สาระน่ารู้ประจำวันที่ 07 สิงหาคม 2566

เปิด 5 ทางออก “แอชตัน อโศก” อนันดาเตรียมเสนอลูกบ้าน 23 ส.ค.

เปิด 5 ทางออก “แอชตัน อโศก” อนันดาเตรียมเสนอลูกบ้าน 23 ส.ค. หลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหวังหาแนวทางแก้ไขปัญหา

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANANDA เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขและจะแจ้งให้ลูกบ้านโครงการ “แอชตัน อโศก” ทราบในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ ตามที่ขอเวลาไว้ 14 วันทำการ โดยมีหลายแนวทางที่มีความเป็นไปได้ ประกอบด้วย 

  • ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการซื้อหรือหาที่ดินเพิ่มเติม 
  • เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านสำนักการโยธา กทม.ไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) 
  • เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน รฟม. เสนอผ่านกระทรวงคมนาคม ไปยัง ครม. 
  • ประสานเจ้าของเดิมให้ยื่นทบทวนสิทธิที่ดินทางเข้า-ออกจาก รฟม. ให้ทบทวนสิทธิที่ดินเดิมก่อนเวนคืน ควรให้สิทธิทางเข้า-ออกอย่างน้อย 12-13 เมตร เพื่อให้สามารถขึ้นอาคารสูงและขนาดใหญ่พิเศษได้
  • ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่

“หลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขกรณีใบอนุญาตก่อสร้างใหม่นั้น คาดว่าจะมีหารือร่วมกันเร็วๆ นี้”
 

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจากอนันดา โดยยังยืนยันว่าศาลให้เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างฯของ กทม.ทั้ง 4 ฉบับ มิได้เพิกถอนประกาศกำหนดประเภทการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟม. และใบอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟม. เป็นทางผ่านดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะนี้กำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูรายละเอียดของคำพิพากษาและข้อกฎหมาย รฟม.

นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนให้กรมดำเนินการตรวจสอบข้อกฎหมายควบคุมอาคารเพิ่มเติม โดยเมื่อปี 2558 อนันดามีหนังสือหารือมาในข้อกฎหมายว่าถ้าหากมีทางเข้าออกที่ติดกับทางสาธารณะหน้ากว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ตามกฎหมายจะสามารถสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้หรือไม่ ซึ่งกรมได้ตอบไปตามข้อกฎหมายว่าถ้ามีก็ทำได้ แต่ทางเข้าออกนั้นต้องไม่มีติดเงื่อนไขใดๆ ตราบเท่าที่มีอาคารนั้นตั้งอยู่

“กรมไม่ได้ตอบรายละเอียดทางเข้าออกที่ขอใช้ของ รฟม. เป็นแค่คำถามมาว่าจะอนุญาตได้หรือไม่ถ้าเกิดมีที่ดินอีกแปลงเพิ่มแค่นั้นเอง เราก็ไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ได้ เราแค่เป็นการทวนข้อกฎหมายไปให้รับทราบว่าที่ดินที่เขาหามาจะทำเป็นทางเข้าออกจะต้องไม่มีเงื่อนไขใดๆ เท่าที่ดูเนื้อหาที่ตอบในเวลานั้นเราไม่ได้แตะเรื่องทางเข้าออก 12 เมตร ว่าเป็นที่ดินของใครเลย” 

ส่วนการที่บริษัทเสนอแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านสำนักการโยธา กทม.มายังกรม กระทรวงมหาดไทยไปยัง ครม.นั้น คงเป็นไปได้ยากถ้าจะให้แก้กฎหมายเพื่อโครงการเดียว และกรมคงทำให้ไม่ได้ เข้าใจว่าคงเป็นการเรียกร้องของบริษัทต่อ กทม.เพื่อร่วมกันแก้ปัญหามากกว่า

อย่างไรก็ดี กรมมองว่าข้อกฎหมายควบคุมอาคารหรือกฎกระทรวงต่างๆ มีความชัดเจนอยู่แล้ว และมีแนวทางการปฏิบัติที่รัดกุมอยู่แล้วว่าอาคารขนาดใหญ่มีทางเข้าออกอย่างไร เพื่อให้มีความปลอดภัย ซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่เรื่องแอชตัน อโศก เป็นประเด็นที่บริษัทนำเอกสารทางเข้าออกที่นำมาแนบขออนุญาตก่อสร้างอาคารเป็นทางเข้าออกสาธารณะหรือทางเข้าถาวรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ กทม.ต้องพิจารณาเอง เพราะเป็นรายละเอียดของการอนุญาต

ขณะที่กรณีสมาคมอาคารชุดไทยหรือภาคเอกชนด้านอสังหาฯ มีข้อเสนอขอให้ปรับแก้ไขข้อกฎหมายควบคุมอาคารในเรื่องขนาดถนนมากไปหรือน้อยไป ยังไม่มีประเด็นที่ต้องไปแก้ ส่วนการสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้มากขึ้นในพื้นที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้า ถนน ทางด่วน เป็นเรื่องของผังเมือง กทม.ที่จะต้องกำหนดโซนนิ่งและความสูงอาคาร เพราะ กทม.เป็นผู้จัดทำผังเมืองรวม กทม.เอง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บิ๊กเนม ดาหน้าบุก “ภูเก็ต” ปักหมุด บ้าน-คอนโดหรูเจาะตลาดต่างชาติ

บิ๊กเนมดาหน้าบุกภูเก็ต ปักหมุดพัฒนาโครงการบ้าน-คอนโดหรูเจาะกำลังซื้อชาวต่างชาติ หลังกทม.-ปริมณฑลตลาดใหญ่มีการแข่งขันรุนแรง

แม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังห่างจากช่วงปี2561 – 2562 จึงทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจในระยะยาว การซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นการสร้างภาระในระยะยาวจึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือมีความจำเป็นต้องเร่งรีบในขณะนี้ ทำให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยมีจำกัดมาก แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะหยุดการเปิดขายโครงการใหม่ หรือชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ไปได้นานๆ

ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจึงมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการหลายรายพยายามหาทำเลหรือช่องทางในการเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง

“พร็อพเพอร์ตี้ดีเอ็นเอ” ประเมินว่า ก่อนหน้านี้กระแสของการออกต่างจังหวัดเงียบลงไปจากช่วงปี2555 – 2557 จากที่เคยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ออกไปต่างจังหวัดกันมากมายโดยเฉพาะจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก เช่น ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา เป็นต้น แต่ก็ลดน้อยลงเหลือเพียงบางจังหวัดที่เป็นจังหวัดใหญ่  โดยจังหวัดที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ทั้งกำลังซื้อคนไทยและต่างชาติ อาจจะเหลือเพียงที่จังหวัดภูเก็ตเท่านั้นที่ชัดเจนที่สุด จังหวัดอื่นๆ ทั้งเมืองท่องเที่ยวชายทะเล และหัวเมืองอื่นๆ เหลือเพียงกำลังซื้อคนไทยที่ไม่มากนัก แต่ก็ยังผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายที่ยังคงเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่ในจังหวัดใหญ่เหล่านี้ เช่น เอพี ไทยแลนด์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แสนสิริ เอสซี แอสเสท และศุภาลัย เป็นต้น

สำหรับที่ภูเก็ตแล้วตอนนี้กลายเป็นจังหวัดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง และผู้ประกอบการท้องถิ่นเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างแสนสิริ ศุภาลัย ซึ่งมีทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม โดยเปิดขายกันมาหลายปีมากแล้วไม่ใช่แค่ช่วง 2 – 3 ปีมานี้ หลายโครงการของพวกเขาปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์มานาน 

ล่าสุดได้เปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องทั้งในปีที่ผ่านมา และปี2566 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดขายโครงการบ้านจัดสรรหลายระดับราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปถึงมากกว่า 30 ล้านบาทต่อยูนิตในภูเก็ตมาหลายปี และอาจจะมีโครงการใหม่ในอนาคต เช่นเดียวกับ ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตทมีโครงการบ้านจัดสรรหลายโครงการ หลายรูปแบบและระดับราคาในภูเก็ตเพื่อรองรับกำลังซื้อที่แตกต่างกัน

ผู้ประกอบการรายใหญ่อีกรายอย่างค่ายซีพีเอ็น เรสซิเด้นซ์ ก็มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกในภูเก็ตในช่วงระดับราคา 3 – 6 ล้านบาทต่อยูนิต 

โครงการบ้านจัดสรรของผู้ประกอบการหลายรายอาจจะเน้นไปที่กำลังซื้อคนไทย โดยเน้นทำเลที่อยู่ในพื้นที่เมืองของภูเก็ต แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายที่ต้องการกำลังซื้อต่างชาติ โดยเปิดขายโครงการ Branded Residence เช่น “ไรมอนแลนด์” ที่ร่วมกับ “โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้” เพื่อพัฒนาโรงแรม และโครงการที่อยู่อาศัยระดับ ลักชัวรี ในรูปแบบ Branded Residence บนที่ดินขนาดประมาณ 50 ไร่ที่กมลา เป็นโครงการ Rosewood Residences Kamala

“ลากูน่า พร็อพเพอร์ตี้” ผู้ประกอบการรายใหญ่ของภูเก็ตที่มีที่ดินขนาดใหญ่ และพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบ หลายระดับราคา คอนโดมิเนียมที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปถึงมากกว่า 70 ล้านบาทต่อยูนิต และยังมีการพัฒนาโรงแรม รีสอร์ตอีกหลายแห่ง หลายระดับราคาเช่นกัน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศเช่นกันว่าปี2566 ใช้งบซื้อที่ดินในจังหวัดภูเก็ตไปกว่า 2,000 ล้านบาทมากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร โดยจะเปิดโครงการใน 5 ทำเลทางฝั่งตะวันตกของภูเก็ต โดยจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และคาดว่าจะใช้เวลาพัฒนา 3 – 4 ปีทยอยพัฒนาเป็นส่วนๆ มูลค่าลงทุนในแต่ละส่วนประมาณ 1,000 ล้านบาท

“ซิซซากรุ๊ป” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรายหนึ่งที่มีการลงทุนที่ภูเก็ต พังงา และนครศรีธรรมราชหลายโครงการ อาจจะไม่ใช่รายใหญ่ แต่ใน ปี2566 ยังมีการลงทุนพัฒนาเพิ่มเติมอีก 4 โครงการทั้งโครงการโรงแรม ที่อยู่อาศัย และเมดิคอล เซ็นเตอร์ในภูเก็ต และนาใต้ พังงา รวมมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท 

ผู้ประกอบการรายใหญ่ของภูเก็ตอีกรายที่ต้องพูดถึง คือ “โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต” ซึ่งพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศระดับ ลักชัวรี ในภูเก็ต 4 โครงการแล้วปิดการขายแทบทุกโครงการ แม้ว่าระดับของราคาขายจะมากกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปก็ตาม นอกจากนี้ โบทานิก้ายังมีผู้ซื้อส่วนหนึ่งที่เป็นต่างชาติด้วย

ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายต้องการที่จะขยายฐานรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียมในภูเก็ตให้สามารถสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียง 1 – 2 โครงการแล้วก็หายไป การร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือผู้ประกอบการท้องถิ่นจึงเป็นอีก ทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้อาศัยทั้งกำลังทรัพยากรบุคคล และความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงความเข้าใจในตลาด และฐานข้อมูลลูกค้าที่อยู่แล้ว

โดยในช่วงช่วงปลายปีที่ผ่านมา “แอสเซทไวส์” ประกาศร่วมทุนกับทางโบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางแอสเซทไวส์จะร่วมลงทุน 30% ในโครงการ BOTANICA Grand Avenue บนพื้นที่กว่า 178 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านระดับ  ลักชัวรี  กว่า 200 ยูนิต โบทานิก้าเป็นผู้ประกอบการในภูเก็ตที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงที่ผ่านมา

โครงการของทางโบทานิก้าที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้ก็ได้รับความสนใจและปิดการขายต่อเนื่องมีผู้ซื้อทั้งไทยและต่างชาติ จากนั้นปี2566 ทางแอสเซทไวส์ก็แสดงความชัดเจนว่าต้องการขยายฐานลูกค้าในภูเก็ตแบบระยะยาว โดยการประกาศเข้าซื้อหุ้นกว่า 57.79 % ของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI มูลค่ากว่า 1,042,923,750 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในช่วงปีพ.ศ.2566 – 2569 ประมาณ 10,000 ล้านบาท และวางแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินกว่า 80 ไร่เพื่อพัฒนาโรงแรม และขยายเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้นในอนาคต

ภูเก็ตเป็นหนึ่ง ในตลาดที่ผู้ประกอบการพยายามหาช่องทางเข้ามาเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง และไม่ได้หวังเพียงกำลังซื้อจากคนในพื้นที่ หรือกำลังซื้อของคนไทยเท่านั้น กำลังซื้อของชาวต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาที่ภูเก็ตเป็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้มากกว่าคนที่เลือกไปเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ ของประเทศไทย บ้านพักตากอากาศหรือวิลล่า

รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงแต่อยู่ในทำเลที่ดีไม่ไกลจากชายหาด หรือสามารถเห็นวิวทะเลได้โดยตรงจากโครงการ หรือมีรูปแบบโครงการที่น่าสนใจก็จะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติค่อนข้างมาก ซึ่งชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจในภูเก็ตมีทั้งชาวเอเชีย และชาติตะวันตก แต่ชาวจีน และรัสเซีย ยุโรปอาจจะมีสัดส่วนที่มากกว่าชัดเจน นอกจากนี้โครงการที่ให้ผลตอบแทน 5 – 7%  ในช่วงระยะเวลา 3 – 7 ปี หรือมากกว่านี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง รูปแบบโครงการที่คนให้ความสนใจ

โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ซื้อต่างชาติที่ไม่ได้ตั้งใจมาพักอาศัยระยะยาวในภูเก็ต เพียงแค่ต้องการบ้านหรือที่อยู่อาศัยในช่วงระยะเวลาไม่นานเพื่อพักร้อนหรือหลบลมหนาวในประเทศตนเอง การซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบนี้ก็ตรงกับความต้องการของพวกเขา  โครงการรูปแบบนี้จึงมีจำนวนมาก และหลายโครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7ส.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอาจผันผวน sideway ในกรอบกว้าง ส่วน เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้กรณีที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง หากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7ส.ค.2566 ที่ระดับ  34.67 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  34.79 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าในช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาททยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 34.60-34.81 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำและการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง ก่อนจะกลับมาย่อตัวลง หลังยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาแย่กว่าคาด

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และไทย รวมถึง เตรียมพร้อมรับมือ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪  ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI จะอยู่ที่ระดับ 3.3% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้น +0.2%m/m) ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ตามแรงหนุนของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ยังคงประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI มีแนวโน้มชะลอลงและอาจทรงตัวใกล้ระดับ 3.0%-3.5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็อาจทรงตัวที่ระดับ 4.8% และมีแนวโน้มชะลอลง ตามภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาตามคาด ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมองว่า เฟดจะยังไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ในการประชุมเดือนกันยายน (จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดยังให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ ไม่ถึง 30%)

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากบรรยากาศในตลาดการเงินก็อาจผันผวนไปตามการตอบรับของผู้เล่นในตลาดต่อรายงานผลประกอบการได้

  ฝั่งยุโรป – นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องและผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนสิงหาคม ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ -24.5 จุด

 ส่วนในฝั่งอังกฤษ ตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจชะลอลงมากขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากที่ขยายตัวราว +0.1%q/q ในไตรมาสแรก กดดันโดยผลกระทบต่อเนื่องจากการประท้วงหยุดงานในช่วงต้นปี และ

 ผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า หาก BOE เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษชะลอลงมากขึ้นและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในช่วงปลายปีนี้หรือในช่วงต้นปีหน้า 

▪  ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานยอดการค้าล่าสุด โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกรกฎาคมจะยังคงหดตัวกว่า -12.6%y/y กดดันโดยการชะลอตัวของบรรดาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า สอดคล้องกับรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ยังคงอยู่ในภาวะหดตัว (ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จุด)

นอกจากนี้ การฟื้นตัวในประเทศที่ยังคงซบเซาจะกดดันให้ยอดการนำเข้า (Imports) ยังคงหดตัว -5.3%y/y ทั้งนี้ ในระยะถัดไป เราคาดว่า ยอดการค้าของจีน โดยเฉพาะในฝั่งนำเข้าอาจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังทางการจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

 ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดมองว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 6.50% เพื่อรอประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออีกครั้ง หลังอินเดียเผชิญภาวะน้ำท่วมและฝนตกหนัก ซึ่งอาจช่วยลดทอนผลกระทบจากภาวะแล้ง El Nino ได้ นอกจากนี้ ค่าเงินรูปี (INR) และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็มีเสถียรภาพมากขึ้น ลดแรงกดดันต่อ RBI ในการขึ้นดอกเบี้ย

▪  ฝั่งไทย – เรามองว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกรกฎาคมอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 0.8% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้น +0.4%m/m) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงราคาสินค้าหมวดอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจอยู่ที่ระดับ 0.9%-1.0% ซึ่งเรามองว่า อัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในระดับดังกล่าวอาจทำให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมากนัก และ

เรายังคงมองว่า กนง. อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% จนกว่าจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าคาด ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจหนุนเงินเฟ้อได้นั้น คือ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งยังมีความไม่ชัดเจน จนกว่าจะการจัดตั้งรัฐบาลจะเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงบ้าง แต่ความวุ่นวายของการเมืองไทยก็อาจกดดันให้เงินบาทยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทอาจผันผวน sideway ในกรอบกว้าง

โดยมีแนวต้านตั้งแต่โซน 34.75-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่แนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี หากการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น เงินบาทก็สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ตามแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงได้บ้าง หากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งเชื่อว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว อนึ่ง เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีที่ ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความผิดหวังต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนหรือประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดเครดิตเรทติ้งโดย Fitch Rating จากระดับ AAA เหลือ AA+

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินโลก ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.25-35.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ลุ้นเหนื่อย! “สาวไทย” รัวแซงชนะ เวียดนาม ปิดฉากลูกยาง ซี.วีลีก 2023 สนามแรก

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ซี.วีลีก 2023 สัปดาห์แรก เกมที่สาม ทีมชาติไทย พบกับ เวียดนาม ที่ศูนย์กีฬาในร่ม เมืองหวิญ ฟุค ประเทศเวียดนาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2566

เกมนี้ “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ส่งผู้เล่น 6 คนแรกประกอบไปด้วย พรพรรณ เกิดปราชญ์, วิภาวี ศรีทอง, ศศิภาพร จันทวิสูตร, วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, ทัดดาว นึกแจ้ง และ ปิยะนุช แป้นน้อย เป็นตัวรับอิสระ

เซตแรก เวียดนาม ที่ได้เสียงเชียร์เป็นฝ่ายออกนำ 6-3 จากนั้นยังเป็นเจ้าถิ่นที่นำห่าง 13-8 แต่ สาวไทย รวมพลังสู้ไล่ตีเสมอเป็น 20-20 ก่อนที่ในช่วงท้ายเซตจะเป็น เวียดนาม ที่ทำได้ดีกว่าเบียดเอาชนะไปได้ 25-22

เซตสอง เกมช่วงต้นสูสีเสมอกัน 5-5 จากนั้นเป็น สาวไทย ที่เริ่มจูนเครื่องกันติดฉีกนำห่าง 16-13 รวมทั้งขึ้นนำ 20-18 ก่อนปิดเซตเอาไปได้ 25-20 ไล่ตีเสมอเป็น 1-1 เซต

เซตสาม รูปเกมยังสูสีเสมอกัน 10-10 จากนั้น เวียดนาม  ทำได้ดีกว่าแซงนำ 14-10 ก่อนรักษาระยะห่างหนีไปเป็น 20-16 สาวไทย ฮึดสู้ตีเสมอ 23-23 เกมมาเดือดช่วงท้ายเมื่อทั้งสองทีมทุ่มสุดตัวก่อนที่ สาวไทย จะทำได้ดีกว่าเอาชนะไปได้ 28-26 แซงนำ 2-1 เซต

เซตสี่ สาวเจ้าถิ่นเป็นฝ่ายออกนำ 5-3 แต่ สาวไทย พลิกสถานการณ์แซงนำ 9-6 รวมทั้งทิ้งห่างออกไปเป็น 19-13 จากนั้นเกมมาเข้าทางไทยหมดก่อนปิดเซตเอาชนะไปได้ 25-17 เก็บชัยไปได้ 3-1 เซต

จากชัยชนะในเกมนี้ทำให้ “ลูกยางสาวไทย” เก็บชัยได้หมดทั้ง 3 เกมในสัปดาห์แรก โดย วอลเลย์บอลหญิง ซี.วีลีก 2023 สัปดาห์ที่สอง จะกลับมาแข่งขันที่ จังหวัดเชียงใหม่, ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม นี้ แฟนๆ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง ช่อง one31

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ทาน “ผัก”เท่าไร ถึงจะเพียงพอต่อร่างกาย ช่วยป้องกันโรคได้จริง?

เราต่างคนต่างรู้ดีว่า “ผัก” มีความสำคัญต่อร่างกายของเราอย่างไร นอกจากจะเป็นหนึ่งในอาหารที่เราต้องทานให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อแล้ว ผักยังมาพร้อมกากใยอาหารที่ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ไม่ให้เราท้องผูกกันอีกด้วย แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่า เราควรทานผักมากเท่าไร เพื่อให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

ทานผักเท่าไร ถึงจะเพียงพอต่อร่างกาย?

ตามปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ เราควรทานผักวันละ 400-500 กรัม

ผัก 400-500 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบได้กับ

  • ผักสุก 5 ถ้วยตวง หรือ กำปั้นมือ
  • ผัดสด ทานเป็นขนาด 2 เท่าของผักสุก คือ 10 ถ้วยตวง หรือกำปั้นมือ

ประโยชน์ของการทานผักให้เพียงพอ

  1. การทานผักผลไม้ในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค เช่น โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ และหลอดเลือด แต่หากทานผักผลไม้ไม่เพียงพอ เราก็จะได้รับประโยชน์จากผักที่ทานเข้าไปได้ไม่เต็มที่ และอาจไม่ส่งผล หรือมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอย่างที่ควรจะเป็น
  2. นอกจากเกลือแร่ และวิตามินแล้ว ผักยังมีสารเคมีที่เรียกว่า “พฤกษาเคมี” โดยสารเหล่านี้จะมีคุณสมบัติที่ดีต่อร่างกายแตกต่างกันไปตามสีของผัก ดังนั้นการทานผักหลากหลายสี หรือที่เราเรียกว่า “ผัก 5 สี” จะช่วยเพิ่มสารอาหารที่ดีต่อร่างกายได้อย่างหลากหลายมากขึ้น

ผัก 5 สี ประกอบด้วย

  • ผักสีเขียว มีคลอโรฟิลด์ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงขึ้น และมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย ตัวอย่างของผักสีเขียว ได้แก่ คะน้า ผักบุ้ง บร็อกโคลี่
  • ผักสีแดง มี แอนโทไซยานิน ไลโคปีน และเบตาไซซีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงขึ้น ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก ป้องกันโรคความจำเสื่อม และช่วยลดไขมันในเลือด ตัวอย่างของผักสีแดง ได้แก่ พริกหยวกแดง มะเขือเทศ
  • ผักสีเหลือง-ส้ม มีลูทีน และเบตาแคโรทีน ช่วยบำรุง และป้องกันความเสื่อมของดวงตา ลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด ลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย และส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ตัวอย่างของผักสีเหลือง-ส้ม ได้แก่ แครอต ฟักทอง
  • ผักสีน้ำเงิน-ม่วง มี แอนโทไซยานิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ยับยั้งอาหารเป็นพิษ บำรุงเส้นผมให้เงางาม และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ตัวอย่างผักสีน้ำเงิน-ม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง กะหล่ำม่ว
  • ผักสีขาว-น้ำตาลอ่อน มี แซนโทน กรดไซแนปติก และอัลลิซิน ที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต และมีฤทธิ์ในการต้านอนมูลอิสระ ตัวอย่างผักสีขาว-น้ำตาล ได้แก่ ผักกาดขาว ดอกกะหล่ำ หัวไชเท้า

ผักสด VS ผักสุก

เราสามารถทานผักได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการล้างแล้วหั่นทานสดๆ ทำมาปรุงให้สุกผ่านน้ำร้อน นำมาอบ นึ่ง ต้ม ผัด แกง ทอด แล้วแต่ที่เราชอบ แต่อาจมีข้อควรระวังเล็กน้อย เช่น ผักสดอาจเสี่ยงสารเคมีตกค้างมากกว่าผักสุก ส่วนปักสุกอาจเสี่ยงวิตามินหายไปจากการใช้ความร้อน เช่น วิตามินบี วิตามินซี และโพแทสเซียม

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไต ต้องระมัดระวังในการทานผักที่มีโพแทสเซียมเยอะๆ เช่น ผักสีเข้มๆ อย่าง คะน้า บร็อกโคลี่ ผักโขม เป็นต้น แต่หากต้องการทานจริงๆ สามารถลดปริมาณโพแทสเซียมด้วยการล้างน้ำเปล่าเยอะๆ ก่อนนำไปต้มจนสุก แล้วเลือกทานแต่ผักต้ม ไม่ทานน้ำต้มผัก

ในทางตรงกันข้าม หากผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรปล่อยให้โพแทสเซียมในร่างกายอยู่ในระดับต่ำ การเพิ่มโพแทสเซียมก็ทำได้ง่ายๆ เพียงเลือกทานผักสด ทานเป็นชิ้นๆ ไม่ผ่านความร้อนใดๆ

สำหรับทานใดที่อยากทานผักที่มีวิตามินเอสูง เช่น ผักสีส้มเหลืองอย่างแครอต มันฝรั่ง ฟักทอง รวมถึงผักสีเขียวเข้มอย่าง ตำลึง ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ สามารถทานสุกได้เต็มที่ เพราะวิตามินเอไม่ละลายไปกับน้ำร้อน สามารถได้รับวิตามินเอเข้าไปได้เต็มๆ


8 วลีภาษาอังกฤษที่ใช้สื่ออารมณ์ความรู้สึก

1. Scared Stiff

มีความหมายถึง อาการกลัว ที่รู้สึกกลัวมากๆ , กลัวจนตัวแข็ง

ตัวอย่างประโยค

I’m scared stiff of flying especially during landing.
ฉันกลัวการนั่งเครื่องบินมากๆ โดยเฉพาะช่วงที่เครื่องบินกำลังจะลงจอด

2. Tongue-tied

มีความหมายถึง อาการเขินหรืออายจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา เปรียบเหมือนลิ้นถูกผูกไว้ ทำให้พูดไม่ได้นั่นเอง

ตัวอย่างประโยค

Barbara was tongue-tied in the presence of her parent.
บาร์บาร่ารู้สึกอายจนพูดไม่ออก เมื่อครอบครัวของเธอปรากฏตัวขึ้น

3. Fish out of water

มีความหมายถึง ความรู้สึกอึดอัด ไม่สะดวกสบาย รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เปรียบเสมือนปลาที่ไม่ได้อยู่ในน้ำ ย่อมรู้สึกไม่สบายตัวและรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่เหมาะสม

ตัวอย่างประโยค

As a non-golfer. I felt like a fish out of the water at the clubhouse.
ด้วยความที่ไม่ใช่นักกอล์ฟ ฉันจึงรู้สึกแปลกแยกและอึดอัดเมื่อต้องอยู่ในคลับเฮาส์นี้

4. Go bananas

มีความหมายถึง ความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ สะเทือนใจ อันส่งผลให้เกิดอาการบ้าคลั่ง

ตัวอย่างประโยค

If you leave school, your parent will go bananas.
ถ้าเธอลาออกจากโรงเรียน ครอบครัวเธอต้องคลั่งมากแน่ๆ

5. Head over heels in love

มีความหมายถึง ความรู้สึกลุ่มหลงในความรัก หลงใหลในความรักจนหัวปักหัวปำ

ตัวอย่างประโยค

He’s head over heels in love with her!
เขาตกหลุมรักเธออย่างหัวปักหัวปำ!

6. Keep a stiff upper lip

มีความหมายถึง การเก็บอารมณ์ เก็บซ่อนความรู้สึก ไม่แสดงออกมา

ตัวอย่างประโยค

When she heard the bad news, she kept a stiff upper lip.
เธอเก็บอารมณ์เมื่อได้ยินข่าวร้าย

7. Proud as a peacock

มีความหมายถึง ความภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งในวลี Proud as a peacock เป็นการนำความภาคภูมิใจไปเปรียบกับ นกยูง ที่เป็นสัญลักษณ์ของความมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างประโยค

When his son won first prize, Bill was as proud as a peacock.
บิลรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อลูกชายของเขาได้รับรางวัลที่หนึ่ง

8. Over the moon

มีความหมายถึง ความยินดี ความปิติเป็นอย่างยิ่ง , ความรู้สึกดีอกดีใจ

ตัวอย่างประโยค

We were all over the moon when we heard the good news.
เราทั้งหมดดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้รับข่าวดี

ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th


เกียร์แบบขั้นบันได กับเกียร์แบบลากตรง แตกต่างกันอย่างไร?

  รู้หรือไม่ว่าเกียร์อัตโนมัติแบบขั้นบันได และแบบลากตรงมีความแตกต่างกันอย่างไร? ทำไมรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อจึงต้องออกแบบลักษณะเกียร์ให้แตกต่างกัน?

    อันที่จริงเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบจอยสติกที่พบในรถยุโรปบางยี่ห้อ, เกียร์ที่คอพวงมาลัย (ซึ่งก็มีในบางยี่ห้อเช่นกัน) แต่ที่พบเห็นกันส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นคันเกียร์แบบตรง และแบบขั้นบันได ซึ่งทั้งคู่ล้วนแต่ละมีลักษณะการใช้งานแทบไม่ต่างกันเลย

เกียร์อัตโนมัติแบบตรง

     อันนี้พบเห็นได้บ่อยในรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ โดยเกียร์ลักษณะนี้จะถูกออกแบบให้มีปุ่มสำหรับปลดล็อกเพื่อป้องกันการเข้าเกียร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าใจง่าย และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากจะต้องกดปุ่มปลดล็อกทุกครั้งที่ขยับออกจากตำแหน่ง P หรือพยายามจะเข้าเกียร์ R (เกียร์ถอยหลัง) เว้นแต่การสลับไปมาระหว่างเกียร์ N (เกียร์ว่าง) และเกียร์ D (เดินหน้า) ที่ไม่จำเป็นต้องกดปุ่มแต่อย่างใด

     กรณีที่รถมีตำแหน่งเกียร์ 2, 1 หรือ L ผู้ขับขี่ก็จำเป็นจะต้องกดปุ่มปลดล็อกก่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงการเข้าเกียร์ผิดที่อาจนำไปสู่การชะลอความเร็วอย่างกะทันหันได้

เกียร์อัตโนมัติแบบขั้นบันได (Gate type)

     รูปแบบเกียร์ลักษณะนี้ส่วนมากจะพบได้ในรถยนต์หรู เนื่องจากจะช่วยให้ห้องโดยสารดูมีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น โดยเกียร์แบบขั้นบันไดไม่จำเป็นต้องมีปุ่มปลดล็อก หากแต่ใช้การผลักคันเกียร์ไปทางด้านข้างควบคู่ไปกับการขยับขึ้น-ลงด้วย แต่ถึงแม้ว่าเกียร์ลักษณะนี้จะไม่มีปุ่มปลดล็อก ก็ยังคงให้ความปลอดภัยไม่แตกต่างกับเกียร์แบบตรง ยกตัวอย่างเช่นกรณีจะผลักจากตำแหน่งเกียร์ N (เกียร์ว่าง) ไปยังตำแหน่ง R (เกียร์ถอยหลัง) ผู้ขับขี่ก็ยังจำเป็นต้องเหยียบเบรกค้างไว้ก่อนอยู่ดี มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถผลักคันเกียร์ไปทางด้านหน้าได้

     นอกจากรูปแบบเกียร์ทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้นนั้น รถยนต์หรูบางยี่ห้อยังหันไปใช้เกียร์แบบไฟฟ้า ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับจอยสติกที่สามารถเด้งกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้ตลอดเวลา ซึ่งรูปแบบการโยกคันเกียร์ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อนั่นเอง

 แต่ไม่ว่าเกียร์ของรถคุณจะมีหน้าตาเป็นแบบใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้งานอย่างถูกต้อง เข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิกดาวน์โดยไม่จำเป็น จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาได้ในระยะยาวครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


8 สิ่งที่ควรรู้ก่อนรีโนเวทบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องบ้าน จาก SCG HOME Experience

พอคิดอยากจะปรับบ้านใหม่ ก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายเต็มไปหมด SCG HOME Experience  ชวนคุณมาวางความกังวลใจทั้งหมด แล้วมาพบกับข้อควรรู้สำหรับคนรักบ้านก่อนเริ่มงานรีโนเวท เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและตอบโจทย์ความต้องการใช้งานแบบระยะยาว เรียกได้ว่าทั้ง 8 เรื่องนี้ใช้เตรียมตัวไว้สำหรับการวินิจฉัยและพบหมอบ้านเบื้องต้น ก่อนไปสู่ขั้นตอนบำรุงรักษาบ้านใหม่ให้สวยงามขึ้นกว่าเดิม และอยู่สบายไปอีกแสนนาน

1) เช็คความต้องการใช้งานพื้นที่ภายในบ้าน

เริ่มต้นด้วยการตั้งโจทย์อย่างชัดเจนทั้งเรื่องงบประมาณและผู้ใช้สอยโดยมองไปถึงอนาคตข้างหน้า เพื่อจะได้ทราบขอบข่ายของการรีโนเวทว่า เป็นการปรับเปลี่ยนแค่เพียงบางส่วน หรือจำเป็นต้องต่อขยายพื้นที่เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านการใช้งาน ไปพร้อมกับการวางแผนการทำงานได้อย่างชัดเจน และรวดเร็ว

2) ตรวจสอบข้อกฎหมายการก่อสร้าง

เรื่องกฎหมายเป็นเรื่องที่ควรรู้อย่างยิ่ง เพราะจำเป็นจะต้องยื่นขออนุญาตในกรณีที่มีการต่อเติม ซึ่งหากการต่อยื่นเกิน 5 ตารางเมตร หรือข้อกำหนดในเรื่องระยะร่นที่แตกต่างกันไปตามรูปแบบผนัง กฎหมายบอกว่าต้องทำการเขียนแบบและยื่นขออนุญาตก่อน มีขั้นตอนการทำแบบสถาปนิก-วิศวกรเข้ามาเกี่ยวข้อง และต้องทำความเข้าใจกฎหมายด้วย

หลังจากนั้นจึงเป็นการตรวจสุขภาพบ้าน ได้แก่ โครงสร้าง สถาปัตยกรรม งานระบบ และโครงสร้างสาธารณะ เพื่อเช็กความเป็นไปได้ของโครงสร้างเดิม

3) ประมาณการงบประมาณ

ปกติแล้ว การสร้างบ้านหนึ่งหลังจะมีราคากลางของค่าก่อสร้างอยู่ที่ 18,000-20,000 บาทต่อตารางเมตร และยังมีงบประมาณแฝงที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างงานรื้อของเก่า ค่าดำเนินการพิเศษเฉพาะจุด หรือการปรับปรุงงานระบบใหม่ทั้งหมดสำหรับบ้านเก่าที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ซึ่งจำเป็นต้องบวกไว้เผื่อด้วย เพื่อที่จะนำไปสู่ข้อสุดท้ายที่การหาพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ในการดำเนินงานปรับปรุงก่อสร้าง

4) เลือกแบบบ้านที่เข้ากับสไตล์เรา

นอกจากแบบบ้านแล้ว ฟังก์ชันการใช้งานยังต้องสอดคล้องกับความต้องการใช้พื้นที่ในอนาคต และปรับบ้านให้เข้ากับทิศทางของแสงธรรมชาติตลอดวันอีกด้วย

สำหรับตัวบ้าน ควรมีระดับพื้นบ้านไม่ควรต่ำกว่าถนน หรือหากบ้านหลังที่ต้องการต่ำกว่าถนน ก็จะต้องคำนวณระดับความสูงหลังการถม หรือการจัดการระบายน้ำใหม่

ที่สำคัญ อย่าลืมเช็คโครงสร้างหลักว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากบ้านทรุดไม่ต้องตกใจเพราะย่อมเป็นไปตามอายุการใช้งาน แต่ให้ตรวจสอบที่โครงสร้างภายในว่าไม่มีรอยแตกร้าวบนตัวบ้าน พร้อมทั้งตรวจสอบวิธีการต่อเติมของตัวบ้านเพื่อวางแผนการปรับปรุงก่อนเข้าอยู่ต่อไป

5) เช็คงานระบบกับบ้านเก่า

เรื่องที่ต้องตรวจสอบงานระบบของบ้านเก่า มีทั้งระบบประปาและสุขาภิบาล ทดลองโดยการปิดก๊อกน้ำทุกอัน แล้วดูมิเตอร์ว่ามันยังวิ่งอยู่ไหม เช็ครอยรั่ว และดูว่าปั๊มยังทำงานตลอดเวลาหรือไม่ แต่หากเป็นบ้านอายุเยอะ อาจพิจารณาเลือกเปลี่ยนงานระบบใหม่ได้เลย

ตรวจเช็คปัญหาการรั่วซึมของหลังคา และระบบพื้นที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ด้วยการเปิดฝ้าเช็กคราบน้ำและรอยรั่วที่ช่องแสงผ่านได้ รวมทั้งให้ความสำคัญกับรอยต่อระหว่างผนังกับพื้นด้วย และเช็กร่องรอยของปลวก เพราะถ้ามีปัญหาจะได้จัดการทันท่วงที ร่วมกับการเลือกวัสดุทดแทนไม้เป็นวัสดุหลักในการรีโนเวทครั้งใหม่

6) ตรวจสุขภาพหลังคา

สำหรับเมืองไทยการป้องกันความร้อนเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบ้านเรา 80% มาจากหลังคา โดยการตรวจสอบระบบหลังคาและแผ่นสะท้อนความร้อนใต้หลังคา ถ้าไม่ไหวก็พิจารณาทำใหม่จะดีกว่า

สัญญาณเตือนปัญหาหลังคาที่อาจมาถึงส่วนใหญ่เป็นเรื่องรอยรั่ว ทั้งจากฝ้าภายในและรอยต่อระหว่างฝ้าเริ่มมีคราบให้เห็น โดยเฉพาะในฤดูฝน เสียงหยดน้ำกระทบฝ้าเวลาฝนตกพร้อมกับการเห็นฝุ่นกระจายตัวออกเป็นคราบเหมือนเส้นใยแมงมุม หากอาการหนักขึ้นถึงขั้นฝ้าบวม แอ่นตัว น้ำรั่วเข้าบ้าน แสดงว่าปัญหามาเยือนแล้วเรียบร้อย

7) วิธีซ่อมหลังคาหากชำรุด

SCG Roof Renovation มีวิธีการตรวจสอบงานหลังคา ด้วยการใช้โดรนบินขึ้นไปสำรวจการแตกร้าวชำรุด โดยจะเห็นภาพรวมทั้งหมด และบริเวณจุดเสี่ยงที่สุด ประกอบกับการมองเห็นจากในบ้านว่าในตำแหน่งที่มีน้ำรั่ว ซึ่งทำให้การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาทำได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนวิธีการซ่อมแซม จะเป็นการรื้อเปลี่ยนอะไหล่ จบปัญหาถาวร สำหรับการซ่อมหลังคาบ้านเดี่ยวเฉพาะจุด (Roof Repair), การรื้อเปลี่ยนหลังคาทั้งหมด (Re-roof) สำหรับบ้านที่รั่วหนัก รั่วหลายจุด จนซ่อมไม่ไหว ไปจนถึงสำหรับบ้านทาวน์เฮาส์ที่หลังคาติดกันทั้งหมด ก็มีบริการ Clip Top Up Roof แผ่นเมทัลชีทที่ขึ้นรูปลอนครอบทับหลังคาเดิมโดยไม่ต้องรื้อให้เกิดความเสี่ยงกับบ้านข้างๆ ซึ่งนับเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ SCG เท่านั้น

8) เตรียมหลังคาเผื่อโซลาร์เซลล์

สำหรับบ้านที่ตั้งใจอยากติดหลังคาโซลาร์ ควรพิจารณาตามข้อต่างๆ ต่อไปนี้

  • มีพื้นที่ติดแผงควรอยู่ทางทิศใต้ โครงสร้างหลังคาแข็งแรงรับน้ำหนักได้ปลอดภัย ซึ่งการติดตั้งแผงเหมาะสำหรับบ้านที่มีการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันจะคุ้มค่ากว่า
  • หลังคาไม่มีปัญหาการรั่วซึม หรือแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนติดโซลาร์ โดยจำเป็นต้องมีวิศวกรโครงสร้างเข้ามาตรวจก่อน ซึ่งหลังคาโครงสร้างเหล็กหรือโครงเหล็กถัก (Truss) มีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการติดตั้งได้เลย
  • มีทางขึ้นสำหรับการล้างแผงและดูแลระบบหลังการติดตั้ง โดยจำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอปีละ 1-2 ครั้ง

หากตรวจสอบแล้วพบปัญหา จุดที่ต้องการแก้ไข หรือต้องการรับคำปรึกษาเพิ่มเติมทุกเรื่องบ้าน สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ SCG HOME Experience ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญ ทีมช่าง พร้อมกับผู้ให้คำปรึกษาทุกงานเกี่ยวกับบ้าน มอบบริการแสนอุ่นใจทั้งสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการ ให้กับคนรักบ้านทุกคน หมดกังวลทุกเรื่องการทำบ้าน มาที่ SCG HOME Experience ในโครงการ Crystal Design Center เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ได้ทุกวัน เวลา 10.00 น.-19.00 น. โทร. 02-101-9922 Line Official : @scghomeexperience

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/08/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,750.0031,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,057.0031,184.1232,350.00
ทองรูปพรรณ 90%1,851.3028,065.71n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,645.6024,947.30n/a
ทองรูปพรรณ 50%926.0014,038.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%720.0010,915.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,132.0032,321.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/08/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.5538.5539.9538.5538.5538.5538.5538.5538.5538.55
แก๊สโซฮอล์ 9138.2838.2839.6838.2838.2838.2838.2838.2838.2838.28
แก๊สโซฮอล์ E2036.2436.2437.6436.2436.2436.2436.2436.2436.24
แก๊สโซฮอล์ E8536.6936.6936.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.5447.4449.9447.8443.54
เบนซิน 9546.3447.5146.8446.4946.34
ดีเซล B731.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.0442.4447.9444.5444.5441.04
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า