลาดอสังหาฯภูมิภาค ปักหมุดจังหวัดใหม่ “นครปฐม” ลุยเปิดตัว 2 โครงการ “ศุภาลัย วิลล์ สามพราน – เพชรเกษม” และ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ บางแขม – นครปฐม” บนทำเลศักยภาพเดินทางสะดวก พร้อมยกระดับชีวิตและตอบโจทย์ความต้องการทุกเซกเมนต์ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ที่ให้ความมั่นใจในวัสดุและคุณภาพงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐานจากศุภาลัย ราคาเริ่มต้น 2.59 – 8 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก.ค. – ส.ค. นี้
นางสาวธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและการขาย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาที่ดินใน จ.นครปฐม มีการปรับตัวสูงขึ้นทุกปี แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีฐานราคาซื้อขายยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับที่ดินในเขตชั้นในของเมือง ทำให้สามารถนำไปพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาที่สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยจริงในปัจจุบันได้ อีกทั้งนครปฐมยังได้รับความเจริญจากเขตเมืองเนื่องจากติดกับกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาเดินทางเข้า-ออกเมืองเพียงแค่ 1 – 1.30 ชม. ส่งผลให้ตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ จ.นครปฐม ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ศุภาลัยผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจปักหมุดเปิดตัว 2 โครงการใหม่ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นจังหวัดใหม่ที่บริษัทฯเข้าไปลงทุนพัฒนาในมูลค่าโครงการรวม 1,750 ล้านบาท ทั้ง “ศุภาลัย วิลล์ สามพราน – เพชรเกษม” และ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ บางแขม – นครปฐม” กับแบบบ้าน Tropical Modern ด้วยแนวคิด Life is Better เพื่อ…ชีวิตที่ดีกว่า พร้อมยกระดับที่อยู่อาศัยด้วยวัสดุและคุณภาพงานก่อสร้างจากดีเวลลอปเปอร์มืออาชีพที่สั่งสมประสบการณ์กว่า 34 ปี เพื่อตอบโจทย์ผู้พักอาศัยสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างยั่งยืน
สัมผัสชีวิตที่ดีกว่ากับโครงการ ศุภาลัย วิลล์ สามพราน – เพชรเกษม บนพื้นที่โครงการกว่า 40 ไร่ กับแบบบ้าน Tropical Modern Series ที่ตอบโจทย์ครอบครัวนิวเจนถึง 5 แบบ ทั้งบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 119 – 208 ตร.ม. 3 – 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ มาพร้อมวัสดุพรีเมียมประหยัดพลังงาน ให้ความสะดวกสบายด้วยระบบ Home Automation ทุกหลัง ขณะที่บ้านเดี่ยวมีจุดรองรับ EV Charger ให้ได้ใช้ชีวิตแบบ ECO ท่ามกลางบรรยากาศ ผ่อนคลายใกล้ชิดธรรมชาติ กับสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำแร่, ห้องออกกำลังกาย และ สนามเด็กเล่น อีกทั้งอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย CCTV ตลอด 24 ชม. พร้อมระบบเข้า-ออกแบบสแกนป้ายทะเบียน เดินทางสะดวกรวดเร็วเนื่องจากโครงการปักหมุดใจกลาง อ.สามพราน ที่เชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญ ทั้งถนนเพชรเกษม, บรมราชชนนี และพุทธมณฑลสาย 5 ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับกับทุกการใช้ชีวิต อาทิ โลตัสสามพราน, เซ็นทรัลศาลายา, โรงพยาบาลสามพราน, โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และโรงเรียนสามพรานวิทยา โดยโครงการ “ศุภาลัย วิลล์ สามพราน – เพชรเกษม” พร้อมให้จับจองแปลงสวยหน้าโครงการได้ในงานเปิดตัว 22-23 กรกฎาคมนี้ ในราคาเริ่มต้น 2.59 – 7 ล้านบาท
ยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นกับอีกหนึ่งโครงการคุณภาพ ศุภาลัย ปาล์มวิลล์ บางแขม-นครปฐม ที่มาพร้อมบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดดีไซน์ล่าสุด Tropical Modern Series บนพื้นที่โครงการกว่า 42 ไร่ และให้ความส่วนตัวกับจำนวนบ้านเพียง 166 ยูนิต โดยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 149 – 261 ตร.ม. 3 – 4 ห้องนอน 3 – 4 ห้องน้ำ 2 – 3 ที่จอดรถ พร้อม Home Automation ให้ชีวิตง่ายขึ้นในบ้านทุกหลัง ร่มรื่นกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่เกือบ 8,000 ตร.ม. พร้อมจัดเต็มส่วนกลางครบครันทั้ง ห้องออกกำลังกาย, สวนสาธารณะ, สนามเด็กเล่น และสระว่ายน้ำ พร้อม CCTV รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงและระบบเข้า-ออกแบบสแกนป้ายทะเบียน อีกทั้งโครงการยังตั้งอยู่บนทำเลสำหรับที่อยู่อาศัยเงียบสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็ใกล้ใจกลางเมืองและแหล่งความเจริญ โรงพยาบาล สถานศึกษาและแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เซ็นทรัลนครปฐม, โลตัส นครปฐม, โรงพยาบาลสินแพทย์ นครปฐม, โรงพยาบาลกรุงเทพ สนามจันทร์, โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย ศิลปากร, พระราชวังสนามจันทร์ และองค์พระปฐมเจดีย์ พร้อมเปิดให้จอง 19 – 20 สิงหาคมนี้ ราคาเริ่ม 5.19 – 8 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thinkofliving.com
‘โคเวย์’ ตั้งเป้าชิงเบอร์ 1 ตลาดเครื่องกรองน้ำในไทย
นายเชซอง อิม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โคเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด แบรนด์เครื่องกรองน้ำ และเครื่องอากาศ จากประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า บริษัทเดินหน้ารุกตลาดเครื่องกรองน้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จเมื่อรุกทำตลาดจริงจังในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และในช่วง 6 เดือนของปีนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้างยอดขายเป็นอันดับ 1 บริการน้ำดื่มระบบการสมัครสมาชิก (Subscription) จากกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้แคมเปญ Just Drink
“ดังนั้นจึงเร่งสร้างโมเมนตัมต่อใน 6 เดือนที่เหลือของปี กับการเปิดตัวนวัตกรรมเครื่องกรองน้ำรุ่นใหม่ COWAY PRIME (โคเวย์ ไพร์ม) ในราคา 990 บาทต่อเดือน พร้อมรับประกัน 5 ปี เพื่อผลักดันเป้าหมายที่ต้องการให้โคเวย์สร้างยอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องกรองน้ำในประเทศไทย และตั้งเป้าจะมีฐานลูกค้า 1 ล้านครัวเรือนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งไทยเป็นตลาดที่เติบโตสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่โคเวย์ทำตลาดอยู่ จากปัจจุบันโคเวย์เป็นอันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และมาเลเซีย”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโคเวย์มีช่องทางการขายทั้ง ออฟไลน์ ผ่านตัวแทนจำหน่าย และบูธขายกว่า 200 แห่งรวมทั้งออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และลาซาด้า พร้อมกันนี้ในครึ่งปีหลังของปีนี้นอกจากเครื่องกรองน้ำแล้ว มีแผนจะรุกตลาดเครื่องกรองอากาศด้วย โดยเตรียมนำเข้านวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายขึ้น เนื่องจากต้องยอมรับว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และพร้อมใช้จ่ายกับสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการรุกทำตลาด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในอนาคตต้องการเป็นผู้นำด้านสินค้าสุขภาพในตลาดไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก khaosod.co.th
ลูกยางสาวตุรกี ฟอร์มเฉียบไล่อัด จีน คว้าแชมป์วอลเลย์บอล เนชันส์ ลีก สมัยแรก
วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติตุรกี ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะ จีน ไป 3-1 เซ็ต คว้าแชมป์เนชันส์ ลีก 2023 ไปครอง พร้อมเป็นแชมป์รายการนี้สมัยแรก
การแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก 2023 รอบชิงชนะเลิศ ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ทีมชาติตุรกี อันดับ 2 ของโลก พบกับ ทีมชาติจีน อันดับ 4 ของโลก
ผลปรากฏว่าเป็น ตุรกี ซึ่งนำทัพโดย อีบราร์ คาราคูร์ต และเมลิสซา วาร์กัส ที่เอาชนะไป 3-1 เซ็ต ด้วยสกอร์ 25-22, 22-25, 25-19 และ25-16 คว้าแชมป์เนชันส์ลีก 2023 ไปครอง พร้อมเป็นแชมป์รายการนี้สมัยแรก
ส่วนผลนัดชิงอันดับ 3 ทีมชาติโปแลนด์ เฉือนชนะ สหรัฐอเมริกา เจ้าภาพไป 3-2 เซ็ต 25-15, 16-25, 25-19, 18-25 และ17-15
ขอบคุณข้อมูลจาก khaosod.co.th
7 ข้อที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหาร
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังกินอิ่ม เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรค ด้วย 7 วิธีต่อไปนี้
1.อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้องคุณ ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?! การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เคลียร์ให้ชัด! ตัวย่อและคำศัพท์สำหรับสายบัญชี
สำหรับใครหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับงานสายบัญชี เวลาที่ต้องมาอ่านงบการเงินหรือรายงานการเงิน อาจจะรู้สึกสับสนกับคำศัพท์และตัวย่อสาย Accounting ที่มีอยู่มากมาย จนทำให้ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ซึ่งคำศัพท์ที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นคำเฉพาะทาง ที่ยากต่อการคาดเดาความหมายโดยไม่มีความรู้มาก่อน แต่ปัญหาพวกนี้จะหมดไป เพราะ JobsDB ได้รวบรวม ตัวย่อและคำศัพท์สำหรับสายบัญชี หรือ Accounting มาให้ทุกคนทำความเข้าใจกันแล้ว
- Capital Expenditure — CAPEX คือ ค่าใช้จ่ายในการลงทุน เป็นการลงทุนเพื่อสร้างสินทรัพย์ระยะยาว เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และอุตสาหกรรมอุปกรณ์เทคโนโลยี เป็นต้น
- Cost of Goods Sold — COGS คือ ต้นทุนขาย ชื่อนี้สามารถพบได้ในงบการเงินที่รายงานผลประกอบการเป็นภาษาอังกฤษ
- Earnings Before Interest and Taxes — EBIT คือ กำไรจากการดำเนิน เป็นผลการดำเนินงานของกิจกรรมทั้งหมดก่อนภาษีเงินได้และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
- Earnings Before Interest Taxes Depreciation and Amortization EBIT — EBITDA คือ กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยเงินกู้ บวกด้วย ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และ ค่าจัดจำหน่าย (Amortization)
- Earnings per Share — EPS คือ กำไรต่อหุ้น หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดของงบการเงิน
- First In First Out — FIFO คือ วิธีจัดการและวัดมูลค่าของสินทรัพย์ โดยสินค้าที่เข้าคลังก่อนให้รีบใช้งานหรือนำออกและหมุนเวียนก่อน เพื่อลดความเสื่อมสภาพและรักษามูลค่าของสินทรัพย์โดยรวม หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “การเข้าก่อนออกก่อน”
- Generally Accepted Accounting Principles — GAAP คือ หลักการบัญชีที่รับรอง
- Generally Accepted Audit Standards — GAAS คือ การยอมรับโดยทั่วไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี
- Gross Profit — GP คือ กำไรขั้นต้น เป็นความแตกต่างระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขาย COGS
- Initial Public Offering — IPO คือ การเสนอขายหุ้นที่ขายให้กับประชาชนทั่วไป
- Last In First Out — LIFO คือ วิธีจัดการและวัดมูลค่าของสินทรัพย์ โดยสินค้าที่เข้าคลังทีหลัง ให้จ่ายออกไปก่อน เหมาะสำหรับสินค้าที่มีอายุจำกัด เช่น สารเคมี หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “การหลังก่อนออกก่อน”
- Net Operating Profit After Tax — NOPAT คือ ผลการดำเนินงานสุทธิหลังหักภาษี
- Net Present Value — NPV คือ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ เป็นคำที่ใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนในโครงการที่เป็นความแตกต่างระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออกของเงินสดที่ได้รับในปัจจุบัน
- Net sales คือ ยอดขายสุทธิ หลังจากหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ครบทุกอย่างแล้ว
- Operational Expenditure — OPEX คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
- Profit and Loss — P&L คือ กำไรและขาดทุน หนึ่งในรูปแบบหลักของงบการเงิน
- Purchase Order — PO คือ ใบสั่งซื้อ หรือใบที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อของบริษัท ใช้สำหรับส่งให้กับผู้ขายเพื่อสั่งซื้อสินค้า
- Return on Assets — ROA คือ ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์
- Return on Equity — ROE คือ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น
- Return on Investment — ROI คือ ผลตอบแทนการลงทุน ตัวบ่งชี้สำคัญสำหรับคนที่นำเงินมาลงทุนในธุรกิจ เพราะแสดงถึงสัดส่วนของกำไรที่จะลงทุน
- Return on Sales — ROS คือ ผลตอบแทนจากการขาย
- Weighted Average Cost of Capital — WACC คือ ดัชนีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์ทางการเงินในการประเมินค่าใช้จ่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก th.jobsdb.com
5 เคล็ดลับ ยืดอายุให้ “แบตเตอรี่” โน๊ตบุ๊กทนทาน เสื่อมช้าลง
1. ห้ามปล่อยโน๊ตบุ๊คแบตหมดจนดับ
ไม่ควรทำอย่างยิ่งที่จะใช้โน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนจนแบตเตอรี่หมดแล้วดับคามือไปเลย แล้วชาร์จกลับไปจนเต็ม 100% เพราะมันทำร้ายแบตเตอรี่ของเราอย่างร้ายแรงแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น วิธีที่ถูกต้องนั้นควรใช้งานให้แบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จกลับมาจนเต็ม 100% ควรทำเพียง 1 ครั้งในรอบหนึ่งถึงสามเดือน เพื่อให้ตัวควบคุมกระแสและเซลแบตเตอรี่คำนวนความจุได้ถูกต้องและแม่นยำเหมือนเดิม
จากการทดลองของสถาบันต่างประเทศพบว่าการชาร์จและเลี้ยงไฟในแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 20-90% นั้นจะช่วยให้วงจรแบตเตอรี่และอาการแบตเตอรี่เสื่อมเกิดขึ้นช้ากว่าการใช้งานจนเครื่องดับไป
2. ถอดอุปกรณ์เสริมเกินจำเป็นออกไป
ถึงจะมีพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้เยอะก็ตามแต่สิ่งสำคัญ คือ เราควรต่ออุปกรณ์เสริมเข้ากับโน๊ตบุ๊คแต่เพียงพอดีและถอดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ออกไปเสมอ และไม่ควรปล่อยสายเชื่อมต่อต่าง ๆ ติดเอาไว้กับเครื่องเพราะจะกินแบตเตอรี่ของเราเป็นระยะ ๆ
3. ปิด Wi-Fi, Bluetooth เมื่อไม่จำเป็น
การเปิด Wi-Fi และ Bluetooth ทิ้งเอาไว้จะทำให้โน๊ตบุ๊คเปลืองแบตเตอรี่จนทำให้เราต้องชาร์จบ่อย ๆ และแม้จะยังไม่เชื่อมต่อก็ตาม ทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ก็จะทำการสแกนหาการเชื่อมต่ออยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้วซึ่งใช้งานแบตเตอรี่ของเราอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
4. อย่าเสียบปลั๊กค้างเอาไว้
เพราะโน๊ตบุ๊คถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้แบบไม่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลาเหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจึงไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กให้โน๊ตบุ๊คตลอดเวลาจะทำให้แบตเตอรี่ได้ใช้งานน้อยเกินไป ดังนั้นเราควรถอดปลั๊กและใช้งานโน๊ตบุ๊คด้วยแบตเตอรี่เป็นระยะ ๆ จะทำให้แบตเตอรี่มีการบริหารไฟฟ้าเข้าออก ช่วยให้รอบแบตเตอรี่ลดช้าลง แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำกว่า 20%
5. เปิดโหมด Best battery life เมื่อไม่ได้เสียบปลั๊ก (โหมดเซฟแบตเตอรี่)
ปุ่มคำสั่งนี้จะรวมอยู่กับไอคอนแบตเตอรี่ตรงมุมขวาล่าง ถ้าปรับไปเป็น Best battery life นอกจากจะทำให้แบตเตอรี่หมดช้าแล้ว ยังถนอมแบตเตอรี่ให้อายุใช้งานนานขึ้น เพราะตัวเครื่องจะอยู่ในโหมดจ่ายพลังงานน้อยและไม่ใช้ประสิทธิภาพสูงทำให้ไม่เร่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จนเกิดการเสื่อมสภาพเร็ว ซึ่งสามารถเปิดได้ตั้งแต่แบตเตอรี่ 100% เลยก็ได้ถ้าเราไม่ได้ใช้งานหนัก
ขอบคุณข้อมูลจาก komchadluek.net
“ดอกบัว” สรรพคุณ-ประโยชน์ เป็นอาหารที่มีคุณค่า เป็นยาก็ช่วยต้านโรค
“ดอกบัว” เราสามารถพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้กันได้มากก็ตามวัดวาอารามต่างๆ หรือในงานพิธีสำคัญทางศาสนา แต่ประโยชน์ของดอกบัวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เป็นดอกไม้มงคลเท่านี้นะ เพราะดอกบัวยังเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงาม แถมมีคุณค่าทางสารอาหารอยู่มากมายจึงใช้เป็นอาหารได้ด้วย ที่น่าสนใจอีกข้อคือมีสรรพคุณช่วยทำให้สุขภาพดีและแข็งแรง ส่วนจะดีมากน้อยอย่างไร ไปติดตามกันเลยค่ะ
ลักษณะ และ ประเภทของดอกบัว
หากจำแนกชนิดดอกบัวตามพฤกษศาสตร์แล้ว ดอกบัวมี ๒ ประเภท คือ
1. บัวหลวง (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lotus ภาษาไทยใช้คำว่า “ปทุมชาติ”) ลักษณะของบัวหลวง มีลำต้นอยู่ใต้ดินแบบเหง้าและไหล เมื่อเป็นต้นอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาวทอดอยู่ในตม แต่เมื่อโตเต็มที่จะมีต้นที่อวบอ้วนขึ้น มีข้อเป็นปล้องที่สามารถเกิดราก ใบ และแตกหน่อเป็นดอกใหม่ได้
ลักษณะของใบ เป็นใบเดี่ยว กลมใหญ่สีเขียวอมเทา ดอกสามารถชูได้เพียงสองหรือสามวันเท่านั้น ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อน ๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ เมื่อใบอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ ส่วนใบแก่ชูพ้นน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ส่วนดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ มีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว สีขมพู และสีเหลือง (แล้วแต่สายพันธุ์) มีกลิ่นหอมอ่อนๆ บานในเวลากลางวัน มักพบดอกบัวชนิดนี้ในทางทวีปเอเชียตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ ดอกบัวประเภทนี้มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนจึงปลูกได้ในประเทศไทย ประกอบกับกลีบดอกที่ใหญ่ สวยงาม คนไทยจึงนิยมนำดอกบัวหลวงจัดใส่แจกัน บูชาพระและใช้ประกอบในพิธีทางศาสนา
2. บัวสาย (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Water Lily ภาษาไทยใช้คำว่า “อุบลชาติ”) ลักษณะของบัวสาย มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เป็นหัวหรือเป็นเหง้า ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อ เติบโตขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด บางชนิดมีใบอยู่ใต้น้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว โดยขอบใบมีทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียดหรืออาจไม่มี ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน บางชนิดมีกลิ่นหอม และมีสีสันแตกต่างกันไป เรามักพบบัวสายอยู่ในแถบเอเชีย ยุโรป อัฟริกา ออสเตรเลีย และบริเวณเขตร้อนของอเมริกา
ดอกบัวไหว้พระ ความหมาย?
“ดอกบัว” ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความบริสุทธิ์ จึงไม่แปลกใจที่ส่วนใหญ่คนไทยมักนำดอกบัวไปจัดแจกันถวายพระ ใช้ในพิธีกรรรมต่างๆ หรือเป็นภาพวาด แกะสลักบนผนัง กำแพงวัด โดยมีความเชื่อว่า หากผู้ที่เลือกไม้มงคลอย่างดอกบัวเป็นดอกไม้ถวายพระ ผู้นั้นจะมีพลังสร้างสรรค์ และพบเจอแต่ความสำเร็จ ส่วนจะใช้ดอกบัวถวายพระกี่ดอกนั้นขึ้นอยู่กับความสวยงามของการจัดเรียงใส่ภาชนะ แต่หากอยากให้มีความหมาย ก็สามารถใช้ 3 ดอก (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือใช้ 4 ดอก ( บัว 4 เหล่า บุคคล 4 ประเภท) ก็ไม่ว่ากันค่ะ
สรรพคุณทางยา คุณค่าของ “ดอกบัว”
ในด้านคุณประโยชน์ของดอกบัวที่มีต่อร่างกายนั้น ดอกบัวถือเป็นดอกไม้ที่เราสามารถนำไปใช้เพื่อรักษาและป้องกันโรคภัยต่างๆ ได้ทุกส่วนกันเลยทีเดียว ตั้งแต่ดอกบัว เม็ดบัว รากบัว ไหลบัว สายบัว ใบบัว เกสรบัว และดีบัว เพราะแต่ละส่วนของดอกบัวล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญอย่างเส้นใยอาหาร น้ำตาล วิตามินบีหลายชนิด เกลือแร่ต่างๆ โคลีน แคลเซียม เหล็ก โซเดียม สังกะสี เป็นต้น
ทำให้ดอกบัวมีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและยาที่ให้ประโยชน์มากมายแก่สุขภาพ โดยจะทำให้การทำงานของร่างกายโดยรวมสมบูรณ์และแข็งแรงจากภายในออกมาสู่ภายนอก ช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ไม่ให้เสื่อมก่อนเวลาอันควร ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเจ็บป่วยให้น้อยลงหรือไม่มีเลยก็ได้
11 สรรพคุณของดอกบัว ประโยชน์ในการรักษาโรค
1. ดอกบัวเหมาะกับคนที่มีอาการอ่อนเพลีย เพิ่งหายจากอาการป่วยไม่สบาย หรือในหญิงตั้งครรภ์แล้วมีอาการแพ้ท้อง อาเจียนจนไม่มีแรง ให้กินเม็ดบัวอาจเป็นแบบสดหรือแบบแห้งก็ได้ เพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารหลายชนิดสูง เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ทำให้กลับมามีแรงยิ่งขึ้น
2. ดอกบัวมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด แก้อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และยังเป็นยาแก้ไอ แก้ไข้ ด้วยการหั่นใบบัวให้ละเอียด ตากแดดจนแห้ง จึงนำมาใช้มวนเพื่อสูดดมกลิ่น
3. ดอกบัวเกือบทุกส่วนมีคุณสมบัติที่ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน ท้องร่วง หรือมีอาการบิดเรื้อรัง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
4. ประโยชน์ของดอกบัวเป็นยาบำรุงร่างกายที่ดี ไม่ว่าจะเป็นกลีบดอก เม็ดบัว เกสรบัว ใบแก่หรือรากบัว ต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายสดชื่น บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงครรภ์ เป็นต้น
5. สรรพคุณของดอกบัวมีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียด มีอารมณ์หงุดหงิดหรือมีความวิตกกังวล ดูแลระบบประสาทและบำรุงสมอง ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
6. ดอกบัวใช้เป็นยาช่วยรักษาแผลพุพอง ฝาดสมานแผล และยังมีสรรพคุณช่วยห้ามเลือด ทำให้เลือดหยุดไหลออกมาได้เร็วขึ้น
7. ดอกบัวมีสรรพคุณช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเม็ดบัวที่เป็นแหล่งรวมของสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ของอวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็ว รวมถึงในส่วนของผิวพรรณก็ไม่เหี่ยวย่น ริ้วรอยลดลง และชะลอความแก่
8. ดอกบัวถือเป็นยาโบราณที่มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ และลดไขมันในเส้นเลือด จึงเป็นอาหารและยาที่ดีสำหรับคนที่มีอาการเกี่ยวกับโรคเหล่านี้
9. ดอกบัวมีสรรพคุณแก้อาการปวดหัว ปวดท้ายทอย วิงเวียน มึนงง มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม โดยการใช้เกสรบัวมาเป็นส่วนผสมในยาหอม เมื่อชงน้ำดื่มแล้วจะช่วยให้อาการดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื่นใจ ช่วยชูกำลัง และยังช่วยขับเสมหะ
10. ดอกบัวในส่วนของดีบัวนั้นมีคุณสมบัติที่สามารถเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และลดไขมันที่ไปเกาะบริเวณผนังหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี เสริมสร้างให้หัวใจแข็งแรงทำงานได้ดีขึ้น
11. ดอกบัวยังมีประโยชน์ทำเป็นอาหารได้ทั้งคาว อาทิ แกงส้มสายบัว ใส่ในแกงเลียงหรือผัดเผ็ด และเป็นผักจิ้มน้ำพริก ส่วนของหวาน เช่น เม็ดบัวเชื่อม ขนมหม้อแกงใส่เม็ดบัว น้ำรากบัว ฯลฯ นอกจากนี้ใบบัวยังใช้ห่ออาหารอย่างข้าวห่อใบบัว และแม้กระทั่งใช้ห่อสิ่งของก็ยังได้
แม้สรรพคุณและประโยชน์ของดอกบัวจะมีแทบทุกส่วน แต่อย่างไรก็ดี หากจะกินเป็นอาหารไม่ว่าส่วนไหนของดอกบัวควรระวังสารเคมีที่อาจปนเปื้อนมาด้วย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ก่อนซื้อจึงต้องแน่ใจว่าสะอาด รวมทั้งในกลุ่มคนที่แพ้เกสรดอกบัวอาจต้องระวังการใช้เกสรบัวด้วย และหากใครมีอาการท้องผูกเป็นประจำ แนะนำว่าควรเลี่ยงดอกไม้ชนิดนี้ดีกว่า แต่ถ้าใครที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี้ก็จัดการกับดอกบัวกันได้ตามใจชอบเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/07/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,800.00 | 31,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,060.00 | 31,229.60 | 32,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,854.00 | 28,106.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,648.00 | 24,983.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 927.00 | 14,053.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 721.00 | 10,930.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,135.00 | 32,366.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/07/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.39 | 35.39 | – | – | – | – | – | – | – | 35.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.74 | 46.94 | 46.84 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 45.04 | – | – | – | 45.81 | – | 45.54 | 45.19 | – | 45.04 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 38.94 | 39.94 | 39.94 | 39.94 | 39.94 | – | – | – | – | 38.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |