PROPERTY INSIGHT บิ๊กเนมมองโอกาส อสังหาริมทรัพย์ ฟื้นเศรษฐกิจไทย
PROPERTY INSIGHT บิ๊กเนมมองโอกาส อสังหาริมทรัพย์ ฟื้นเศรษฐกิจไทย ยันสร้างความต่างปรับตัว รับการเปลี่ยนแปลง
ช่วงครึ่งปีหลังปี2566 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านทั้ง ต้นทุนขยับ สวนทางกำลังซื้อหด ขณะเดียวกันยังมีความไม่แน่นอนของเรื่องการเมืองที่ยังเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าแต่วิกฤตก็มีโอกาสที่ ผู้ประกอบการและผู้บริโภคต่างเห็นช่องทางที่น่าสนใจ
“ฐานเศรษฐกิจ” จัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ โจทย์ใหญ่ฟื้นอสังหาริมทรัพย์ Property Insight โรงแรมเนเรซองส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26กรกฎาคมที่ผ่านมาโดยช่วง “โอกาสและความท้าท้ายฟื้นอสังหาฯไทย” มีกูรูและดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำของเมืองไทยมาเล่าถึง ทิศทางการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ว่าโอกาส ที่น่าสนใจต่อการลงทุนมีอะไรบ้าง
ดันโมเดล “Affordable Housing”
เริ่มจาก นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย มองว่านอกจากความท้าทายที่มีแล้วโอกาสที่ น่าจับตาคือ การเปิดโอกาสสำหรับภาครัฐให้ภาคเอกชนเข้าพัฒนาบนที่ดินรัฐ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่ราชพัสดุ ที่ทรัพยสินพระมหากษัตริย์ การเคหะแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฯลฯ สร้างที่อยู่อาศัยที่ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ ลดความเหลื่อมลํ้า ที่สมาคมฯได้หารือทำร่วมกัน พัฒนา โมเดล “Affordable HousingDevelopment” ราคาบ้านที่คนชนชั้นกลางสามารถซื้อได้ในทำเลสีลมกับทำเลลาดพร้าวเป็นคนละราคา
ดังนั้นไทยไม่สามารถ ก๊อปปี้โมเดลของสิงคโปร์ได้ เพราะทุกอย่างไม่เหมือนกัน โดยสิงคโปร์ทุกพื้นที่ในเมืองเป็นของรัฐ ซึ่งการเคหะฯเป็นผู้สร้างให้เอกชนประมูลในราคาสูง หรือหากเอกชนประมูลที่ดินเปล่าจะต้องทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่รัฐสั่งเท่านั้น ซึ่งระบบการพัฒนาที่อยู่อาศัย ของสิงคโปร์สามารถตรวจสอบทุกอย่างผ่านมือถือได้ แต่ไทยยังไม่มี การเคหะฯมีงบเพียงหมื่นกว่าล้านบาท ในหนึ่งปีสามารถทำที่อยู่อาศัยได้น้อยมาก หากต้องการทำที่อยู่อาศัยในราคา 300,000 ต่อยูนิตจะต้องใช้งบหลักล้านล้านบาท ท้ายที่สุดระบบมีปัญหาเปลี่ยนผู้บริหารไปดังนั้นเรื่อยๆ
“ถ้าการเคหะอยากทำ Affordable Housing จะเริ่มจากการมีกองทุน ซึ่งสิงคโปร์ใช้กองทุนประกันสังคม ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่งบริษัทจ่ายส่วนหนึ่ง เมื่อครบ 5 ปีกู้กลับมาดาวน์บ้านได้เป็นเปอร์เซ็นต์ตามเรทที่กำหนดและเรทดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปี และมีข้อบังคับว่าสามารถขายบ้านได้ภายในกี่ปี ซึ่งเป็นโมเดลที่ดีมาก เราน่าจะเอาตัวนี้มาคิด ทำแวลูที่มีการสนับสนุนจากรัฐ มีกองทุนทรานเฟอร์ไป ไม่ใช่ประชาชนจะต้องแบกค่าเช่าอีก 30 ปี แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าภาครัฐไม่มองไปข้างหน้า และมีการโปรโมท โดยใช้ Data และ Market research ที่มีกว่า 10 สถาบันมาใช้ รวมทั้งการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ทั้งในส่วนของรัฐบาลและเอกชนด้วย”
อีกประเด็นที่เทรนด์มาแรง คือ“Green Building” ซึ่งมีคนพูดถึงมาก แม้เวลานี้ ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่มี ดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญ รวมถึงสถาบันการเงินสนับสนุน เช่น ถ้าดีเวลลอปเปอร์สามารถทำโปรเจ็กต์ให้ Green จะได้วงกู้เงินเพิ่มหรือได้คาร์บอนเครดิต ดังนั้นภาครัฐจะทำออกมาให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ดีเวลลอปเปอร์จะได้คิดออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ อีกโอกาสที่น่าสนใจ “Urban Planning” ประเทศ อยากให้ การวางผังเมือง ระบบคมนาคม ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต สามารถบูรณาการกันได้ ฉะนั้นการวางผังควรจะต้อง บูรณาการ ทั้งหมดเพื่อไปสู่สมาร์ทซิตี้จริงๆ
บ้านหรูโตช่วยขับเคลื่อนศก.
ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติงาน บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่า ช่วงโควิดมีความท้าทายและเกิดโอกาสที่ดี โดยเฉพาะ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับสูง หรือกลุ่มไฮเอนด์ (Hi-end) เชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ ที่ผ่านมาบริษัท เห็นได้จากการเปิดขายบ้านโครงการในระดับดังกล่าวในปีที่ผ่านมา ราคา 60-150 ล้านบาท ซึ่งสามารถขายได้หมดภายใน 1 เดือนครึ่ง และยังต่อยอดมาจนถึงปีนี้ที่แสนสิริเปิดขายบ้านในระดับดังกล่าว ซึ่งมียอดขายก่อนเปิดตัวได้ถึง 1,000 ล้านบาท จากโครงการนาราสิริ พหล-วัชรพล
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าบ้านที่เจาะกลุ่มตลาดกลางถึงบนนั้น ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อค่อนข้างดี โดยบางรายใช้เงินสดในการซื้อบ้านจากโครงการ แต่ทุกอย่างจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ หากได้รัฐบาลเร็วมาขับเคลื่อน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถไปต่อได้ ส่วนตลาดที่น่าเป็นห่วงก็คือกลุ่มของตลาดระดับล่าง ซึ่งบริษัทมีแคมเปญกระตุ้นยอดขาย ในไตรมาส 3อาทิ โปรติด สปีดดีลด่วนทันใจลดสูงสุด 3 ล้านบาทดอกเบี้ย1.99%เป็นต้น
ที่ผ่านมาต้องมีการนำมาขายซํ้า 2 รอบกว่าจะหมด เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของการขอกู้ที่ไม่ผ่านการอนุมัติจากสถาบันการเงิน และอาจจะต้องมีการเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้กู้ผ่าน แสนสิริเชื่ออสังหาฯตลาดไฮเอนด์ยังโตได้ หวังได้รัฐบาลเร็วช่วยดันเศรษฐกิจ
“คนทำธุรกิจทุกคนต้องการให้เศรษฐกิจเติบโต ฉะนั้น ขอให้รัฐบาลไหนที่เข้ามาช่วยให้นโยบายและทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น”
ไม่ทำเฉพาะที่อยู่อาศัยอย่างเดียว
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย ว่า จากการแข่งขันสูงของผู้ประกอบการรายใหญ่และมุ่งไปในตลาดเดียวกันท่ามกลางตลาดอสังหาอยู่ในภาวะชะลอตัว เช่นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันมาก ในทางกลับกัน บริษัทไม่ได้ดำเนินธุรกิจเฉพาะที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว บริษัทได้สร้างโอกาส การลงทุนด้านโครงการคลังสินค้า,การสร้างโกดัง ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสำนักงานอาคารให้เช่า ฯลฯ โดยสถานการณ์ตลาดโรงแรมเริ่มดีขึ้น พบว่า อัตราการเช่า
เริ่มกลับมามากขึ้น ทั้งนี้ยังพบว่าสถานการณ์อสังหาฯหลังเกิดโควิด-19 นั้น บริษัทได้ดำเนินการในเรื่องของแพลตฟอร์มมากขึ้น ซึ่งบริษัทรู้ว่าเราควรยืดหยุ่นอย่างไรในการทำธุรกิจเพื่อให้อยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมาภาครัฐมักจะโปรโมทด้านการท่องเที่ยว ทำให้ด้านการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น โดยคาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 3% แต่ปัจจุบันพบว่าการท่องเที่ยวชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนติดปัญหาสถานการณ์ภายในประเทศ รวมทั้งการที่มีนายทุนจีนลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเป็นตัวสร้างรายได้การท่องเที่ยวของประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30 ล้านคน จากในปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยอยู่ที่ 10 ล้านคน เชื่อว่าจะเป็นการเติบโตแบบชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม มองต่างมุมตลาดบ้านหรูแม้มีกำลังซื้อที่ดีแต่มีตลาดค่อนข้างเล็กขณะฐานใหญ่คือตลาดกลาง-ล่างการส่งออกของไทยยังคงติดลบ การนำรายได้เข้าประเทศ ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งจะกระทบต่อตลาดอสังหาฯลักชัวรี รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและกำลังซื้อในครึ่งปีแรกเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดอสังหาลักชัวรี พบว่ามีเอกชนรายใหญ่หลายรายที่สนใจในตลาดนี้
“อสังหาฯเป็นห่วงโซ่อุปทานของทุกธุรกิจที่จะทำให้จีดีพีเติบโตได้ รวมทั้งส่งผลเกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างและระบบสาธารณูปโภคสูงขึ้นมีสาเหตุมาจากค่าแรงที่สูงขึ้น แต่วัสดุการก่อสร้างไม่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นผู้ประกอบการมีการปรับดีไซน์บ้านในรูปแบบใหม่ให้เรียบง่าย โมเดิร์น เพื่อลดต้นทุน ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือผู้บริโภค”
นวัตกรรมสินเชื่อกระตุ้นอสังหาฯ
ด้าน นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีบียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซีอีโอ โบรกเดอร์อสังหา ริมทรัพย์รายใหญ่รูปแบบซื้อขายบนแพลตฟอล์มดิจิทัล มองว่า ในการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯให้ขยายตัวต่อไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยระบบสินเชื่อ เพราะปัจจุบันนี้ธุรกิจอสังหามีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ Fintech เกิดขึ้นจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มให้สินเชื่อประเภทต่างๆ และตอนนี้ภาคธุรกิจก็เริ่มหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ผ่านระบบนวัตกรรมของสินเชื่อเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาฯ
ยอมรับว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยหันมาใช้สินเชื่อทางเลือกมากขึ้น เช่น การเช่าซื้อ การเช่า และการลงทุนอสังหาฯ ผ่านนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับการมีแพลตฟอร์มการซื้อ-ขายอสังหาฯ ผ่านเทคโนโลยี Block Chain ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกในการซื้อขขายอสังหาได้สะดวกขึ้น
“ในอนาคตจะแบ่งเป็นโลกของผู้ลงทุนในอสังหาฯ ใช้เงินแค่ 2 แสน หรือ 5 แสนบาท ก็เป็นเจ้าของอสังหาฯ เมื่อเบื่อก็ขายตัวนั้นออก เป็นเหรียญ TOKEN หรือแลกเปลี่ยนใหม่เป็นประเภทอื่นแทน คนจะไม่นิยมแบบการซื้อขาดแต่เป็นแบบเช่าซื้อมากขึ้น ส่วนสิ่งที่อยากให้มี มองว่าตอนนี้อยากให้มีรัฐบาลโดยเร็วด้วย”
นี่คือมุมสะท้อน ตลาดอสังหาฯ แม้จะเจอคลื่นลม แต่ก็ผ่านไปได้หาก ปรับตัวและสร้างโอกาส!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บิ๊กอสังหาฯ ลุ้นได้รัฐบาลใหม่ ลุยอัดยาแรง กระตุ้นกำลังซื้อซบ
เอกชนลุ้นได้รัฐบาลใหม่ ลุยอัดยาแรงกระตุ้นอสังหาฯ หลังเศรษฐกิจซบ ดอกเบี้ย-หนี้ครัวเรือนพุ่ง ทุบกำลังซื้อ จี้ช่วยลดภาระหนี้ เพิ่มรายได้คนระดับกลาง-ล่าง เลิกมาตรการ LTV ขยายเวลาผ่อนบ้านนาน 50 ปี แนะดีเวลลอปเปอร์เร่งปรับตัวทำหลากหลายธุรกิจใหม่เสริมรายได้
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วน 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยในแต่ละปีมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจำนวนมาก ทั้งจากการจ้างงานและในภาคส่วนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกมากมาย อาทิ ธุรกิจก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และอื่น ๆ ขณะที่ ณ ปัจจุบันภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศชะลอตัว ดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง
จากปัจจัยสำคัญดังกล่าว “ฐานเศรษฐกิจ” และเครือเนชั่น ได้จัดสัมมนา “โจทย์ใหญ่ฟื้นอสังหาริมทรัพย์ PROPERTY INSIGHT” ทั้งนี้ ในหัวข้อ “โอกาสและความท้าทาย ฟื้นอสังหาฯไทย” มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนร่วมสะท้อนมุมมองด้านต่าง ๆ ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
- ปรับตัวทางรอดผู้ประกอบการ
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีตัวแปรสำคัญคือมาตรการจากทางภาครัฐ โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาด ได้แก่ มาตรการกระตุ้นที่ในอนาคตอาจต้องทบทวนใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการถือครองของชาวต่างชาติ, การปรับปรุง Infrastructure ในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับกับประชากรที่มีมากกว่า 18 ล้านคน, ระเบียบขั้นตอนต่าง ๆ ของภาครัฐที่ต้องง่ายและรวดเร็ว, การประเมินค่าภาษีที่ดินใหม่, Skill development program, มาตรการ Green Building ที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม, Affordable Housing Development แบบ Longterm Housing และ Urban Planning ที่ทุกระบบควรไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนการเอาตัวรอดของดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวทำธุรกิจอื่นหรือร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รุกตลาดใหม่ๆ ไม่ใช่มีแค่อสังหาริมทรัพย์เพียงธุรกิจเดียว โดยใช้ฐานข้อมูล (data base) ที่ดีพอและเชื่อถือได้ในการกำหนดลูกค้าเพื่อทำผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายทั้งเพศ อายุ ประเด็นต่อมาคือ ความยั่งยืน ที่ต้องศึกษากองทุน นโนบาย มาตรการช่วยเหลือจากรัฐ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม เพราะผังเมืองใหม่อาจจะมี Green Area Ratio (อัตราส่วนพื้นที่สีเขียว) ออกมา
ขณะเดียวกันอาจต้องมีการร่วมทุน กับต่างชาติ ซึ่งเวลานี้ดีเวลลอปเปอร์ญี่ปุ่นอยากจะเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก ส่วนของกระบวนการทำธุรกิจเองต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาลดต้นทุน ตอนนี้หลายคนข้ามไปดูถึง Prop Tech (นวัตกรรมและเทคโลยีภาคอสังหาฯ) ควบคู่ไปกับการวิจัยที่เข้มข้นและเชื่อถือได้บวกกับการใช้สื่อทุกอย่างที่มีในมือให้เป็น
ด้านการเคลื่อนองค์กรต้องปรับตัวให้ได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว รวดเร็ว โดยบางดีเวลลอปเปอร์ หันไปทำธุรกิจโรงพยาบาล ทำซีเนียร์แคร์ (ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ) โกดัง เพราะบางตลาดเหมือนตายแต่ไม่ตาย หรือลดต้นทุนก่อสร้างโดยใช้แผนสำรอง เช่นนำ Property ที่มีในมือแต่ไม่สร้างเงินมาปรับปรุงให้สามารถสร้างเงิน และต้องมีข้อเสนอให้กับลูกค้า และโครงการในอนาคตอย่าทำเฉพาะบ้านแต่ต้องเพิ่มในส่วนของมิกซ์ ยูสเข้าไปด้วย
“สำคัญที่สุดคือในเรื่องของไฟแนนเชียล หากมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่น สงคราม ดอกเบี้ยขึ้น ต้องสามารถประเมินฐานะทางการเงินของเราว่าแบงก์จะพิจารณาอย่างไร และท้ายที่สุดคือจะต้องอดทนให้มาก และมองโลกว่ายังมีโอกาสรออยู่ข้างหน้าและหวังว่า|ทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่บังเอิญตัวเลขภาพรวมที่เราเห็นมาตลอดทั้งปีนี้บ่งบอกว่า “ปีนี้ไม่ดี” ดังนั้นอย่าโกหกตัวเอง แต่มารอลุ้นกันว่าปีหน้าน่าจะดีขึ้นบ้าง”
- ตลาดกลาง-บนยังไปได้
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติงาน บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะบ้านที่เจาะกลุ่มตลาดกลางถึงบนเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ จากผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อค่อนข้างดี โดยบางรายใช้เงินสดในการซื้อบ้านจากโครงการ แต่ทุกอย่างจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ หากได้รัฐบาลเร็วมาขับเคลื่อน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถไปต่อได้
“คนทำธุรกิจทุกคนต้องการให้เศรษฐกิจเติบโต เพราะฉะนั้น ขอให้รัฐบาลไหนที่เข้ามาช่วยให้นโยบายและทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยแสนสิริเชื่ออสังหาฯตลาดไฮเอนด์ยังโตได้ หวังได้รัฐบาลเร็วช่วยดันเศรษฐกิจ ส่วนตลาดที่น่าเป็นห่วงคือ ตลาดระดับล่าง ซึ่งที่ผ่านมาต้องมีการนำมาขายซ้ำ 2 รอบกว่าจะหมด เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของการขอกู้ที่ไม่ผ่านการอนุมัติจากสถาบันการเงิน และอาจจะต้องมีการเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้กู้ผ่าน”
- ดอกเบี้ย-หนี้ครัวเรือนตัวฉุด
สำหรับความท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ประกอบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันมีการปรับขึ้นมามากกว่า 1% และมีแนวโน้มว่าจะปรับอีก 1 รอบ โดยดอกเบี้ยถือว่าเป็นต้นทุนที่ใหญ่พอสมควรสำหรับอสังหาริมทรัพย์, สถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยมีผลทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นถึง 8% ขณะที่ปีนี้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
ส่วนเรื่องค่าแรง มีผลกระทบอยู่บ้าง และหากปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหรือค่าแรงอีกรอบ โดยคำนวณจากระดับ 450 บาทตามนโยบายของพรรคการเมือง ที่ต้องจับตาใกล้ชิด เพราะจะมีผลทำให้ต้นทุนราคาขายปรับขึ้นทันที 4-5% รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เชื่อมโยงไปถึงความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย และกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 15 ล้านล้านบาท หรือ 90% ของจีดีพี ทำให้ตลาดล่างกู้ยาก
- ต้องอัดยาแรง 2 ขนาน
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาครัฐมักจะโปรโมทด้านการท่องเที่ยว ทำให้ด้านการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น โดยคาดว่าจีดีพีไทยปีนี้จะอยู่ที่ 3% แต่ปัจจุบันพบว่า การท่องเที่ยวชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนติดปัญหาสถานการณ์ภายในประเทศ รวมทั้งการที่มีนายทุนจีนมาลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยก็เริ่มชะลอตัวลง โดยครึ่งปีแรกเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดอสังหาลักชัวรี ที่เอกชนรายใหญ่หลายรายสนใจในตลาดนี้
สำหรับยาแรงฟื้นอสังหาฯ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.ยาสามัญของดีเวลลอปเปอร์ พยายามอัดแคมเปญสินเชื่อร่วมกับพันธมิตรธนาคารในการกู้น้อย ผ่อนนาน เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้ให้กับลูกค้า โดยเป็นการให้ส่วนลดสินค้า หากใครสามารถทำได้ดีกว่า บริษัทนั้นจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาด ทั้งนี้รัฐบาลควรปลดล็อกมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการปลดล็อกมาตรการดังกล่าว ซึ่งสิ้นสุดมาตรการเมื่อปี 2565 หากสามารถดำเนินการมาตรการนี้ต่อได้จะช่วยภาคอสังหาฯ ให้เติบโตและมีกำไรที่ดี
2.วัคซีนจากภาครัฐ ประกอบด้วย การลดหย่อนหนี้สินโดยลดภาระทางการเงิน,การลดค่าใช้จ่าย โดยควบคุมสินค้าอุปโภคและบริโภค , ส่งเสริมการเพิ่มรายได้ เกิดการสร้างงานและมีรายได้เพิ่มขึ้นให้คนระดับกลางและระดับล่าง
“อสังหาฯเป็นห่วงโซ่อุปทานของทุกธุรกิจที่จะทำให้จีดีพีเติบโตได้ รวมทั้งส่งผลเกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างและระบบสาธารณูปโภคสูงขึ้นมีสาเหตุมาจากค่าแรงที่สูงขึ้น แต่วัสดุการก่อสร้างไม่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นผู้ประกอบการมีการปรับดีไซน์บ้านในรูปแบบใหม่ให้เรียบง่าย โมเดิร์น เพื่อลดต้นทุน ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือผู้บริโภค”
- แนะเลิกมาตรการ LTV
นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีบียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า ว่า ต้องการให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาฯ ยังคงต้องการมาตรการจากภาครัฐมาช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวต่อไปได้ และจะให้ดีคือต้องยกเลิกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย หรือ มาตรการ LTV
“ความเห็นส่วนตัวมีเรื่องที่อยากจะส่งไปถึงภาครัฐตัดสินใจเรื่อง มาตรการ LTV ต้องเลิกใช้ เพราะไม่ใช่มาตรการที่เอามาเพื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อ และไม่ใช่มาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเมื่อออก LTV มายังไงยอดขายก็แตะเบรก จึงอยากให้หาวิธีควบคุมสินเชื่อรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อไปคุมสินเชื่อที่ด้อยคุณภาพ และทำให้แผนจัดการทางการเงินให้ดีขึ้น”
โดยมีข้อเสนอว่า ในวิธีการควบคุมคุณภาพของสินเชื่อนั้นสามารถดำเนินการได้ผ่านวิธีเช่น การขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระค่าที่อยู่อาศัยจาก 30 ปี เป็น 40 ปี หรือ 50 ปี หรือทำให้เป็นสินเชื่อฐานแรกที่มีราคาต่ำลง เช่นเดียวกับการเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาสม รวมทั้งการหาทางผ่อนปรนการชำระสินเชื่อง่ายขึ้น ช่วยคนที่มีรายได้น้อยได้หายใจง่ายขึ้น
“จริง ๆ มีมาตรการในการแก้ไขที่อยากจะเสนอแนะมากมายที่ไม่ใช่วิธีการออก LTV เพราะถ้าออกมาตรการนี้แล้วกระทบยอดขายสะดุด ซึ่งภาคอสังหาฯ ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะกระทบทั้งระบบ ตั้งแต่อิฐ หิน ปูน ทราย ลูกหนี้ธนาคาร จะกลายเป็นวิกฤตที่น่ากลัวที่สุดหากใช้ยาผิดจะเกิดปัญหาได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 31ก.ค. ที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.40 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อได้ ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่มียีลด์สูง
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 31ก.ค. 2566ที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าในช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาททยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 34.20-34.50 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำและจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่าทีพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน หลังการประชุม Politburo ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาซื้อสินทรัพย์จีนอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นร้อนแรง ส่วนเงินหยวนจีนก็กลับมาแข็งค่าขึ้น
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตาการประชุมธนาคารกลาง ทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ BOE พร้อมรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดประเมินว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจเพิ่มขึ้น 2 แสนตำแหน่ง ทำให้อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.6% สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ตลาดแรงงานอาจลดความตึงตัวลง สอดคล้องกับยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่อาจลดลงต่อเนื่อง ตามภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจส่งผลให้อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ลดลงสู่ระดับ +4.2%y/y ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจคลายกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ อาทิ Amazon, AMD และ Apple เป็นต้น โดยต้องระวังในกรณีที่ตลาดผิดหวังกับรายงานหรือคาดการณ์ผลประกอบการ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้
โดยในกรณีดังกล่าว เราคาดว่า เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อได้ ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่มียีลด์สูง (High Yield Safe Haven)
▪ ฝั่งยุโรป – สำหรับการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เรามองว่า BOE จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +50bps สู่ระดับ 5.50% (นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มอง +25bps สู่ระดับ 5.25%) หลังอัตราเงินเฟ้ออังกฤษยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก
ทั้งนี้ ตลาดจะรอลุ้นว่า BOE จะส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตอย่างไร โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง สู่ระดับ 5.75%-6.00% ในส่วนภาพเศรษฐกิจนั้น ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2
โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนอาจยังคงขยายตัวได้กว่า +0.2%q/q หรือ+0.5%y/y หนุนโดยภาพตลาดแรงงานโดยรวมที่ยังคงแข็งแกร่งและทำให้ภาคการบริการของยูโรโซนยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 แม้ว่า ภาคการผลิตอาจยังคงซบเซา
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง จากผลกระทบของการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัวลงหนัก นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่า อาจยังคงอยู่ในระดับสูงราว 5.3% หรือ 5.4% สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ทำให้ ECB ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในเดือนกรกฎาคม โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า ภาคการผลิตของจีนนั้นอาจยังคงหดตัวอยู่ สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ระดับ 49 จุด
ขณะที่ ภาคการบริการอาจขยายตัวต่อเนื่อง ในอัตราชะลอลง สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 53 จุด ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตาว่า ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง หลังที่ประชุม Politburo ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าออกมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจจีน
ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 4.35% เพื่อให้สอดคล้องกับภาพอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะชะลอลงมากขึ้นก็ตาม
▪ ฝั่งไทย – เรามองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 2.25% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ยังมีความเสี่ยงด้านสูง รวมถึงความต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space)
ทั้งนี้ เราจะรอติดตามว่า กนง. จะมีการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตอย่างไรบ้าง โดยหากมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่สิ้นสุด เราก็พร้อมปรับมุมมองใหม่ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจบที่ระดับ 2.50%
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ในกรอบกว้าง และคงมองว่า เงินบาทจะยังไม่ได้อ่อนค่าไปมาก จนทะลุแนวต้านโซน 34.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หาก กนง. ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อที่ชัดเจน อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทจะยังไม่กลับมาเป็นเทรนด์แข็งค่า จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการโหวตเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลผสม
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีที่ 1) เฟดส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่ทั้ง ECB และ BOJ กลับไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สกุลเงินหลัก
อย่าง เงินยูโร (EUR) และ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงได้บ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หรือ 2) ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ในกรณีที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งต้องระวังรายงานจากบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและภาวะตลาดการเงินในช่วงรับรู้รายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.75-34.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.40 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดราม่าฟันดาบ! “นักกีฬายูเครน” โดนแบนหลังไม่จับมือ “นักกีฬารัสเซีย”
กลายเป็นประเด็นดราม่าในวงการกีฬาโลกทันทีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬาฟันดาบ ชิงแชมป์โลก 2023 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
โดยในประเภทเซเบอร์หญิง รอบแรก ปรากฏว่า ออลฮา คาร์ลัน นักฟันดาบหญิงชาวยูเครน โคจรมาพบกับ แอนนา สเมียร์โนวา นักกีฬาชาวรัสเซีย ที่มาแข่งในฐานะนักกีฬาอิสระไม่มีทีมชาติมาเกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งสองชาติกำลังเป็นข้อพิพาทกันอยู่หลังจากที่สงครามยังไม่ยุติลง
ผลการแข่งขันเป็นทางด้าน ออลฮา คาร์ลัน ที่เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้แบบไม่ยากเย็น 15-7 แต่กลับเกิดประเด็นที่ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกหลังจบการแข่งขันเมื่อ นักฟันดาบยูเครนปฏิเสธที่จะจับมือกับนักกีฬาของรัสเซีย โดยยื่นดาบออกไปให้แตะแทนการจับมือ
แต่ทางด้าน นักกีฬาชาวรัสเซีย ยังยืนยันที่จะขอจับมือทำให้ทาง ออลฮา คาร์ลัน เดินออกจากสนามแข่งขันไปเลย ส่วน แอนนา สเมียร์โนวา ไม่ยอมออกจากสนามแข่งขันโดยเธอนั่งรอเป็นเวลากว่า 50 นาที เพื่อเป็นการประท้วงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ สหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ (FIE) ได้ออกบทลงโทษตัดสิทธิ์ ออลฮา คาร์ลัน นักฟันดาบหญิงชาวยูเครน ไม่ให้ลงแข่งขันในรายการนี้ และทำให้เธอไม่สามารถทำคะแนนเพื่อเข้าแข่งขันกีฬาโอลมิปิก เกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส
ด้าน ดิมิโทร คูเลบ้า รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ได้ออกมาเรียกร้องให้ สหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ (FIE) คืนสิทธิ์การแข่งขันให้กับนักกีฬาของพวกเขา “ออลฮา คาร์ลัน ชนะการแข่งขันด้วยความยุติธรรม และแสดงศักดิ์ศรีของเธอ ผมขอให้พวกคุณคืนสิทธิ์ให้กับเขาแข่งขันต่อ”
“คู่แข่งแพ้ในเกมที่ยุติธรรมที่สุด แต่กลับตัดสินใจทำเรื่องสกปรกให้เป็นปัญหาด้วยการจับมือ นี่คือวิธีที่กองทัพรัสเซียปฏิบัติในสนามรบอย่างแท้จริง” คูเลบ้า กล่าว
สำหรับ ออลฮา คาร์ลัน นักฟันดาบหญิงชาวยูเครนวัย 32 ปี ลงแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก มาแล้วถึง 3 สมัย คว้าเหรียญรางวัลได้ทุกครั้ง (ปี 2008 เหรียญทอง, ปี 2012 เหรียญทอง, ปี 2016 เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 สัญญาณเตือนภัย “ไตวาย”
สมัยนี้ใครๆ ก็ทราบดีว่าหากไม่อยากเป็นโรคไต ก็อย่ากินเค็ม หรือลดอาหารรสจัด แต่หากเราดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ กินอาหารดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เมื่อไรล่ะที่เราจะรู้สึกตัวว่า เราอาจกำลังเข้าสู่ภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคไต Sanook! Health ให้ข้อสังเกตกับตัวคุณว่า หากมีอาการแบบนี้ รีบไปพบแพทย์ด่วนๆ เลย
10 สัญญาณเตือนภัย “ไตวาย”
1. ปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะ โดยมักพบเฉพาะผู้หญิง หากผู้ชายมีอาการนี้ อาจเป็นอาการของโรคนิ่วแทน
2. ปัสสาวะลำบาก รู้สึกเหมือนปัสสาวะไม่สุด ต้องเบ่งแรง หรือสะดุดกลางคัน เป็นสัญญาณของการอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะ
3. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่า 1-2 ครั้ง เนื่องจากไตทำงานไม่ปกติ ไม่สามารถดูดน้ำกลับเข้าร่างกายได้ จึงต้องขับออกบ่อยๆ
4. ปัสสาวะมีเลือดผสม ปัสสาวะเป็นสีแดงอ่อนๆ หรือสีน้ำล้างเนื้อ หรืออาจมีความขุ่นมากกว่าปกติ เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
5. ปัสสาวะมีฟอง เนื่องจากพบโปรตีนในปัสสาวะ
6. หนังตา มือ เท้าบวม โดยเฉพาะหลังตื่นนอนตอนเช้า
7. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย เนื่องจากมีปริมาณน้ำในตัวมากเกินไป และมีภาวะโลหิตจาง
8. ความดันโลหิตสูง
9. เลือดออกง่าย กระดูกหักง่าย เจ็บเอว ปวดหลัง เนื่องจากแคลเซียมในเลือดต่ำ
10. คันตามผิวหนัง
หากพบอาการเหล่านี้ ไม่ว่าจะข้อเดียวหรือหลายข้อ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วนเลยค่ะ เพราะหากพบก่อนก็จะรักษาได้ง่าย แต่หากปล่อยให้อาการหนักขึ้น อาการอาจทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เพราะไตมีหน้าที่ฟอกเลือด ฟอกของเสีย หากร่างกายเต็มไปด้วยของเสีย คราวนี้แม้แต่ปาฏิหาริย์ก็อาจช่วยอะไรคุณไม่ได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์ TOEFL: Natural Disaster
หลายๆคนคงเคยได้ยินคำศัพท์เกี่ยวกับภัยธรรมชาติกันแล้ว ทั้งในห้องเรียน หรือจากการติดตามข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว (earthquake) ดินถล่ม (landslide) ไฟป่า (wildfire) หรือเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ (tsunami) ที่เกิดขึ้นในภูเก็ตบ้านเรา ทีนี้เรามาดูคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติธรรมชาติกันครับ
1. anticipate (V.) อ่านว่า แอน-ทิ-ซิ-เพท
คาดการณ์ล่วงหน้า ใช้คำว่า expect หรือ predict ได้เช่นกันครับ
2. catastrophic (Adj.) อ่านว่า แค-แทส-ตรอ-ฟิค
เหตุการณ์ร้าย ทำให้เกิดหายนะทั้งในเชิงกายภาพ หรือทรัพย์สิน
3. collide (V.) อ่านว่า คอล-ลายด์
พุ่งชนอย่างรุนแรง หรือแปลว่า ขัดแย้งกัน ก็ได้
4. eruption (N.) อ่านว่า อิ-รั๊พ-เชิ่น
การระเบิดอย่างกะทันหัน
มักตามหลังด้วย of (eruption of)
5. famine (N.) อ่านว่า แฟ-มิน
ภาวะความขาดแคลนอาหาร มักมาพร้อมกับโรคติดต่อ (epidemic)
6. flood (N.) อ่านว่า ฟลั่ด
น้ำท่วม
7. impact (N.) อ่านว่า อิม-แพ็คท์
ผลกระทบ ในบริบทของสื่อจะแปลว่า สิ่งจูงใจ ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมเกิดความคล้อยตามได้
มักตามหลังด้วย on หรือ of (impact on/of)
8. persevere (V.) อ่านว่า เพอ-เซอ-เวียร์
มีความมุ่งมั่น ความพยายาม คำว่า endure (อดทน) หรือ persist (ยืนกราน) มีความหมายใกล้เคียงกันครับ
9. plunge (V.) อ่านว่า พลันจ์
พุ่งลงไปอย่างแรง ใช้ได้กับสิ่งของ หรือตัวเลข เช่นผลประกอบการของบริษัท หรือยอดขาย เป็นต้น
มักจะตามหลังด้วย into (plunge into)
10. unleash (V.) อ่านว่า อัน-ลีช
ปล่อย อาจเป็นสิ่งของ หรือเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกก็ได้ครับ
แบบฝึกหัด TOEFL
Choose the word that best complete each sentence.
1. Residents of Hawaii must accept the possibility of a volcanic (eruption/perseverance).
2. Years after the accident, she was finally able to (anticipate/unleash) her feelings of anger.
3. Houses along the river often face (famine/flooding) during the rainy season.
4. Many people think it is cruel to (collide/plunge) live lobsters in boiling water.
5. A well-written essay should make some kind of (catastrophe/impact) on its readers.
เฉลย
1. eruption
2. unleash
3. flooding
4. plunge
5. impact
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
จีนไม่พอใจ! ญี่ปุ่นสั่งห้ามการส่งออกไมโครชิป
รัฐบาลญี่ปุ่นออกคำสั่งควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไมโครชิปล้ำสมัยในสัปดาห์นี้ ซึ่งถูกมองว่า มีจุดประสงค์พุ่งเป้าไปยังจีน และสะท้อนภาพการดำเนินมาตรการจำกัดต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ประกาศออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้
ในคำสั่งล่าสุดนี้ กรุงโตเกียวระบุรายชื่อเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ 23 รายการที่ถูกห้ามส่งออกตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง อุปกรณ์ผลิตไมโครชิปล้ำสมัยต่าง ๆ ด้วย
โยชิอากิ ทาคายามา จาก Japan Institute for International Affairs ในกรุงโตเกียว บอกกับ วีโอเอ ว่า มาตรการจำกัดการส่งออกล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถของจีนในการผลิตชิปล้ำยุคได้ และระบุว่า “มาตรการของญี่ปุ่นส่งเติมเต็มมาตรการควบคุมที่นำโดยสหรัฐฯ เพราะว่า จำนวนบริษัทที่มีศักยภาพในการผลิตชิปล้ำสมัยนั้นมีจำกัดอย่างสุด ๆ” และว่า “มาตรการของญี่ปุ่นไม่เพียงแต่จะทำให้การที่จีนจะนำเข้าชิปทันสมัยเป็นเรื่องยาก แต่ยังจะทำให้การผลิตก็ยากไปด้วย”
มาตรการควบคุมฝั่งตะวันตก
สหรัฐฯ ออกคำสั่งห้ามส่งออกไมโครชิปล้ำสมัยและเทคโนโลยีผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางรายการไปยังจีนเมื่อเดือนตุลาคม และเรียกร้องให้พันธมิตรชาติตะวันตกต่าง ๆ ดำเนินการตาม โดยเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลัก ๆ ของโลก ออกคำสั่งมาตรการแบบเดียวกันในเดือนมิถุนายน
สหรัฐฯ ประกาศว่า ตนต้องการหยุดกรุงปักกิ่งไม่ให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อจุดประสงค์ทางการทหาร
ในการประชุมสุดยอดประเทศกลุ่มจี7 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ญี่ปุ่น พันธมิตรทั้งหมดยอมรับความจำเป็นที่จะ “ลดความเสี่ยง” ของการที่จีนใช้อำนาจทางเศรษฐกิจข่มขู่ผู้อื่นและเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาจีนสำหรับเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์
ทาคายามา ให้ความเห็นเพิ่มว่า มาตรการที่สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่นประกาศใช้นี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถของจีนในการไล่เทคโนโลยีของตะวันตกให้ทัน ทั้งยังจะสกัดกั้นความสามารถของจีนในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันล้ำสมัยและการยกระดับความสามารถการผลิตในระยะสั้น-ระยะกลางด้วย”
ทั้งนี้ คำประกาศของญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากของสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตรงที่ไม่มีการระบุชื่อจีนในฐานะเป้าหมายของมาตรการจำกัดการส่งออกนี้ แต่มีรายละเอียดเพียงว่า จะมีผลต่อ 160 ประเทศเท่านั้น
ถึงกระนั้น กรุงปักกิ่งได้ออกมาแสดงท่าทีโกรธเคืองต่อเรื่องนี้แล้ว
เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า “ญี่ปุ่นนั้นไม่สนใจต่อความกังวลอย่างรุนแรงของจีน และยืนยันที่จะเดินหน้าปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการส่งออกที่ชัดเจนแล้วว่า พุ่งเป้ามายังจีน … เราจะจับตาดูผลกระทบของมาตรการเหล่านี้ และจะปกป้องผลประโยชน์ของเราอย่างแน่วแน่”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“เคพกูสเบอร์รี่” ผลไม้จากชาวดอย ต้านมะเร็ง-หลอดเลือดหัวใจตีบ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีชื่อเสียงมานานว่ามีคุณประโยชน์มากมาย มีวิตามิน และสารอาหารดีๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายหลายอย่าง แถมรสชาติยังอร่อยสดชื่นอีกด้วย วันนี้ Sanook Health จะมาแนะนำให้รู้จักกับผลไม้ชื่อดังทางเหนือ ที่กำลังเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยทั่วไปมากขึ้น คือ เคพกูสเบอร์รี่ (Cape Gooseberry) หรือที่บางคนเรียกว่า “โทงเทงฝรั่ง” นั่นเองค่ะ
ลักษณะของเคพกูสเบอร์รี่
เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ลูกกลมๆ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองอมส้ม อยู่ภายใต้กลีบดอกบางๆ สีเหลืองอ่อนที่หุ้มลูกกลมๆ แต่ละลูกอยู่
นอกจากจะมีชื่อไทยว่า “โทงเทงฝรั่ง” แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่ว่า “ระฆังทอง” อีกด้วย
แหล่งผลิตเคพกูสเบอร์รี่
เคพกูสเบอร์รี่เป็นผลผลิตที่ได้จากการส่งเสริม และพัฒนาผลไม้ขนาดเล็ก มูลนิธิโครงการหลวงของเราเองนี่แหละค่ะ เป็นหน่งในพืชที่ทางโครงการสนับสนุนชาวบ้านให้ปลูกทดแทนไร่ฝิ่นนั่นเอง ดังนั้นชาวบ้าน หรือชาวเขาแถบภาคเหนือจึงเริ่มปลูกเคพกูสเบอร์รี่กันมาก
รสชาติของเคพกูสเบอร์รี่
เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้มแล้ว จะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว สามารถทานเดี่ยว จิ้มเกลือ หรือพลิกแพลงทานเป็นของว่างอย่างอื่นได้ เช่น ทานกับผักสลัด ทำสมูธตี้ ทำแยม เชื่อม อบแห้ง ชุบช็อคโกแลต ชุบน้ำผึ้ง ฯลฯ
6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ “เคพกูสเบอร์รี่” (Cape Gooseberry) หรือ “โทงเทงฝรั่ง”
- เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงกระดูก และฟัน เสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้
- มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นทั้งในที่สว่าง และที่มืด
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอด
- เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก
ก่อนนี้เราจะหาทานเคพกูสเบอร์รี่ ได้เฉพาะในภาคเหนือ ตอนนี้มีการส่งผลไม้แสนอร่อยนี้มาขายต่อในภาคกลาง และตามจังหวัดใหญ่ๆ ในประเทศมากขึ้น และแน่นอนว่าในราคาย่อมเยา เหมาะกับเศรษฐกิจในบ้านเราอย่างแน่นอน หวังว่าทุกคนจะได้มีโอกาสลิ้มลองเคพกูสเบอร์รี่กันบ้างนะคะ ทั้งอร่อย ดี มีประโยชน์แบบนี้ ซื้อไปฝากคนที่เรารักด้วยก็ดีนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/07/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,700.00 | 31,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,053.00 | 31,123.48 | 32,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,847.70 | 28,011.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,642.40 | 24,898.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 924.00 | 14,007.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 719.00 | 10,900.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,127.00 | 32,245.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/07/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.35 | 38.35 | 38.85 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 | 38.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.08 | 38.08 | 38.58 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 | 38.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.04 | 36.04 | 36.54 | 36.04 | 36.04 | – | 36.04 | 36.04 | 36.04 | 36.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.49 | 36.49 | – | – | – | – | – | – | – | 36.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.74 | 47.94 | 47.44 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 46.14 | – | – | – | 46.91 | – | 46.64 | 46.29 | – | 46.14 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.24 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.24 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.44 | 41.44 | 45.94 | 42.94 | 42.94 | – | – | – | – | 40.44 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |