“เฟรเซอร์ส” ปั้นโมเดล “เมืองอุตสาหกรรม” เจาะตลาดอสังหาฯโลจิสติกส์
“เฟรเซอร์สฯ” เดินหน้าอัดงบ 1 หมื่นล้านบาท ลุยบริหารพื้นที่ 4 ล้านตร.ม. ดันปี 66 โกยรายได้ค่าเช่า 5.7 พันล้านบาท จ่อพลิกโฉมโมเดลเมืองย่านสมุทรปราการ ขึ้นแท่นผู้นำอาคารอุตสาหกรรม รุกตลาดอสังหาฯ โลจิสติกส์
“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” หรือ FPIT จากจุดเริ่มต้นมาเข้าซื้อกิจการ Glodenland สู่ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ตลอดจนตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังโครงการชั้นนำขนาดใหญ่ อย่าง สามย่านมิตรทาวน์
ตั้งเป้า 4 ล้านตร.ม. ขึ้นแท่นผู้นำ “อาคารอุตสาหกรรม”
“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” คาดว่า ในปี 2566 มีรายได้จากค่าเช่าอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท และมีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 75,000 ล้านบาท ผ่านการตั้งเป้าหมายการเติบโตของทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ ด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการอยู่ที่ 3.5 ล้านตร.ม. ที่มีอัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 85% จากเดิมในปี 2560 บริษัทสามารถพัฒนาขนาดพื้นที่บริหารจัดการอยู่ที่ 2.7 ล้านตร.ม. ที่มีอัตราการเช่าอยู่ที่ 68.9%
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าจัดสรรงบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการตามเป้าหมายภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2569 เป็น 4 ล้านตร.ม. ส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำสถานะผู้ให้บริการโรงงาน-คลังสินค้าสมัยใหม่อันดับ 1 ของอาเซียน ยืนหนึ่งเป็นผู้นำธุรกิจอาคารอุตสาหกรรมในไทย
ล่าสุดนายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวจากภาวะการบริโภคและภาคบริการหลังโควิด-19 ถึงแม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก แต่ภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มยังสามารถเติบโตได้ดี
ขณะที่การย้ายฐานและขยายการลงทุนมาที่ไทยมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการสร้างการเติบโตผ่านความได้เปรียบจากภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิต และยังได้รับแรงสนับสนุนจากเทรนด์การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ที่เปิดโอกาสให้บริษัทได้ใช้ศักยภาพและความเป็นผู้นำกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในการพัฒนา Green Building Solution เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการยกระดับความยั่งยืนในระบบซัพพลายเชน
3 ปัจจัยความท้าทายผู้ประกอบการอาคารอุตสาหกรรม-โลจิสติกส์
ด้านความท้าทายของผู้ประกอบการอาคารอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในไทย พบว่า 1.พฤติกรรมและความต้องการใช้อาคารอุตสาหกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ส่งผลให้การตัดสินใจทางด้านธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการขยายการลงทุน หรือการลงทุนใหม่ เป็นไปได้ช้าและยากมากขึ้น
2.การแข่งขันทั้งทางด้านราคาและการแย่งชิงทรัพยากรคู่แข่งทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 โดยเน้นความรวดเร็วในการพัฒนาสร้างพื้นที่อาคารพร้อมใช้เพื่อตอบรับการเพิ่มขึ้นของความต้องการ
3.ความท้าทายในเรื่องผลตอบแทนการลงทุน,ต้นทุนการทำธุรกิจปรับสูงขึ้น 20-30% ตั้งแต่ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้าง และต้นทุนทางการเงินที่ต้องใช้ในการลงทุน ส่งผลให้ที่ดินในอุตสาหกรรมเริ่มหายากขึ้น ส่วนใหญ่มักจะพบที่ดินดังกล่าวในบริเวณบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ,ที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
ปักหมุดอาเซียน รุกตลาดต่างชาติ
นายโสภณ เล่าอีกว่า ปัจจุบันบริษัทได้เดินหน้าธุรกิจในต่างประเทศทั้งนิคมอุตสาหกรรมและคลังสินค้าที่เมืองบินห์เยือง ประเทศเวียดนาม และโครงการโลจิสติกส์เซ็นเตอร์ ในเมืองคาราวัง เมืองมากัซซาร์ และเมืองบันจาร์มาซิน ประเทศอินโดนีเซีย มีจำนวนลูกค้าและอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้บริษัทได้มีการลงทุนในตลาดต่างประเทศ บนพื้นที่ 200,000 ตร.ม. แบ่งเป็นในประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 40,000-50,000 ตร.ม.และเวียดนาม จำนวน 50,000-60,000 ตร.ม. ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง บนพื้นที่ 100,000 ตร.ม. โดยปีก่อนบริษัทได้มีการลงทุนก่อสร้างอาคารอุตสาหกรรมสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมค่อนข้างดี ซึ่งใช้มาตรฐานของไทย ส่วนในไทยมีการลงทุนใหม่ บนพื้นที่ 150,000 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ธุรกิจของบริษัทยังพบว่า 80% เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น 29.4% ยุโรป 21.5% ไทย 19.2% สิงคโปร์ 8.9% จีน-ไต้หวัน-ฮ่องกง 8% สหรัฐ 4.7% ฯลฯ โดยลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่สนใจในเรื่อง Sustainability นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าจีนมีการเข้ามาซื้อที่ดินในอุตสาหกรรมมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่ใหญ่พอที่สามารถซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างเองได้
ขณะที่พื้นที่ของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอาคารอุตสาหกรรมในไทย พบว่า จังหวัดสมุทรปราการ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ศูนย์กลางของอีคอมเมิร์ซและเป็นเมืองดลจิสติกส์ ซึ่งมีทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค,อาหารและเครื่องดื่ม,ดูแลสุขภาพ ส่วนจังหวัดชลบุรี,ระยอง,ฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ในอีอีซี ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าระหว่างประเทศทั้งยานยนต์,อิเล็กทรอนิกส์,การส่งออก-นำเข้า และจังหวัดอยุธยา เป็นพื้นที่ที่มีศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและการค้าสมัยใหม่,ศูนย์กลางอิเล็กทรอนิกส์, โมเดิร์นเทรดดี.ซี,การกระจายอีคอมเมิร์ซ, ยานยนต์ รวมทั้งยังเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีเส้นทางการขนส่งสินค้าไปทางภาคเหนือและภาคอีสานได้สะดวกถึง 70% ซึ่งถือว่าเป็นเกตเวย์ที่ดีมาก
เปิดโฉม Built-to-Function
ขณะนี้บริษัทได้พัฒนาโซลูชันสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เพื่อเติมเต็มดีมานด์ใหม่ของตลาด ด้วยการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรม “แบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้” หรือ “Built-to-Function” บนพื้นที่ 50,000 ตร.ม. จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปีนี้ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่ม ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ที่เชี่ยวชาญสินค้าและบริการเฉพาะทาง รวมทั้งลูกค้าองค์กรทั่วไปที่ต้องการใช้อาคารเฉพาะทางพร้อมใช้ โดยเพิ่มเติมความเหนือระดับเข้าไปในอาคาร Ready-Built ด้วยการเสริมมาตรฐานและฟีเจอร์ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์การดำเนินงานของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเพิ่มคุณสมบัติทางด้านความยั่งยืนให้เป็นฟังก์ชันมาตรฐานสำหรับอาคารรูปแบบนี้อีกด้วย
ปลุกโมเดล “เมืองอุตสาหกรรม”
สำหรับแผนสร้างการเติบโตในอนาคต “เฟรเซอร์ส” มีแผนขยายสินค้าและบริการให้หลากหลายและครบวงจรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกขนาดและทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.การพัฒนาโลจิสติกส์ขนาดเล็กในเมือง ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ เปิดโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมใช้พื้นที่ภายในเมือง และเพิ่มความรวดเร็วในการขนส่ง 2. เดินหน้าพัฒนาอาคารโรงงาน-คลังสินค้า และโลจิสติกส์พาร์คในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
3.การต่อยอดพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม และเมืองอุตสาหกรรมที่รวมโรงงาน คลังสินค้า คอมเมอร์เชียล และที่อยู่อาศัยมาไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรม
“โสภณ ราชรักษา” กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการ TRA ถือเป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ บนที่ดินขนาด 4,600 ไร่ ย่านบางนา-ตราด กม.32 จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่า 50,000 ล้านบาท เบื้องต้นบริษัทยังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และนักลงทุนต่างชาติหลายราย คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้ ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของโครงการฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท โดยเป็นการก่อสร้างถนน ใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท คืบหน้าแล้ว 25% คาดว่าก่อสร้างถนนแล้วเสร็จ ภายในปี 2567
สำหรับโครงการ TRA เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ตามแนวคิดของ “เฟรเซอร์ส” ที่ผสมผสานอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน ทั้งเพื่อการปล่อยเช่าระยะสั้น-ยาว และการขายรวมถึงสร้างรายได้จากการบริหารจดั การพื้นที่และค่าบริการสาธารณูปโภค ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเป็นโมเดลที่ยั่งยืน ทั้งในทางธุรกิจและการอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในพื้นที่อุตสาหกรรมในอนาคต
ภายในพื้นที่โครงการฯ ประกอบด้วย 1. พื้นที่ประกอบการโรงงาน เพื่อการขายหรือปล่อยเช่า2. พื้นที่โลจิสติกส์คลังสินค้า เพื่อปล่อยเช่า3. พื้นที่บิสซิเนสปาร์คIncubator เพื่อปล่อยเช่า4. พื้นที่การค้าและบริการ รวมถึงธุรกิจโรงแรมชั้นธุรกิจ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ปล่อยเช่า5. พื้นที่ที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ทั้งเพื่อขายลูกค้าที่ทำงานในพื้นที่ ที่พักพนักงาน และสร้างเพื่อการขายทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2566 เริ่มจ่ายเมื่อไหร่ใครบ้างต้องจ่าย
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2566 ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดิน เริ่มจ่ายภาษีเมื่อไหร่ ล่าสุด กทม. ลงพื้นที่สำรวจที่ดินสิ่งปลูกสร้าง เพื่อจัดเก็บภาษีที่ดินประจำปี 67
จากกรณีที่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมลงพื้นที่สำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปีภาษี พ.ศ.2567 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 กำหนดระยะเวลาสำรวจตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเริ่มบังคับใช้เมื่อไหร่
- ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือ ภาษีที่ดิน เพิ่งบังคับใช้ปี 2563 เป็นต้นมา การมาของภาษีที่ดิน คือ การยกเลิกโรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง และ บำรุงท้องที่ และ ปัจจุบันได้ใช้คำว่า ภาษีที่ดิน แทนที่ในปี 2563 เป็นต้นมา
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีใครบ้าง
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือ เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือที่ดินเปล่าถ้ามีเสียภาษีที่ดิน สำหรับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเริ่มวันที่ครอบครองวันแรก คือ 1 มกราคม ส่วนผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันก็ต้องรับผิดชอบภาษีที่ดินร่วมกัน
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแตกต่างอย่างไร
- ที่ดิน คือ ที่ดิน
สิ่งปลูกสร้าง คือ
- บ้านและตึกแถว ที่สร้างบนที่ดิน
- สิ่งปลูกสร้างอาคารชุด หรือ อาคารชุด
ประเภทที่ดินที่ต้องเสียภาษี
ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม
- ภาษีสูงสุด 0.15% สำหรับเจ้าของที่เป็นบุคคลธรรมดา หากมีที่ดินทำการเกษตร มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนที่ดินที่มูลค่าเกิน 50 ล้าน จะได้รับยกเว้น 50 ล้านบาทแรกแต่ส่วนเกิน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษีตามอัตราปกติ สำหรับเจ้าของที่เป็นนิติบุคคล เสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ
ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย
- เพดานภาษีสูงสุด 0.30% สำหรับบ้านหลังหลัก ที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นบุคคลธรรมดา และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่ถ้ามีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีตามอัตราปกติ สำหรับเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน (คอนโดมิเนียม หรือสร้างบ้านอยู่บนที่ดินเช่า) จะได้รับการยกเว้นภาษี 10 ล้านบาทแรก ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ แต่สำหรับคนมีบ้านหลายหลัง ไม่ว่าจะมีชื่อหรือไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 จะต้องเสียภาษีทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้น
ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม
- เพดานภาษีสูงสุด 1.20% หมายถึง ที่ดินอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและการอยู่อาศัย เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หอพักรายวัน บ้านเช่ารายวัน โดยต้องเสียภาษีตามอัตราปกติ
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
- เพดานสูงสุด 3% ถ้ามีที่ดินเปล่าแต่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ใดใด จะถูกจัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสียภาษีแพงที่สุดและถ้าปล่อยรกร้างไว้นานติดต่อกัน 3 ปี เมื่อไปเสียภาษีในปีที่ 4 จะถูกเก็บเพิ่มอีก 0.3% และจะเพิ่มอัตราภาษีอีก 0.3% ในทุก ๆ 3 ปีที่ปล่อยที่ดินรกร้าง แต่โดยรวมทั้งหมดแล้วจะเก็บภาษีได้ไม่เกิน 3%
วิธีการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
1. ที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี
2. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่ต้องจ่าย = (มูลค่าที่ดิน+มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี
3. ห้องชุด
ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี – มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน
- มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา
- มูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)
ปี 2566 ปรับลด ภาษีที่ดิน 15% ของภาษีที่คำนวณได้
โดย ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการลดภาษีที่ดิน 2566 เพื่อ
1. ลดภาระภาษี สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังโควิด-19
2. สิ้นสุดระยะเวลาบรรเทาภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562
3. ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในปี 2566 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น
โดยลดภาษีให้ในอัตรา 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี 2566 ซึ่งคาดว่าปี 2566 คนไทยจะเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาประเมินที่ดินใหม่ทั้งประเทศรอบปี 2566-2569 ปรับขึ้นเฉลี่ย 8%
การชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- จากเดิมภายในเดือน เม.ย. 2566 ขยายเวลาเป็นภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2566 แต่หากต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเกิน 3,000 บาท สามารถใช้สิทธิ์ขอผ่อนชำระภาษีได้ 3 งวดเท่าๆ กัน โดยไม่เสียดอกเบี้ย
อัปเดตล่าสุดวันที่ 20 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงเทพมหานคร ผลการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีป้ายของ50สำนักเขตตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 พฤษภาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21ก.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีโอกาสเผชิญแรงกดดันทั้งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์พร้อมราคาทองคำปรับลด นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยมากขึ้นควรป้องกันความเสี่ยงรับมือช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศตลาดการเงินพลิกไปมา
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21 ก.ค.2566 ที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นชะลอลง หลังเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรหุ้นไทยและบอนด์ระยะยาวของนักลงทุนต่างชาติ หลังสถานการณ์การเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งความกังวลของนักลงทุนต่างชาติก็อาจทำให้ฟันด์โฟลว์มีทิศทางที่ผันผวนได้ในระยะนี้
โดยนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ โดยในกรณีที่ เงินบาทเผชิญแรงกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ (ที่อาจมาพร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำ) และแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้น ก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 34.30-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อาจรอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการเพิ่มสถานะ Long THB ได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็เริ่มสะท้อนผ่านโฟลว์ซื้อบอนด์ระยะสั้นบางส่วน ในช่วงสัปดาห์นี้ของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นการปรับมุมมองของนักวิเคราะห์ต่างชาติบางส่วนที่กลับมาแนะนำให้ Long THB หลังจากที่ในช่วงก่อนหน้าส่วนใหญ่นักวิเคราะห์จะคงมุมมอง Neutral หรือ Wait and See สำหรับค่าเงินบาท
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงรับรู้รายงานผลประกอบการ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 33.96-34.26 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำปรับตัวลดลงตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง กดดันโดยการปรับตัวลงแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ขนาดใหญ่ อย่าง Tesla -9.7%, Netflix -8.4% ที่รายงานผลประกอบการแย่กว่าคาด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย Johnson&Johnson +6.1% ที่รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.05% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.68%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.42% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare (Novo Nordisk +3.7%) รวมถึงกลุ่มธนาคาร (HSBC +1.8%) ที่ตลาดคาดหวังว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะรายงานผลประกอบการที่สดใส
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปกลับเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Semiconductor โดยเฉพาะ ASML -4.9% จากความกังวลว่า ความต้องการใช้ชิพฯ อาจลดลง หลังผู้ผลิตชิพฯ รายใหญ่อย่าง TSMC ปรับลดคาดการณ์ยอดขายลง จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มเผชิญความผันผวนบ้าง แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ออกมาดีกว่าคาดพอสมควร ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.85% (แกว่งตัวในกรอบ 3.80%-3.88% ในช่วงคืนก่อนหน้า)
ทั้งนี้ เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ เช่น หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เข้าใกล้ระดับ 4.00% (หรือปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับดังกล่าว) ก็จะเป็นจังหวะที่น่าทยอยเข้าลงทุน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน จากการทยอยรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 100.8 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 100.1-101 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย +50bps หรือชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ในการประชุมต้นเดือนสิงหาคม หลังจากที่ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ ได้ชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย BOE ณ สิ้นปีลงพอสมควร
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายทำกำไรการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.26-34.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทอ่อนค่ากลับมา หลังแข็งค่าทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้
โดยเงินบาทอ่อนค่ากลับมาสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ดีดตัวขึ้นต่อเนื่องตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยมีแรงหนุนจากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงถึง 9,000 ราย สู่ระดับ 228,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว (ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน และต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 242,000 ราย)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.20-34.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เนย์มาร์” เปิดใจถึงอนาคตหลังเป็นข่าวอำลา ปารีสฯ
เนย์มาร์ ศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล ยืนยันต้องการอยู่เล่นกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ต่อไปในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง แม้จะตกเป็นข่าวย้ายออกซัมเมอร์นี้ หลังต้นสังกัดกำลังทำการผ่าตัดทัพครั้งใหญ่ก็ตาม
เนย์มาร์ ยังคงถือครองสถิติค่าตัวแพงสุดในโลกอยู่ ในการย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปสู่ ปารีสฯ ด้วยราคา 222 ล้านยูโร เมื่อปี 2017 กระนั้นผลงานของเจ้าตัวก็ไม่สม่ำเสมอนัก และไม่ท็อปพีคอย่างที่แฟนๆ คาดหวัง
สำหรับซัมเมอร์นี้ เปแอสเช กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ลิโอเนล เมสซี่ กับ เซร์คิโอ รามอส ย้ายออก และมีนักเตะใหม่เข้ามาเสริมกำลังแล้ว 8 ราย เช่นเดียวกับกุนซือที่เปลี่ยนเป็น หลุยส์ เอ็นริเก้ ในขณะที่ เนย์มาร์ ก็ถูกเชื่อมโยงกับการย้ายออกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ซุปตาร์แซมบ้าวัย 31 เผยล่าสุดว่า “ผมหวังว่าผมจะได้อยู่ต่อกับ เปแอสเช ในซีซั่นหน้า ผมยังเหลือสัญญา และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีใครที่แจ้งผมถึงเรื่องอะไรก็ตาม”
“แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความรักหวานชื่นระหว่างแฟนบอลกับนักเตะ แต่ผมก็อยากอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ว่าจะได้รับความรักหรือไม่ก็ตาม”
ทั้งนี้ เนย์มาร์ อยู่กับทีมมา 6 ปี ซัดไป 118 ลูกจาก 173 นัด และมีส่วนร่วมกับแชมป์ 13 รายการ แต่ถ้วยใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของสโมสรอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังทำไม่สำเร็จ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อาหาร “ไขมัน” ที่ดีต่อหัวใจ
เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า อาหารไขมันสูงทำร้ายหัวใจในระยะ เพราะจะเป็นสาเหตุของไขมันในเลือดสูง ไขมันอุดตันเส้นเลือด จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ และหลอดเลือด ที่อันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว แต่ช้าก่อน! เรายังมีอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน รสชาติอร่อยถูกปาก แถมยังดีต่อหัวใจ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
อาหาร “ไขมัน” ที่ดีต่อหัวใจ
- น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนล่า
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันมะพร้าว เนย ในการประกอบอาหาร ส่วนน้ำมันหมูเหมาะกับการประกอบอาหารประเภททอดที่ต้องใช้ความร้อนสูง และทอดเป็นเวลานาน เพราะเก็บความร้อนได้ดี แต่ทั้งนี้ไม่ควรทานอาหารทอดมากเกินไป ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการทาน หรือใช้น้ำมันหมูประกอบอาหารไปด้วย (โดยการลดการทานอาหารทอด)
ส่วนน้ำมันมะกอกมีให้เลือกใช้หลายประเภท ทั้งแบบ extra virgin ที่เหมาะกับการประกอบอาหารแบบไม่ผ่านความร้อน หรือผ่านความร้อนน้อยมาก ดังนั้นจึงเหมาะกับการนำมาประกอบอาหารคลีนๆ ที่หลายคนกำลังทานกันอยู่ ไขมันดีที่อยู่ในน้ำมันเหล่านี้จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ลดไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้มากถง 30%
- ปลาทะเล
ทั้งปลาแซลมอนสีส้ม ปลาทูน่าสีแดง ปลาซาร์ดีน และปลาทะเลอื่นๆ ต่างเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ และจะสังเกตได้ว่ามีไขมันตามธรรมชาติแทรกอยู่ ไขมันจากปลาทะเลเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย เพิ่มปริมาณไขมันที่ดี และช่วยลดปริมาณไขมันที่ไม่ดีในร่างกายให้ลดลง สามารถทานได้ประโยชน์จากปลาทั้งทานดิบแบบซาชิมิ และทานแบบปรุงสุก แต่หากทานแบบดิบ ควรคำนึงถึงความสะอาด ปราศจากพยาธิ และปรสิตต่างๆ โดยเลือกซื้อทานจากแหล่งผลิตที่ดีมีมาตรฐาน วิธีเก็บถูกต้องตามมาตรฐาน
- ธัญพืชต่างๆ
ถั่วชนิดต่างๆ ทั้งอัลมอนด์ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ รวมไปถึงเมล็ดเจีย เมล็ดแฟล็กซ์ งาดำ งาขาว และธัญพืชอื่นๆ รวมถึงข้าวที่ไม่ขัดสี จะมีวิตามิน และไขมันที่ดีต่อร่างกายอยู่สูง นอกจากนี้ยังมีกากใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่ายอีกด้วย ดังนั้นควรเลือกทานธัญพืชไม่ขัดสีเหล่านี้ให้ได้ทุกวัน เลือกทานแทนการทานชนมกรุบกรุบที่มีแต่แป้ง และน้ำตาลก็จะดีมาก
- อโวคาโด
หากอยากผักผลไม้ที่มีไขมันที่ดีต่อร่างกายมาทานบ้างล่ะก็ แนะนำอโวคอโดที่นอกจากจะมีไขมันที่ดีแล้ว ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอีกเพียบ ทั้งวิตามินเอ บี ซี ดี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน โปรตีน และยังมีพลังงานสูงมากพอที่จะทานเพียงแค่ครึ่งผลต่อ 1 มื้อได้ (ผสมกับอาหารอื่นๆ) แต่ควรระมัดระวังอย่าทานผลดิบ และอย่าทานจำนวนมากเกินไป เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ให้พลังงานสูง
- ไข่
ไข่อุดมไปด้วยโปรตีนเป็นหนัก แต่จริงๆ แล้วมีส่วนของไขมันที่ดีต่อร่างกายอยู่ด้วย จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า การกินไข่วันละ 1 ฟอง ในกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี พบว่าไข่จะทำให้ระดับไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอล ลดลง แถมยังช่วยเพิ่มระดับไขมันดี ที่จะช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดให้มีความเรียบลื่น ลดไขมันในผนังหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้
นอกจากการทานไขมันที่ดีต่อร่างกายแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำด้วย เพราะการออกกำลังจะช่วยเพิ่มปริมาณไขมันที่ดีในร่างกาย และลดไขมันเลว ทั้งจากไขมันชั้นใต้ผิวหนัง และไขมันในช่องท้องได้มากขึ้น ดังนั้นนอกจากการเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เรื่องของการออกกำลังกายก็มีส่วนช่วยให้คุณเป็นเจ้าของร่างกายที่ดีปราศจากโรคด้วยเช่นกัน และมีความสำคัญมากพอๆ กับการทานอาหารที่ดีด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์น่ารู้: Living Room
กลับมาอีกครั้งกับคำศัพท์น่ารู้ คราวนี้ทาง DailyEnglish จะพาไปสำรวจห้องรับแขก (living room) กันค่ะ เชื่อว่าหลายๆคนต้องคุ้นเคยกับข้าวของในห้องรับแขกเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโซฟา (couch) เก้าอี้นวม (armchair) หรือพวกโต๊ะ (table) อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ (electrical appliances) แต่เคยได้ยินคำศัพท์พวกนี้รึเปล่าเอ่ย?
1. louver ลู-เฟ่อร์ บานเกล็ด
ใช้คำว่า blinds ก็ได้ค่ะ
2. cushion คุช-เชิ่น หมอนอิง
ใช้วางบนโซฟา นอกจากนี้เรียกว่า pillow ก็ไม่ว่ากันนะ
3. ashtray แอช-เทรย์ ที่เขี่ยบุหรี่
4. bookshelf บุ่ค-เชลฟ์ ชั้นวางหนังสือ
เรียกอีกอย่างว่า bookcase ได้เช่นกันค่ะ
5. vase วาส แจกัน
ส่วนใหญ่จะทำด้วยแก้วซึ่งเป็นวัสดุที่แตกหักง่าย (fragile) แต่ก็ดูดี มีคุณค่า (valuable)
6. drapes เดร๊พส์ ผ้าม่าน
หรือที่เราคุ้นหูในชื่อของ curtains นั่นเอง
7. fireplace ไฟเออร์-เพล๊ส เตาผิง
fireplace พบเห็นได้ทั่วไปในห้องรับแขก ต้องใช้ท่อนไม้ (wood) ในการจุดไฟ (kindle)
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ทำความรู้จัก “ฟิชชิ่ง” หลังไทยรั้งอันดับ 3 ในอาเซียนถูกแฮกเกอร์โจมตี
ทำความรูจัก “ฟิชชิ่ง” หลัง แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) ออกมาเปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางไซเบอร์เกี่ยวกับการโจมตีในประเทศไทยเมื่อปี 2565 พบและบล็อกอีเมลฟิชชิ่งเกือบ 6.3 ล้านรายการ
จากกรณีที่ แคสเปอร์สกี้ ออกมาเปิดเผยรายงาน ในปี 2565 ผลิตภัณฑ์ของแคสเปอร์สกี้ตรวจพบความพยายามในการโจมตีด้วย ฟิชชิ่ง จำนวน 6,283,745 ครั้งในทำให้ประเทศไทยรั้งอันดับ 3 ที่โดนฟิชชิ่งถูกโจมตีมากที่สุด
แล้ว ฟิชชิ่ง หรือ (Phishing) คืออะไร
ฟิชชิ่ง คือ การหลอกให้เข้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลของเหยื่อ เป็นคำพ้องเสียงกับ Fishing ที่หมายถึง การตกปลา ซึ่งเหยื่อ ก็คือ ปลานั่นเอง
ฟิชชิ่ง Phishing คือ การล่อหลอกเหยื่อเข้าหน้าเว็บไซต์ปลอม ซึ่งทำให้ดูคล้ายกับหน้าล็อกอินของเว็บไซต์จริง จุดประสงค์เพื่อขโมยพาสเวิร์ด และนำไปสู่การขโมยข้อมูลอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องธุรกรรมทางการเงิน
Scam (สแคม) คือการแอบอ้างเพื่ออาศัยผลจากความเข้าใจผิด เช่น การสร้างหน้าเว็บไซต์ปลอมแอบอ้างว่าเป็นเว็บไซต์ของบริการที่มีชื่อเสียง หลอกให้ร่วมเล่นเกมเพื่อชิงรางวัล เพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่การปลอมแปลงอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ของผู้ไม่หวังดีต่อไป
การจะสร้างหน้าเว็บไซต์ฟิชชิ่งให้ดูแนบเนียน จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง นอกจากทำหน้าตาของเว็บไซต์ปลอมให้ดูเหมือนเว็บไซต์จริงแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เหยื่อสังเกตเห็นความผิดปกติได้ยากคือ URL ของเว็บไซต์ปลอมที่ใกล้เคียงกับเว็บไซต์จริง อย่างแนบเนียนมากที่สุด
โจมตีของ ฟิชชิ่ง แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ
- การจดโดเมนที่มีชื่อใกล้เคียงกับโดเมนของบริการที่มีอยู่จริง (Fake Domain)
- การเจาะระบบเว็บไซต์อื่น เพื่อนำหน้าเว็บไซต์ปลอมไปฝังไว้ (Compromised)
ตัวอย่างวิธีการโจมตีด้วย ฟิชชิ่ง มีดังนี้
- ส่งลิงก์ไปทางอีเมล, SMS, โปรแกรมแช็ต, โซเชียลมีเดีย, QR code
แนวทางป้องกันเบื้องต้น
- พิจารณาที่อยู่ผู้ส่ง หัวข้อ เนื้อหาในอีเมล และลิงก์ของเว็บไซต์ปลายทาง
- ไม่ควรคลิกลิงก์จากอีเมล ควรพิมพ์ URL เพื่อเข้าเว็บไซต์โดยตรง
- การสังเกตว่าเว็บไซต์เป็น HTTPS หรือไม่นั้นไม่สามารถช่วยแยกแยะเว็บไซต์ฟิชชิงได้ เพราะเว็บฟิชชิงจำนวนมากใช้ HTTPS แล้ว
- ตรวจสอบกับหน่วยงาน องค์กร ต้นทาง ว่ามีข่าวสารแจ้งเตือนหรือไม่ รวมทั้งติดตามข่าวสารด้าน Cybersecurity จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น ThaiCERT เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
4 ผลไม้ลด “คอเลสเตอรอล” พร้อมป้องกัน “โรคเรื้อรัง” หากินง่าย ใกล้ตัว
สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจอยากจะลดคอเลสเตอรอลเพื่อส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง นอกจากการจำกัดการเลือกรับประทานอาหาร และหมั่นออกกำลังกายแล้ว การเลือกกินผลไม้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทุกคนควรทำร่วมด้วย เพราะผลไม้บางชนิดนั้นอาจมีน้ำตาล และความหวานมากเกินความจำเป็น แต่ผลไม้ลดคอเลสเตอรอล ชนิดใดบ้างที่คุณจะสามารถกินได้อย่างไร้ข้อกังวล Hello คุณหมอ มีคำตอบมาฝากกัน
คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อย่างไร
คอเลสเตอรอล เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะกึ่งของเหลวและแข็งตัว โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะสามารถสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมาได้เอง แต่ขณะเดียวกัน หากร่างกายคุณได้รับอาหารที่มีปริมาณของคอเลสเตอรอลไม่ดีมากเกินไปร่วมด้วย อย่าง อาหารประเภทไขมันอิ่มตัวสูง เนื้อสัตว์ติดไขมัน เป็นต้น ก็อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดเอาไว้จำนวนมาก และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเผชิญกับโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภาวะหัวใจวายได้
ผลไม้ลดคอเลสเตอรอล 4 ชนิด ที่ควรรับประทาน
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดใด ก็ย่อมมีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุจากธรรมชาติที่พร้อมให้ประโยชน์แก่สุขภาพของเรา แต่สำหรับผลไม้ทั้ง 4 ชนิด ดังต่อไปนี้ อาจมีคุณสมบัติในการควบคุม หรือลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่าผลไม้กว่าชนิดอื่น ๆ และค่อนข้างเหมาะสมอย่างมากในผู้ที่มีจุดประสงค์ในการลดคอเลสเตอรอลอย่างจริงจัง
- อะโวคาโด
เนื่องจากอะโวคาโดเป็นแหล่งรวมไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว วิตามิน และไฟเบอร์ จึงทำให้ร่างกายของผู้ที่รับประทานในปริมาณที่พอดี สามารถขัดขวางระบบการดูดซึมคอเลสเตอรอลไม่ดีในร่างกาย ส่งผลให้คอเลสเตอรอลไม่สามารถเพิ่มขึ้นไปในระดับที่สูง ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดได้
- เสาวรส
เสาวรสเป็นผลไม้ที่ประกอบด้วยน้ำตาลต่ำ แต่มีวิตามินเอ วิตามินซี โพแทสเซียม และไฟเบอร์อยู่สูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากหลอดเลือดได้ ที่สำคัญยังอาจช่วยลดความดันโลหิต และความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มเติมได้อีกด้วย
- ลูกพีช
ถึงแม้ว่าภายในลูกพีชประกอบด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และไฟเบอร์ ในปริมาณค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าคุณรับประทานในปริมาณ 1 ถ้วย หรือ 22.4-28.0 กรัมต่อวัน ก็อาจเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารที่พอดีแก่ร่างกาย ะอีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก ลดการสะสมของคอเลสเตอรอล ที่สามารถพัฒนาจนก่อให้เกิดเป็นความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคหลอดเลือดในสมองได้
- แอปเปิ้ล
การศึกษาหนึ่งในปี พ.ศ. 2556 พบว่า การรับประทานแอปเปิ้ลสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอล ที่มีความแน่นของไลโปโปรตีน (Lipoprotein) แต่ต้องเป็นแอปเปิ้ลสดเท่านั้น หากเป็นการดื่มน้ำแอปเปิ้ลหรือผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากแอปเปิ้ล อาจทำให้ร่างกายคุณไม่ได้รับสารอาหารจากธรรมชาติ อย่าง ไฟเบอร์ ซึ่งไฟเบอร์ในแอปเปิ้ลสดนั้น มีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเต็มที่เมื่อเทียบเท่ากับการดื่มน้ำแอปเปิ้ลหรือผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากแอปเปิ้ล
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันคอเลสเตอรอลสูง
ตามคำแนะนำของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการลดคอเลสเตอรอล ระบุว่า เพื่อควบคุมคอเลสเตอรอลให้คงที่ ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ คุณจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารต่างๆ เหล่านี้ เนื่องจากมันอาจทำให้เพิ่มไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ที่ไม่ดีต่อร่างกายได้
- เนื้อสัตว์ติดมัน เช่น เนื้อแกะ เนื้อหมู
- น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม
- ขนมหวาน เช่น โดนัท เค้ก เป็นต้น
- อาหารประเภทของทอดทุกชนิดทั่วไป
- ขนมกรุบกรอบ
- ครีม และเนย
หากคุณไม่มั่นใจว่า อาหารในชีวิตประจำวันนั้น มีอาหารประเภทใดบางที่ควรงดรับประทาน เพื่อลดคอเลสเตอรอล คุณสามารถขอเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพิ่มเติมได้ เพราะแพทย์สามารถช่วยคุณวางแผน และปรับการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับคุณได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/07/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,850.00 | 31,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,063.00 | 31,275.08 | 32,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,856.70 | 28,147.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,650.40 | 25,020.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 928.00 | 14,068.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 722.00 | 10,945.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,138.00 | 32,412.08 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/07/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 | 37.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.39 | 35.39 | – | – | – | – | – | – | – | 35.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.74 | 46.94 | 46.84 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 45.04 | – | – | – | 45.81 | – | 45.54 | 45.19 | – | 45.04 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 38.94 | 39.94 | 41.94 | 39.94 | 39.94 | – | – | – | – | 38.94 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |