ต่างชาติซื้อคอนโดพุ่งจับตารัฐบาล”เศรษฐา1″ฟรีวีซ่าจีน ดันอสังหาฯ ปี67ฟื้น
ต่างชาติ โอนฯคอนโดฯ พุ่ง “REIC” คาดการณ์ปี2567 ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว อานิสงส์ “รัฐบาลเศรษฐา1” สร้างเชื่อมั่น จับตาออกมาตรการ กระตุ้นกำลังซื้อ ดึงเกณฑ์ LTV กลับมาใช้-ฟรีวีซ่าจีน-อินเดีย เข้าประเทศ ไตรมาส 4
มีเสียงจากดีเวลลอปเปอร์จำนวนไม่น้อย เสนอรัฐบาล “เศรษฐา1” ฟื้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) คาดการณ์ปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมจะฟื้นตัวดีขึ้น มีการโอนกรรมสิทธิ์เป็นบวกอยู่ที่ 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ติดลบอยู่มากมีปัจจัยมาจากการมีรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศการนำมาตรการ LTV กลับมากระตุ้นกำลังซื้อ ที่อ่อนแอลง ขณะการมาของนักท่องเที่ยวจีนกำลังซื้อหลักในไทยยังมีไม่มากเนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเอง แต่ไตรมาส4 ปีนี้ คาดว่าน่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงไฮซีชั่น
เมื่อตรวจสอบในเชิงลึกของความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม (ห้องชุด) ของชาวต่างชาติ ในไทยทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน พบ มีตัวเลขโอนกรรมสิทธิ์ กลับเป็นเกือบเป็นปกติเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด สะท้อนจาก
ครึ่งปีแรกปีนี้มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ของคนต่างชาติ7,338หน่วยคิดเป็นสัดส่วน 14.7%ข องหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมดมูลค่าคิดเป็น 24.5% หรือ 35,211 ล้านบาท มีหน่วยโอนฯเพิ่มขึ้น 65.6% มูลค่าโอนฯเพิ่มขึ้น 57.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยพบว่าสัญชาติจีนยังคงซื้อมากเป็นอันดับ1 ขณะสัญชาติเมียนมาซื้อห้องมีมูลค่าสูงที่สุดโดยซื้อราคาเฉลี่ย7 ล้านบาทและสัญชาติอินเดียซื้อห้องที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ย 89.8 ตารางเมตร
เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่า 5 อันดับแรกที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็นสัญชาติจีนมีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า จำนวน 3,448 หน่วย มูลค่า 16,992 ล้านบาท อันดับ 2 คือรัสเซีย จำนวน 702 หน่วย มูลค่า 2,556 ล้านบาท อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา จำนวน 293 หน่วย มูลค่า 1,289 ล้านบาท อันดับ 4 ฝรั่งเศส จำนวน 269 มูลค่า 1,127 ล้านบาท และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร จำนวน 260 หน่วย มูลค่า 1,287 ล้านบาท
ที่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมเมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟรีวีซ่า จีน อินเดีย จูงใจให้เดินทางเข้าไทยได้อานิสงส์ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้อีกต่อหนึ่ง
นาย วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ( REIC) สะท้อนว่า ภาพรวมอสังหาฯปีหน้า มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น คาดการณ์โอนกรรมสิทธิ์สูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบปีที่ผ่านมาเกิดจาก คาดการณ์จากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวไม่มีตัวช่วยสนับสนุนกำลังซื้อ สถาบันการเงินเข้มงวดถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง ทั้งนี้หากต้องการให้อสังหาฯฟื้นตัว
มีข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลต้อง ออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ทั้งการนำมาตรการ LTVกลับมา การเพิ่มโค้วต้าชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันกฎหมายอาคารชุดกำหนดไม่เกิน 49% เฉพาะจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวและเมืองเศรษฐกิจสำคัญรวมถึงเปิดโอกาสให้เอกชนรับซื้อคืนที่อยู่อาศัยเหมือนการเคหะแห่งชาติกรณีการผ่อนชำระผู้ซื้อไปไม่ไหว เป็นต้น
ขณะเดียวกันรัฐบาลเศรษฐา1 มีนโยบาย กระตุ้นท่องเที่ยวฟรีวีซ่าจีนและอินเดีย ในช่วงไตรมาส เชื่อว่า จะช่วยให้การมาของชาติดังกล่าว เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้น นอกจากการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามในภาพรวมช่วงสองไตรมาสแรกปีนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ยังคงอยู่กับปัจจัยลบในหลายด้าน ทั้งการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่เต็มที่ ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นที่เริ่มจะส่งผลทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนปรับตัวลงแล้ว ภาวะอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า90 %ของ GDP ราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยลบเหล่านี้ได้ส่งผล ต่อการปรับเปลี่ยนของอุปสงค์และอุปทานในตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา
โดยอุปสงค์มีการปรับตัวลดลงของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ และยอดขายใหม่ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร และยังต้องการมาตรการกระตุ้นที่สำคัญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหา ริมทรัพย์ ที่มีความชัดเจนและตรงจุด ทั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายของรัฐบาลใหม่ในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า เมื่อมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมองว่าช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตต่อเนื่อง และมีมาตรการต่างๆออกมากระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงกำลังซื้อต่างชาติที่รัฐบาลกระตุ้นภาคท่องเที่ยว
มุมสะท้อน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ดีเอ็นเอจำกัด ระบุว่า จากข้อมูลของ “REIC” พบว่ากำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยยังเป็นที่ต้องการและยังมีอยู่ต่อเนื่องจากช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เทกระจาด 11,492 หน่วยจัดแคมเปญดึงกำลังซื้องานมหกรรมบ้านการเคหะฯ 2023
การเคหะฯจัดใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” เพื่อประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย เทกระจาด11,492 หน่วย อัดโปร 3 ต่อ ลดสูงสุด 80,000 บาท จองวันงาน 1-3 ก.ย.นี้
การเคหะแห่งชาติ (กคช.) มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชน และเมือง ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชน ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมมาตลอดระยะเวลา 50 ปี และยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยประมาณ 2.27 ล้านครัวเรือนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” บริเวณสำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย ได้ง่ายขึ้นจากโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 11,492 หน่วย
ประกอบไปด้วย โครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย ภาคกลาง 1,008 หน่วย ภาคเหนือ 505 หน่วย ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย และภาคใต้ 1,487 หน่วย ในหลากหลายรูปแบบ
ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด บนทำเลศักยภาพ พร้อมมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษ 3 ต่อ ประกอบด้วยต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% จากมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยฯ หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) บ้านพร้อมที่ดิน 1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 33 ตร.ม. 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. 1,000-1,200 บาทต่อเดือน ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ จากโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ (คบส.) กรณีไม่ผ่านสินเชื่อธนาคาร
สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,000 บาท หรือเช่าซื้อ กคช. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4%
ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,200 บาท และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท สำหรับโครงการที่มีอาคารคงเหลือไม่เกิน 10 หน่วย และต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มทันที 15,000-40,000 บาท แบ่งเป็น โครงการเชิงสังคม 15,000 บาท โครงการเชิงพาณิชย์ ราคาตํ่ากว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 20,000 บาท ราคามากกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 40,000 บาท
รวมส่วนลดสำหรับโครงการที่เข้าร่วมทุกโปรโมชั่นสูงสุด 80,000 บาท รายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และโครงการที่เข้าร่วมเป็นไปตามที่การเคหะแห่งชาติกำหนด พร้อมพบกับกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมการทำนํ้าหมักจุลินทรีย์ ตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี รับสมัครงาน สินค้าชุมชน สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดจากโครงการธงฟ้า และบูธสถาบันการเงินต่างๆ อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ ที่จะมาให้คำแนะนำและให้บริการเรื่องการยื่นขอสินเชื่อสำหรับลูกค้าภายในงานฯ
การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในฐานะรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดรับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุก คนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” โดยมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน สนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ปัจจุบันได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตอบสนองนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และ “บ้านเคหะสุขเกษม” สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนวัยเกษียณ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 31ส.ค. ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทรับอานิสงส์ฝั่งแข็งค่าจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ-ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน และเศรษฐกิจจีน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 31ส.ค.2566 ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.10 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังพอได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังตลาดทยอยปรับลดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อและโอกาสการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของเฟด
ซึ่งภาพดังกล่าวอาจดำเนินต่อไปได้ ตราบใดที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นยังคงออกมาแย่กว่าคาด แต่เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์อาจเริ่มจำกัดลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอคอยรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในวันศุกร์นี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าปรับสถานะการถือครองไปมากนัก
อนึ่ง เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง หลังนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องมากขึ้น ขณะที่ฟันด์โฟลว์ในฝั่งตลาดบอนด์ยังมีความไม่ชัดเจนนัก โดยเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอให้มั่นใจต่อแนวโน้มบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก่อน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่แรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังพอมีอยู่บ้าง โดยผู้เล่นในตลาดอย่างผู้นำเข้าบางส่วนอาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับที่เราเคยประเมินไว้แถว 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน รวมถึงช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับดังกล่าวได้ง่ายนัก
ขณะที่โซนแนวต้าน อาจยังอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ เว้นว่า ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทจะกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ตลาดมองเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อเกิน 60% อีกครั้ง ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส หรือ ดีกว่าคาด
อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.15 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยปรับตัวแข็งค่า แต่ยังเป็นการเคลื่อนไหวที่ผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 34.94-35.12 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้ง คาดการณ์ครั้งที่ 2 ของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาส2 (Q2 GDP growth) และยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ได้ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ทั้งนี้ เงินบาทได้อ่อนค่าลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์มีการรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย
รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ยังคงช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ท่ามกลางการทยอยปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งภาพดังกล่าวยังคงช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นต่อ (Apple +1.9%, Alphabet +1.0%) ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.15% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของธนาคารกลางยุโรป (ECB) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -0.7%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ การปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของผู้เล่นในตลาด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.11% อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนักจากวันก่อนหน้า เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้ ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด ซึ่งทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.1 จุด (กรอบ 102.9-103.5 จุด) ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ทว่าเงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงหนัก
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้าน 1,975 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 1,971 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ทั้งอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนกรกฎาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะนี้ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดและสะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอลงมากขึ้น
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานการประชุม ECB ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ว่าจะสามารถปรับขึ้นได้อีกกี่ครั้ง หลังจากที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่และบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ECB อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อ +25bps เพียงอีกครั้งเดียว
และในฝั่งเอเชีย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน (Manufacturing & Services PMIs) โดยนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนจะยังคงซบเซาต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนสิงหาคม ที่อาจลดลงสู่ระดับ 49 จุด
และ 50.9 จุด ตามลำดับ นอกจากนี้ ภาพดังกล่าวจะยิ่งชี้ว่า ทางการจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงหนัก ทั้งนี้ หากรายงานดัชนี PMI ออกมาย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาด อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชียและทำให้สกุลเงินฝั่งเอเชียเคลื่อนไหวผันผวนได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.91-34.93 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น สวนทางเงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งหนุนมุมมองคาดการณ์ว่า เฟดอาจยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบเดิมที่ 5.25-5.50% ในการประชุม FOMC เดือนก.ย. นี้ … ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเอกชนรายงานโดย ADP เพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. (ตลาดคาดที่ 195,000 ตำแหน่ง) ขณะที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/66 รายงานครั้งที่ 2 ขยายตัว 2.1% annualized QoQ (ทบทวนลงมาจากตัวเลขรอบแรกที่ 2.4% annualized QoQ)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.90-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์และค่าเงินหยวน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนก.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดตัว “DreameBot L20 Ultra” หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน AI ไบโอนิคที่ทรงพลังที่สุด
Dreame ชูเทคโนโลยีเอไอใน DreameBot L20 Ultra หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน AI ไบโอนิคที่ทรงพลังที่สุด พลังดูด 7000pa สูงสุดในตลาดที่มาพร้อมระบบแขนกลเครื่องแรกของโลก ครั้งแรกของขนแปรงทำความสะอาดขนาด 2 มม. พร้อมพลังการทำความสะอาดที่แข็งแกร่ง
Dreame Technology (ดรีมมี เทคโนโลยี) บริษัทเทคโนโลยีเครื่องใช้ในบ้านอัจฉริยะชั้นนำของโลก จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีนายอรรจน์ อังศุธนาธาร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสเอชดี เทคโนโลยี จํากัด ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วย นายวินเซนท์ เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอชดี เทคโนโลยี จำกัด, นางดอริส หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ดรีมมี เทคโนโลยี, นายริชาร์ด หลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เอสเอชดี เทคโนโลยี และ นายจินเปียว เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสเอชดี เทคโนโลยี จำกัด ให้เกียรติเข้าร่วมงานเปิดตัวดังกล่าว รวมถึงพันธมิตรและลูกค้า อาทิ Com7, Jaymart, CSC&ITCITY อีกทั้งยังได้เกียรติจากสื่อมวลชน เซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมากมายเข้าร่วมงานในครั้งนี้อีกด้วย
ในฐานะแบรนด์ชั้นนำที่สร้างยอดขายถล่มทลายในตลาดประเทศไทย Dreame ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่นเรือธงตัวใหม่ DreameBot L20 Ultra และเครื่องทำความสะอาดพื้นไร้สาย Dreame H12 Dual ที่สามารถทำความสะอาดพื้นได้ทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง โดยภายในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ Dreame ไม่เพียงแต่แบ่งปันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชั้นนำแห่งอนาคตของอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเจาะลึกถึงความสำเร็จและแผนการเพื่อสร้างความก้าวหน้าในด้านวิทยาการหุ่นยนต์อีกด้วย
หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน DreameBot L20 Ultra นี้มีแรงดูดสูงสุด 7000pa ซึ่งเป็นแรงดูดสุญญากาศที่ทรงพลังที่สุด สามารถดูดสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ในที่ที่มองไม่เห็น เช่น ในพรม ได้อย่างหมดจดเพื่อให้บ้านสะอาดยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่นแรกของโลกที่มีเทคโนโลยี MopExtend™ อีกด้วย โดยเมื่อหุ่นยนต์ตรวจพบขอบผนัง ไม้ถูพื้นจะยืดออกเพื่อเช็ดไปตามขอบเช่นเดียวกับการทำความสะอาดด้วยมือมนุษย์ จึงช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรก เส้นผม ฝุ่น คราบสกปรก และอื่น ๆ ในจุดที่ยากต่อการเข้าถึงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือได้ว่า DreameBot L20 Ultra นี้เป็นการรวมเอาเทคโนโลยีชั้นสูงเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังแรงดูดในการทำความสะอาด เทคโนโลยีระบบอัจฉริยะต่าง ๆ การทำความสะอาดและการดูแลรักษาเครื่อง ทั้งหมดนี้จึงตอบโจทย์การทำความสะอาดในครัวเรือนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน DreameBot L20 Ultra ขึ้นแท่นเป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดแบบอเนกประสงค์ (All-in-one) ที่ทันสมัยที่สุดในปี 2023
การตรวจจับสิ่งสกปรกอัจฉริยะ ทำความสะอาดซ้ำจุดที่สกปรกและถูโดยอัตโนมัติ
DreameBot L20 Ultra มาพร้อมกับฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย ด้วยระบบ Intelligent Optical Dirt System หุ่นยนต์จะตรวจจับความสกปรกของผ้าถูพื้นได้โดยอัตโนมัติ จากนั้นจะพิจารณาว่าจำเป็นต้องทำความสะอาดหรือไม่ และต้องถูบริเวณนั้นซ้ำหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นสะอาดที่สุดเสมอ นอกจากนี้ ระบบ Night Vision Light ที่จะส่องสว่างขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มืดเพื่อช่วยให้หุ่นยนต์ตรวจจับวัตถุได้อย่างแม่นยำในที่มืด อีกทั้งยังมีการรวมฟีเจอร์การทำความสะอาดซ้ำและการถูอัจฉริยะส่งผลให้ทำความสะอาดได้ดียิ่งขึ้น
DreameBot L20 Ultra ยังมาพร้อมกลยุทธ์การทำความสะอาดพรมแบบอัจฉริยะ โดยหลังจากตั้งค่าการใช้งานแล้ว หากที่บ้านของคุณมีพรมขนยาว Dreame L20 Ultra จะกลับไปที่แท่น Base station เพื่อแยกชิ้นส่วนไม้ถูพื้นโดยอัตโนมัติหลังจากทำความสะอาดพื้นที่อื่นๆ เสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงจะทำความสะอาดพรมแยกกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พรมเปื้อนเปียก สำหรับพรมขนสั้น ไม้ถูจะยกขึ้น 10.5 มม. โดยอัตโนมัติ และจะไม่สัมผัสกับพรมทำให้สามารถช่วยลดสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีระบบให้เครื่องกลับแท่นชาร์จเอง
ความฉลาดของเทคโนโลยี AI สู่การเป็นแม่บ้านที่เรียนรู้งานอยู่เสมอ
DreameBot L20 Ultra มาพร้อมกับคุณสมบัติอัจฉริยะมากมาย เช่น กล้อง AI Action ตรวจวัดระยะทางด้วยเลเซอร์ สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวางได้มากกว่า 55 ประเภท และหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางด้วยระยะห่างเพียงมิลลิเมตรเพื่อการทำความสะอาดที่แม่นยำที่สุด ระบบ Night Vision Light ที่จะส่องสว่างขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มืดเพื่อช่วยให้หุ่นยนต์ตรวจจับวัตถุได้อย่างแม่นยำในที่มืด DreameBot L20 Ultra รองรับการควบคุมด้วยเสียงและการตรวจสอบระยะไกลผ่านวิดีโอ โดยสามารถโต้ตอบกับสมาชิกในครอบครัวและสัตว์เลี้ยงจากนอกบ้านได้อย่างง่ายดาย ทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้นและสนุกยิ่งขึ้น
แท่นชาร์จทรงพลังพร้อมแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานยาวนานเป็นพิเศษ หมดกังวลเรื่องการทำความสะอาดและบำรุงรักษา
แท่นชาร์จของ DreameBot L20 Ultra ยังทำหน้าที่อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ เก็บฝุ่นอัตโนมัติ ถอดและใส่ผ้าถูพื้นอัตโนมัติ เปลี่ยนน้ำอัตโนมัติ เติมน้ำยาทำความสะอาดพื้นผิวอเนกประสงค์อัตโนมัติ และอบแห้งผ้าถูพื้นอัตโนมัติ อีกทั้งถุงเก็บฝุ่นป้องกันแบคทีเรียสามารถจุได้ 3.2 ลิตร เปลี่ยนเพียงแค่ 5 ครั้งต่อปี หรือ ทุกๆ 75 วันเท่านั้น นอกจากนี้ ด้วยถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ขนาด 4.5 ลิตร และแบตเตอรี่ความจุ 6400 mAh ที่มาพร้อมระบบชาร์จเร็ว ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ยาวนานกว่าเดิมช่วยให้บ้านสะอาดอย่างทั่วถึงอยู่เสมอ
เครื่องถูพื้น Dreame H12 Dual Wet-and-dry Cleaner ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการทำให้แห้งด้วยความร้อนทำให้ใช้งานได้หลากหลายในเครื่องเดียว สามารถทำความสะอาดทุกพื้นผิวในบ้านได้อย่างง่ายดาย
ดรีมมี มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทุกความต้องการในการทำความสะอาดภายในบ้าน ดังนั้นเครื่องถูพื้นรุ่น Dreame H12 Dual จึงได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากจากรุ่น H12 Pro ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งรุ่นนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมทั้งไม้ถูพื้น เครื่องดูดฝุ่นทรงตั้งและเครื่องดูดฝุ่นแบบมือถือเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าความต้องการในการทำความสะอาดจะเป็นอย่างไร ก็สามารถใช้เครื่องเดียวนี้เป็นเครื่องดูดฝุ่นแบบตั้งตรงปกติ ไม้ถูพื้น เครื่องดูดฝุ่นแบบมือถือ หรือเครื่องดูดไรฝุ่นได้ และไม่ว่าจะสกปรกขนาดไหน Dreame H12 Dual ก็สามารถรับมือได้
ด้วยมอเตอร์พลังแรงถึง 98,000 รอบต่อนาที ทำให้เครื่องถูพื้น H12 Dual สามารถจัดการกับสิ่งสกปรกทั้งเปียกและแห้งบนพื้นกระเบื้อง ไม้ และพื้นแบบอื่นๆ ได้อย่างหมดจดและง่ายดาย ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้เป็นเครื่องดูดฝุ่นทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง หรือถอดชุดมอเตอร์ออกและติดตั้งอุปกรณ์ดูดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดพรม เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ อีกมากมายอย่างง่ายดาย ด้วยการออกแบบสำหรับการทำความสะอาดแบบขอบชนขอบที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เครื่องถูพื้น H12 Dual สามารถขยายแปรงให้อยู่ห่างจากบัวผนังในระยะ 6 มม. เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดได้รับการทำความสะอาดอย่างดี อีกทั้ง ระบบตรวจจับฝุ่นและสิ่งสกปรกขั้นสูงจะปรับการตั้งค่าอย่างชาญฉลาดตามรูปแบบการทำความสะอาดที่ตั้งค่าไว้
เพียงกดปุ่มแค่ครั้งเดียวเครื่องถูพื้น H12 Dual ก็เริ่มทำความสะอาดพื้นที่สกปรกและเช็ดให้แห้งโดยอัตโนมัติ Dreame H12 Dual สามารถหมุนหัวแปรงลูกกลิ้งไปได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังระหว่างการทำความสะอาดเพื่อปั่นแห้ง ตามด้วยการทำให้แห้งด้วยความร้อน 30 นาทีที่อุณหภูมิ 55°C (131°F) การปั่นแห้งและการทำให้แห้งด้วยความร้อนนี้ช่วยขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เก็บเศษผม และทำให้ลูกกลิ้งสะอาดและแห้งอยู่เสมอ พร้อมใช้งานครั้งต่อไป การผสานรวมเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าเข้าด้วยกันช่วยให้ผ้าถูแห้งและสะอาดหมดจด เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดและทำให้แปรงลูกกลิ้งแห้งเท่านั้น แต่ยังช่วยลดกลิ่นอับและทำให้ผ้าขนสัตว์มีขนฟูขึ้น
หุ่นยนต์ทำความสะอาด DreameBot L20 Ultra ราคา 36,990 บาท, DreameBot L20 ultra +Kit ราคา 43,990 บาท และเครื่องถูพื้น Dreame H12 Dual ราคา 22,990 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ PowerBuy, Btrend, Dotlife, วิรัติมาลี, Banana MBK, Banana Index Living mall Bangna, Life Gadget สามย่านมิตรทาวน์ และ Life Gatget The Mall Bangkapi หรือสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ Shopee, Lazada, Tiktok, Nocnoc สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดตามได้ที่เฟซบุ๊คเพจ Dreame Thailand
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Question Tag ใช้ยังไงให้ถูกต้อง?
*** ถ้าประโยคหลักเป็นประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) ส่วนของ Tag จะต้องเป็นประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence)
หลักการสร้าง Question tag มีดังต่อไปนี้
1. ประโยคบอกเล่าที่มีกริยาช่วย ( to be, V. to have, V. to do, will, would, shall, should, may, might, can, could) ให้ใช้กริยาช่วยเหล่านั้นมาทำเป็น Question tag ได้เลย เช่น
- Jack is from Spain, isn’t he?
- Mary can speak English, can’t she?
- He shouldn’t say things like that, should he?
- They aren’t funny, are they?
2. ถ้าประโยคหลักอยู่ในรูปของ present simple (รูปประโยค ประธาน + กริยาช่อง 1)ให้ใช้ do, does เข้ามาช่วยในการสร้างส่วนของ Tag เช่น
- She loves shopping, doesn’t she?
- They have a lot of friends, don’t they? (have ในประโยคไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยแต่ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ แปลว่า มี)
3. ถ้าประโยคหลักอยู่ในรูปของ past simple (รูปประโยค ประธาน + กริยาช่อง 2) ให้ใช้ did เข้ามาช่วยในการสร้างส่วนของ Tag เช่น
- You killed her, didn’t you?
- He ate the banana, didn’t he?
4. ถ้าประโยคหลักใช้ I’m ส่วนของ Tag ต้องใช้ aren’t I? แต่ถ้าประโยคหลักใช้ I’m not ส่วนของ Tag ต้องใช้ am I? เช่น
- I am attractive, aren’t I?
- I am not the last one, am I?
5. ถ้าประโยคที่มี This is, That is อยู่ในประโยคหลัก ส่วนของ Tag จะต้องใช้เป็น Isn’t it? หรือ Is it? (ขึ้นอยู่ว่าประโยคหลักอยู่ในรูปบอกเล่าหรือปฏิเสธ) เช่น
- This is my friend, isn’t it?
- That is a book, isn’t it?
6. ถ้าประโยคที่มี These are, Those are อยู่ในประโยคหลัก ส่วนของ Tag จะต้องใช้เป็น aren’t they? หรือ are they? (ขึ้นอยู่ว่าประโยคหลักอยู่ในรูปบอกเล่าหรือปฏิเสธ) เช่น
- These are pens, aren’t they?
- Those are not your shoes, are they?
7. ถ้าประโยคหลักเป็นประโยคคำสั่ง(แต่ไม่ใช่ในเชิงปฏิเสธหรือประโยคคำสั่งที่ไม่มี not) ส่วนของ Tag จะเป็น will you? หรือ won’t you? ก็ได้ เช่น
- Stop daydreaming, will / won’t you?
- Be quiet, will / won’t you?
8. ถ้าประโยคหลักเป็นประโยคคำสั่ง(ในเชิงปฏิเสธหรือประโยคคำสั่งที่มี not) ส่วนของ Tag จะเป็นต้องเป็น will you? เช่น
- Don’t stop running, will you?
*** อาจจำไปเลยก็ได้ครับว่าถ้าประโยคหลักเป็นประโยคคำสั่ง ส่วนของ Tag จะเป็น will you?
9. ถ้าประโยคหลักมี Let’s (Let us) ส่วนของ Tag จะต้องเป็น shall we? แต่ถ้าประโยคหลักมี Let+Objective+V.1 ส่วนของ Tag จะต้องเป็น will you?เช่น
- Let’s go, shall we?
- Let it go, will you?
การตอบคำถามประโยค Question tag
การตอบคำถามของประโยค Question tag นั้นเราจะใช้ Yes และ No เข้ามาช่วยในการตอบคำถาม
- ถ้าประโยคหลักเป็นประโยคบอกเล่า
- จะตอบ Yes เมื่อเราเห็นด้วยกับประโยคหลัก
- จะตอบ No เมื่อเราไม่เห็นด้วยกับประโยคหลัก
เช่น He can speak Thai, can’t he? (เขาพูดภาษาไทยได้,ใช่ไหม)
Yes, he can. (ใช่ เขาพูดภาษาไทยได้)
No, he can’t. (ไม่ เขาพูดภาษาไทยไม่ได้)
- ถ้าประโยคหลักเป็นประโยคปฏิเสธ
- จะตอบ No เมื่อเราเห็นด้วยกับประโยคหลัก
- จะตอบ Yes เมื่อเราไม่เห็นด้วยกับประโยคหลัก
เช่น You don’t like dog, do you? (คุณไม่ชอบสุนัข,ใช่ไหม)
No, I don’t. (ใช่ ฉันไม่ชอบสุนัข)
Yes, I do. (ไม่นะ ฉันชอบสุนัข)
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ประเดิมสวย! “สาวไทย” ตบคว้าชัยเหนือ ออสเตรเลีย ศึกลูกยาง ชิงแชมป์เอเชีย 2023
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย 2023 ครั้งที่ 22 ทีมชาติไทย พบกับ ออสเตรเลีย ที่สนาม โคราช ชาติชาย ฮอลล์, จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 30 สิงหาคม 2566
เกมนี้ “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ส่งผู้เล่น 6 คนแรกประกอบไปด้วย ทัดดาว นึกแจ้ง, ศศิภาพร จันทรวิสูตร, ธนัชชา สุขสด, สิริมา มานะกิจ, ชัชชุอร โมกศรี และ สุพัตรา ไพโรจน์ เป็นตัวรับอิสระ
เซตแรก “นักตบสาวไทย” ออกนำ 5-3 แต่ ออสเตรเลีย ไล่ตามเป็น 8-8 อย่างไรก็ตาม ทีมไทย เร่งเครื่องฉีกหนีไปเป็น 18-11 ก่อนปิดเซตเอาชนะไปได้ 25-14 ขึ้นนำ 1-0 เซต
เซตสอง ทีมไทย ออกนำ 5-1 จากนั้นค่อยๆ ขยับหนีไปเป็น 16-7 ก่อนปิดเกมเอาชนะไปได้อีก 25-16 ทิ้งห่างเป็น 2-0 เซต
เซตสาม สาวไทย ยังคงทำแต้มได้อย่างต่อเนื่อง ออกนำ 5-3 จากนั้นยังทำได้เหนือกว่านำห่าง 15-9 แม้ช่วงท้าย ออสเตรเลีย จะพยายามไล่มา 20-22 แต่ก็ไม่ทัน สาวไทย ปิดเซตเอาชนะไปได้อีก 25-22 คว้าชัย 3-0 เซต
สำหรับโปรแกรมการแข่งขันของ นักตบลูกยางสาวไทย ในรายการชิงแชมป์เอเชีย 2023 นัดต่อไปจะพบกับ มองโกเลีย ในวันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 เวลา 18.00 น. แฟนๆ สามารถรับชม และเชียร์ ได้ทุกนัดผ่านการถ่ายทอดสดทาง ช่อง PPTV 36
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ฝีดาษลิง” กับ 7 ข้อควรรู้ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด
- โรคฝีดาษลิง หรือ Monkeypox Virus เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในลิงซึ่งถูกพบตั้งแต่ 64 ปีที่แล้วใน ค.ศ. 1958 ครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีการระบาดเกิดขึ้นในลิงที่ใช้เป็นสัตว์ทดลอง
- พบมนุษย์ที่ติดเชื้อฝีดาษลิงคนแรกของโลกในปี ค.ศ. 1970 เป็นเด็กผู้ชายอายุ 9 ขวบ จากประเทศคองโก หลังจากนั้นก็พบเคสที่ติดเชื้อฝีดาษลิงมาเรื่อยๆ โดยเคสส่วนใหญ่พบตามแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง
หลายคนคงจะได้ข่าวเกี่ยวกับ ฝีดาษลิง หรือ Monkeypox Virus (MPXV) หรือชื่ออย่างเป็นทางการ ฝีดาษวานร มาสักพักแล้วที่อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาต่อจากโควิด-19 และมาพร้อมๆ กันในหลายประเทศ โดย ณ ขณะนี้ (ข้อมูลอัพเดทวันที่ 9มิถุนายน พ.ศ. 2565) มีรายงานเคสที่ยืนยันว่าติดเชื้อฝีดาษลิงแล้วกว่า 900 เคส โดยพบว่าเคสส่วนใหญ่พบในแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ สเปน สวีเดน อิตาลี เบลเยียม โปรตุเกส หรือแม้กระทั่งแคนาดา และสหรัฐอเมริกา ก็มีรายงานเพิ่มจำนวนเคสมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายรัฐด้วยกัน พร้อมกันนั้นก็มีข่าวลือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับฝีดาษลิงออกมามากมายในโลกโซเชียล ทำให้หลายคนเป็นกังวลและเริ่มให้ความสนใจกับฝีดาษลิงมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจาก คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ (คกก.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศเพิ่ม “ฝีดาษวานร” เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 56 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
Sarakadee Lite ขอชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับฝีดาษลิงอีกครั้ง กับหลายๆ เรื่องที่หลายคนสงสัยและยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับฝีดาษลิง
“ฝีดาษลิง” กับ 7 ข้อควรรู้ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด
- จริงหรือที่ Monkeypox Virus หรือ ไวรัสฝีดาษลิงเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่
โรคฝีดาษลิง หรือ Monkeypox Virus เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในลิงซึ่งถูกพบตั้งแต่ 64 ปีที่แล้วใน ค.ศ. 1958 ครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีการระบาดเกิดขึ้นในลิงที่ใช้เป็นสัตว์ทดลอง และพบมนุษย์ที่ติดเชื้อฝีดาษลิงคนแรกของโลกในปี ค.ศ. 1970 เป็นเด็กผู้ชายอายุ 9 ขวบ จากประเทศคองโก หลังจากนั้นก็พบเคสที่ติดเชื้อฝีดาษลิงมาเรื่อยๆ โดยเคสส่วนใหญ่พบตามแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง จนกลายเป็นเชื้อประจำถิ่นในแถบนั้นในที่สุด
- ไวรัส Monkeypox จะมีโอกาสพัฒนากลายเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่หรือไม่เมื่อเทียบกับไวรัส SARS-CoV-2 (ไวรัสก่อโรคโควิด-19) และ Influenza (ไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่)
Monkeypox เป็นไวรัสชนิด DNA ซึ่งปกติจะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่น้อยหากเปรียบเทียบกับไวรัสชนิดที่มีสารพันธุกรรมเป็นRNA อย่าง SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคโควิด-19 และInfluenza ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่ และด้วยความที่ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในตระกูลฝีดาษ(Poxvirus) อย่างไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการโปรตีนReceptor (โปรตีนที่อยู่บนผิวเซลล์มนุษย์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นประตูเข้าสู่ในเซลล์) ที่จำเพาะในการติดเชื้อในเซลล์มนุษย์ซึ่งต่างกับ SARS-CoV-2 ที่ต้องอาศัยโปรตีน Receptor ที่ชื่อว่า ACE2 ในขณะที่เชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ต้องอาศัย Receptor ที่ชื่อว่า Sialic acid เพื่อจับกับโปรตีนของไวรัสที่ชื่อว่า Hemagglutininในการเข้าสู่เซลล์เยื่อบุของเซลล์มนุษย์
อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบอัตราการกลายพันธุ์ของไวรัส Monkeypox ที่สูงขึ้นและอาจเป็นการกลายพันธุ์ที่ทำให้แพร่จากคนสู่คนได้ดีกว่าปกติ แถมยังมีระยะฟักตัวนาน ไม่แสดงอาการ ทำให้คนที่ติดเชื้อเดินทางออกนอกบ้านและแพร่ไปยังผู้สัมผัสใกล้ชิดได้ซึ่งนั่นแปลว่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ยังคงต้องจับตามองและทำการศึกษาวิจัยไวรัส Monkeypox กันต่อไปเพื่อเฝ้าสังเกตว่าการกลายพันธุ์ของไวรัส Monkeypox ครั้งนี้จะทำให้ไวรัสแข็งแกร่งขึ้นและแพร่ระบาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วอย่างโควิด-19 หรือไม่
ทั้งนี้ล่าสุดมีข้อมูลรายงานจากห้องปฏิบัติการว่าเมื่อนักวิจัยเอารหัสพันธุกรรมของ Monkeypox จากเคสที่พบล่าสุดในประเทศเบลเยียม มาเปรียบเทียบกับ Monkeypox สายพันธุ์ที่เคยเจอในประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 2018 (โดยเคสนี้เป็นเคสที่ติดจากคนที่เดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย) พบว่ารหัสพันธุกรรมมีความคล้ายคลึงกันสูงมาก แต่ทางนักวิจัยเองก็ยังไม่อยากด่วนสรุปว่า ตัว Monkeypox ที่กำลังระบาดอยู่นี้มีวิวัฒนาการไปจากสายพันธุ์เดิมอย่างไรบ้าง ในรายละเอียดคงต้องมีการศึกษาวิจัยถอดรหัสพันธุกรรมฉบับสมบูรณ์ (Full Genome Sequencing) ของหลายๆ เคส และจากหลายๆ แหล่งการแพร่ระบาดกันต่อไป เพราะเพียงแค่การกลายพันธุ์ (Mutation) ตำแหน่งเดียว ก็อาจมีผลทำให้ไวรัสแบ่งตัวและแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าเดิมมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่ยังต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สยองขวัญเขย่าโลกซ้ำแบบโควิด-19 อีก
- ฝีดาษลิงติดต่อทางเพศสัมพันธ์จริงหรือ
โดยปกติแล้วฝีดาษลิงเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิด (มากๆ ) กับผู้ติดเชื้อ โดยโอกาสจะติดได้หลักๆ มาจากการมีเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted)ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดนรอยโรคหรือสารคัดหลั่ง การใช้เสื้อผ้า การนอนที่นอนร่วมกัน (Direct Contact) โดยกว่า 60 เคสที่พบจากสเปน มาจากการใช้ห้องเซานาเดียวกัน (Prolonged Close Contact) นอกจากนี้ ฝีดาษลิงยังสามารถติดกันได้ผ่านการหายใจ แต่โอกาสติดผ่านทางการหายใจยังน้อยมาก เพราะตัวเชื้อเองจะแพร่ไปได้ไม่ไกล ดังนั้นต้องอาศัยความใกล้ชิดในระยะเวลาหนึ่งถึงจะติดเจ้าไวรัสฝีดาษลิงตัวนี้ได้
- อาการแบบไหนที่บอกว่าเป็นฝีดาษลิงไม่ใช่ไข้หวัด
เมื่อเชื้อไวรัสMonkeypoxเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวค่อนข้างนาน อยู่ในส่วนของไซโทพลาซึม (Cytoplasm) ของเซลล์มนุษย์ และมีความเสถียรมากพอควรที่จะไม่สลายตัวง่ายเหมือนไวรัสชนิด RNA โดยระยะเวลาฟักตัวของเชื้อไวรัส Monkeypox จะอยู่ประมาณ 5-21 วันช่วงระยะเวลานี้อาการเบื้องต้นแทบไม่ต่างกับไข้หวัดใหญ่คือมีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียและบางรายมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยหลังจากนั้นจะมีผื่นเป็นตุ่มๆ ขึ้นตามใบหน้า ฝ่ามือฝ่าเท้าซึ่งในระยะที่ปรากฏรอยโรคนี้จะแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ง่าย จะมีอาการคล้ายคลึงกับอีสุกอีใสมาก แต่ในอีสุกอีใสจะไม่พบอาการต่อมน้ำเหลืองโต ดังนั้นหากมีอาการน่าสงสัยควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะสามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
- ฝีดาษลิงน่ากลัวไหม ติดแล้วจะมีอาการรุนแรงถึงตายหรือเปล่า
ตามรายงานแล้วเคสส่วนใหญ่ที่เจอไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องแอดมิตนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งในเคสที่มีอาการรุนแรงมักจะพบร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ซึ่งในการรักษาก็สามารถใช้ยาต้านไวรัสได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ยาไซโดโฟเวียร์ (Cidofovir) เป็นต้น
สำหรับ วัคซีนฝีดาษคน (Smallpox Vaccine) สามารถช่วยป้องกัน Monkeypox และไวรัสในตระกูล Poxตัวอื่นๆ ได้เช่นกันอย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าภูมิจากวัคซีนฝีดาษคนจะมีระดับการป้องกันฝีดาษลิงได้ดีมากน้อยแค่ไหนในกรณีของคนที่ฉีดมามากกว่า 50-60 ปีแล้วเพราะปกติภูมิคุ้มกันส่วนมากจะอยู่ในร่างกายคนได้ระยะเวลาหนึ่ง จะต้องมีการกระตุ้นด้วยวัคซีนอีกครั้งเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบรุนแรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจจะยังคงมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่ ถึงแม้ได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม
- อะไรที่เป็นความน่ากลัวของฝีดาษลิงในขณะนี้
ในความคิดเห็นของทางผู้เขียนเองนั้น คิดว่าความน่ากลัวของฝีดาษลิงในตอนนี้ก็น่าจะเป็นความล่าช้าในการตรวจเจอเคส เนื่องด้วยอาการที่คล้ายคลึงกับเคสที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้นำ ซึ่งอาจจะกลายเป็นว่ากว่าจะรู้ว่าเป็นฝีดาษลิงก็อาจจะแพร่ไปให้คนอื่นมากมายแล้ว อีกทั้งฝีดาษลิงเป็นโรคที่เกิดขึ้นน้อย (Rare Disease) ในแล็บทั่วไปอาจจะยังไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อไวรัส Monkeypox ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเคสที่เจอที่เบลเยียม ซึ่งทางแพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นไปว่าเป็นโรคเริมซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Herpes Simplex Virus (HSV) และซิฟิลิส (Syphilis) ก่อนที่จะเรียกตัวผู้ป่วยกลับมาตรวจเทสต์ที่จำเพาะต่อไวรัสฝีดาษลิงก็ตอนที่เริ่มมีประกาศจากทาง EU ว่ามีการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงเมื่อไม่นานมานี้เอง
- การระบาดของฝีดาษลิงในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่มีการใช้ไวรัสลิงชิมแปนซี (ที่ตัดต่อพันธุกรรม) มาทำวัคซีนโควิด-19 (Chimpanzee Adenovirus Vaccine) หรือไม่
มีการเข้าใจผิดกันมากในโลกโซเชียลถึงการเชื่อมโยง Monkeypox กับ Chimpanzee Adenovirusซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วนั้น ไวรัส 2 สายพันธุ์นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของรหัสพันธุกรรมหรือการก่อโรคของไวรัสเองก็ตาม และที่สำคัญ Chimpanzee Adenovirus ที่ใช้ในการทำวัคซีนมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อไม่ให้มีการแบ่งตัวเมื่อเข้าสู่เซลล์มนุษย์ กล่าวคือ Chimpanzee Adenovirus ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ “พาหนะ” ที่นำวัคซีนเข้าสู่เซลล์มนุษย์โดยไม่ก่อให้เกิดโรคใดๆ เลย ทางผู้เขียนเองก็เคยอธิบายไปในบทความก่อนหน้านี้ถึงหลักการของวัคซีนโควิด-19 ด้วยการเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นทางอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน อาจต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงให้ดี มีการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนจากหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือ มิฉะนั้นอาจได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดได้
ต่อจากนี้ Monkeypox หรือ ฝีดาษลิง ก็คงไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นน้อย (Rare disease) อย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว เนื่องจากการระบาดไปในหลายๆ ประเทศ และจำนวนเคสที่เริ่มมีการรายงานเพิ่มขึ้นในทุกวัน ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในพื้นที่นั้นๆ ควรมีการเร่งตรวจสอบ และกักตัวบุคคลที่มีความเสี่ยง หรือมีความเกี่ยวโยงกับคนที่ติดเชื้อก่อนที่จะมีการระบาดออกไปในวงกว้าง (เราควรเรียนรู้จากโรคโควิด-19 ที่ควรจะมีมาตรการป้องกันก่อนจะเกิดอุบัติการณ์อย่างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา)
อย่างไรก็ตามจากผลวิจัยเบื้องต้นก็ทำให้ทราบว่าการระบาดที่เกิดในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากตัวที่เป็นสายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด ซึ่งก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกับเชื้อที่เจอในปี ค.ศ.2018 และเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจาก Super-spread อีเวนต์ใดสักแห่งหนึ่งในช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 และหลังจากที่ผู้คนพากันแยกย้ายก็ไปแพร่ระบาดตามถิ่นฐานของตัวเอง จนกลายเป็นการแพร่ระบาดในหลายประเทศครั้งนี้
ทางผู้เขียนเองก็ได้แต่หวังว่าการเป็นที่สนใจของ Monkeypox ในครั้งนี้จะส่งผลให้มีการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีมีการแยกคนติดเชื้อ (Isolate) ออกมาเพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อไปให้ได้เร็วที่สุด และหยุดการระบาดลงได้อย่างทันท่วงที พวกเราทุกคนคงไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบโควิด-19 อีก ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่เนืองๆ โลกของเราเหมือนเพิ่งโดนระเบิดลูกใหญ่ เกิดความเสียหายระยะยาวหลายๆ ด้าน ยากที่จะฟื้นฟู แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วบ้าง กันไว้ดีกว่าแก้… เพราะแย่แล้วอาจจะแก้ไม่ทัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อาหาร “ไขมันดี” ช่วยลดคอเลสเตอรอล-ลดเสี่ยงโรคร้าย
ไขมัน ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรือไม่ดีต่อร่างกายเสมอไป เพราะร่างกายก็ต้องการไขมันดี หรือที่เรียกว่า คอเลสเตอรอลชนิดดี หรือไขมันชนิดเอชดีแอล (HDL) ในการลำเลียงกรดไขมันและคอเลสเตอรอลไปที่ตับ เพื่อทำลายและขับออกทางน้ำดี การทราบว่า ไขมันดีมีอะไรบ้าง อาจช่วยให้เลือกรับประทานอาหารได้เหมาะสมจนส่งผลให้ร่างกายได้รับไขมันดีเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น ป้องกันไขมันชนิดเลวสะสมในหลอดเลือดแดงจนทำให้เส้นเลือดอุดตัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ไขมันดี คืออะไร
ไขมันดี หรือคอเลสเตอรอลชนิดดี หรือไขมันชนิดเอชดีแอล (High Density Lipoprotein หรือ HDL) เป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากช่วยในการการกำจัดไขมันเลว หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือที่เรียกว่าไขมันแอลดีแอล (Low Density Lipoprotein หรือ LDL) ทั้งยังช่วยลำเลียงคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์จากหลอดเลือดแดงและเนื้อเยื่อไปยังตับ เพื่อทำลายและขับออกทางน้ำดี ป้องกันคอเลสเตอรอลหรือไขมันสะสมก่อให้เกิดโรค
โดยทั่วไป ระดับไขมันดีในผู้ชายอายุ 20 ปีขึ้นไปควรมากกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไปควรมากกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือหากมากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตรนั้นยิ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย ทั้งนี้ หากมีไขมันดีในร่างกายต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ตีบตัน จนนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง
ประโยชน์ของไขมันดี
ไขมันดีนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากตับ และอาจมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน เช่น มีหน้าที่ในการช่วยขจัดคอเลสเตอรอลหรือไขมันเลวที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม การใข้ยาบางชนิด เช่น ยาเบต้าบล็อกเกอร์ที่ใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) ที่ใช้ในการรักษาโรคนอนไม่หลับและอาการวิตกกังวล รวมถึงการเป็นโรคเบาหวาน ก็อาจส่งผลให้ระดับไขมันดีในเลือดต่ำเกินไป และส่งผลเสียต่อการควบคุมไขมันในเลือดได้
อาหารที่มีไขมันดีมีอะไรบ้าง
อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดีอาจมีดังนี้
- น้ำมันมะกอก อาจช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีและลดการอักเสบในร่างกายที่เกิดจากไขมันชนิดไม่ดี เนื่องจากในน้ำมันมะกอกมีโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่อาจช่วยเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับอิทธิพลของสารโพลีฟีนอลในน้ำมันมะกอกต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine ของประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2549 ซึ่งให้อาสาสมัครผู้ชายสุขภาพดี 200 คน รับประทานน้ำมันมะกอกที่มีสารประกอบฟีนอลิค (Phenolic) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกในระดับสูง กลาง ต่ำ พบว่าระดับไขมันเลวของผู้เข้าร่วมการทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ธัญพืช ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ซีเรียล ขนมปังโฮลเกรน อุดมไปด้วยไฟเบอร์ซึ่งอาจช่วยลดไขมันไม่ดีในร่างกายได้
- ปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นปลาทะเลน้ำลึกที่มีโอเมก้า 3 ซึ่งอาจช่วยลดไขมันเลวและเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย
- อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีโฟเลต (Folate) กรดโอเลอิก (Oleic Acid) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งอาจเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ รวมถึงมีเบต้า-ซิโตสเตอรอล (Beta-Sitosterol) ที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
- ถั่วเหลือง มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) เลซิติน (Lecithin) ซาโปนิน (Saponins) ทั้งยังมีไฟเบอร์และโปรตีนจากถั่วเหลืองที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที/วัน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมถึงรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายก็อาจช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 31/08/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,050.00 | 32,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,076.00 | 31,472.16 | 32,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,868.40 | 28,324.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,660.80 | 25,177.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 934.00 | 14,159.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 727.00 | 11,021.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,151.00 | 32,609.16 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/08/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 40.05 | 40.05 | 40.95 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.78 | 39.78 | 40.88 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.74 | 37.74 | 38.74 | 37.74 | 37.74 | – | 37.74 | 37.74 | 37.74 | 37.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 38.19 | 38.19 | – | – | – | – | – | – | – | 38.19 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.34 | 49.04 | 49.84 | 49.04 | – | – | – | – | – | 45.34 |
เบนซิน 95 | 47.84 | – | – | – | 49.01 | – | 48.34 | 47.99 | – | 47.84 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.24 | 43.64 | 49.44 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 42.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |