“เขาใหญ่” บูม “เคพีเอ็น เรสซิเดนซ์” ปักหมุดบ้านพักตากอากาศหรู รับดีมานด์
“เขาใหญ่”โตต่อเนื่องหลังโควิด ” เคพีเอ็น เรสซิเดนซ์ ” ปักหมุดบ้านพักตากอากาศหรู รับดีมานด์เติบโตสูง ไฮสปีด มอเตอร์เวย์ บางปะอิน-โคราชดันเขาใหญ่ จุดหมายปลายทาง รองจากภูเก็ต
“เขาใหญ่” ดงเศรษฐี ทำเลยอดนิยมบ้านหลังที่สองของ ไฮโซ เซเลบ นักธุรกิจ นักการเมืองแถวหน้าของเมืองไทย ต่างมีที่ดินและบ้านพักตากอากาศหรูโดยเฉพาะทำเลสำคัญตามแนวเส้นทางของถนนธนะรัชต์ เส้นเลือดใหญ่ โอบล้อมไปด้วย ขุนเขา แหล่งโอโซนธรรมชาติ อันดับที่7ของโลก ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แลนด์มาร์คใหญ่ได้รับการยกย่อง เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน
ช่วงสถานการณ์โควิดเขาใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบมากนักในทางกลับกัน มีคนเข้าพื้นที่เพื่อหนีการระบาดจากเชื้อไวรัสดังกล่าว และหากย้อนไปในช่วงน้ำท่วมใหญ่ ปี2554 มีคนกรุงเทพฯจำนวนมากหนี้ไปอยู่เขาใหญ่กันมากสร้างปรากฎการณ์บ้านพักตากอากาศขายดี ราคาที่ดินขยับสูงหลายเท่าตัว มีดีเวลลอปเปอร์ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการขายกันมาก
บ้านพักตากอากาศ ยังโตต่อเนื่อง จากมุมสะท้อนของ “เคพีเอ็น เรสซิเดนซ์ “เชื่อมั่นดีมานด์ หลังเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์โคราช ช่วยย่นระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่ถึง 3 ชั่วโมงส่งผลให้เขาใหญ่กลายเป็นอีกหนึ่ง จุดหมายปลายทางของตลาดบ้านพักตากอากาศ รองจากภูเก็ต นายณัฐดนัย จึงวัฒนาวงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคพีเอ็น เรสซิเดนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศสุดหรูระดับลักชัวรี่ สไตล์รีสอร์ทตากอากาศ “คาซ่าวาคานซ่าเขาใหญ่” จังหวัดนครราชสีมา ระบุว่า
ตลาดบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี และระดับซูเปอร์ลักชัวรี เริ่มกลับมาได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าครอบครัว ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และกลุ่มวัยเกษียณอายุ รวมถึง กลุ่ม “Gen X” ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ต่างให้ความสนใจกับบ้านหลังที่ 2 หรือบ้านพักตากอากาศมากขึ้น สอดคล้องกับกระแสตลาดบ้านพักตากอากาศที่เขาใหญ่เริ่มกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
โดยมีปัจจัยหนุนจากความสะดวกสบายในการเดินทาง หลังโครงการคมนาคมขนาดใหญ่ ทั้งโครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน–นครราชสีมา เปิดให้บริการ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ไฮสปีด เทรน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2570 ทำให้เขาใหญ่กลายเป็น
จุดหมายปลายทางที่ผู้ที่มีกำลังซื้อต้องการมาอยู่เพื่อพักอาศัยในระยะยาว รองจากภูเก็ตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำยอดนิยมของประเทศ ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่มีเทรนด์“ทำงานจากที่ไหนก็ได้”และมีความต้องการพักอาศัยในสถานที่บรรยากาศดีใกล้ชิดธรรมชาติส่งผลให้ตลาดที่พักอาศัยตากอากาศในเขาใหญ่ที่มีอากาศดีตลอดทั้งปีได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
“อีกหนึ่งความท้าทายสำหรับตลาดบ้านพักตากอากาศเขาใหญ่คือต้นทุนที่ดินและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งบริษัทฯ มีความได้เปรียบเนื่องจาก ที่ดินที่นำมาพัฒนาโครงการ ‘คาซ่า วาคานซ่า เขาใหญ่’ ในครั้งนี้ เป็นที่ดินที่ซื้อสะสมไว้มากกว่า 40 ปี จึงทำให้ต้นทุนในส่วนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตั้งราคาขายมากนัก นอกจากนี้ ยังพบว่าในตลาดที่พักอาศัยระดับลักชัวรี ผู้ซื้อในช่วงหลังเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยที่เน้นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาวมากกว่า 70% จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า การพัฒนาโครงการโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ในครั้งนี้ของบริษัทฯ จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี”
เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นดังกล่าว บริษัทฯ ได้เดินหน้าพัฒนาโครงการ “คาซ่า วาคานซ่า เขาใหญ่” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Nature is the Art of Life : ให้ธรรมชาติเป็นผู้เติมเต็มศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ” โดยดึงแนวคิดการออกแบบและการดีไซน์บ้านสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์และเหมาะสมกับบรรยากาศการพักผ่อนที่เขาใหญ่
พร้อมยังสร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติให้มากขึ้น ด้วยการออกแบบให้บ้านแต่ละหลังอยู่บนพื้นที่เนินเขาเล่นระดับ เพื่อเปิดให้ชมวิวเขาได้แบบพาโนรามา 360° และไม่บังทิวทัศน์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งยังคำนึงถึงทิศทางลมและแสงแดดเป็นสำคัญ ทำให้คุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศเขาใหญ่และสัมผัสอากาศที่เย็นสบายได้ตลอดทั้งปี และยังพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางตามแนวคิด Italy Tuscany Garden โดยออกแบบสวนสวยท่ามกลางทิวป่าเขา ริมธารน้ำ และโดมกลางสวน สร้างบรรยากาศการพักผ่อนแบบเมืองท่องเที่ยวแถบยุโรป
ขณะที่การออกแบบตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายนอกด้วยปูนปั้น หลังคาดินเผา เน้นการออกแบบที่เรียบง่าย เป็นดีไซน์โมเดิร์นที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ดึงธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ และการเลือกสีเอิร์ทโทนเข้ามาเติมแต่งทำให้บ้านมีชีวิตชีวาและน่าอยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้บรรยากาศของตัวบ้านดูสงบ อบอุ่น และผ่อนคลายมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ออกแบบบ้านให้ดูแลรักษาได้ง่ายในระยะยาว คัดสรรวัสดุ ที่มีความสวยงามและเต็มไปด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม เทียบเท่ากับบ้านระดับอัลติเมต ลักชัวรี
โดยวัสดุในการก่อสร้างจะไม่ใช่แค่ปูนธรรมดา แต่จะเพิ่มในส่วนของกระจก แกรนิต ไม้ หรือแม้กระทั่งโลหะ ที่มาประกอบตัวบ้านเพื่อเพิ่มกิมมิคและสร้างความหรูหราได้อย่างเห็นได้ชัด และยังมีความแข็งแรง คงทน ยั่งยืน พร้อมกับมีโซนให้สามารถจัดแคมปิ้งกลางแจ้ง และสามารถปรับเป็นพื้นที่สำหรับการดูดาวได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แสนสิริ เตรียมเปิดตัว “เดอะ เบส บูกิต”ภูเก็ต รับท่องเที่ยวคึกคัก
แสนสิริ เตรียมเปิดตัว “เดอะ เบส บูกิต”ภูเก็ต รับท่องเที่ยวคึกคัก และผังเมืองใหม่ที่เตรียมประกาศใช้เร็วๆนี้
แสนสิริ ผู้บุกเบิกตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตเป็นรายแรกๆของภูเก็ต เตรียมเปิดตัว “เดอะ เบส บูกิต” ภูเก็ต (THE BASE Bukit Phuket) ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 4 ไร่ ติดถนนใหญ่วิชิตสงคราม เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 609 ยูนิต พร้อมที่จอดรถยนต์และมีที่จอดรถมอเตอร์ไซด์
จุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ตั้งโครงการ จากการเป็นคอนโดมิเนียมโซนเมืองของภูเก็ต ที่เชื่อมต่อทุกย่านในเมืองภูเก็ต อยู่ติดถนนวิชิตสงคราม ตรงข้ามแม็คโคร ภูเก็ต และอยู่ห่างจากเซ็นทรัลเพียง 550 เมตร สามารถเดินหรือนั่ง Shuttle Service ของโครงการก็ได้ หรือขับรถเพียง 15 นาทีถึง Phuket Old Town และ 25 นาทีถึงป่าตอง
นอกจากนี้ โครงการยังอยู่ใกล้สถานศึกษา ทั้ง โรงเรียนนานาชาติเฮดสตาร์ท, โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต หรือ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ที่เดินทางเพียง 10 นาที
นอกจากนี้ เดอะ เบส บูกิต ยังตั้งอยู่ในทำเลที่หายากในภูเก็ต จากแผนการปรับรูปแบบผังเมืองใหม่ที่เตรียมประกาศใช้ในเร็วๆ นี้
สำหรับห้องพักมีให้เลือกถึง 4 รูปแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดตั้งแต่ 26 – 55 ตารางเมตร ไฮไลท์ด้วย ห้อง Rare Item ที่มีความโค้งและห้องระเบียงโค้ง ที่มีเพียงไม่กี่ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
ผลตอบแทนค่าเช่า (Rental Yield) คาดว่าอยู่ที่ 7 – 10% ต่อปี เห็นได้จาก โครงการ เดอะ เบส เซ็นทรัล-ภูเก็ต ที่ประสบความสำเร็จ sold out ตั้งแต่เปิดพรีเซลล์ ในก่อนหน้านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21ก.ย. ที่ระดับ 36.25 บาทต่อดอลลาร์
-เงินบาทอาจอยู่ในโซนอ่อนค่า ตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงได้แรงหนุนจากแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้นกว่าคาดของเฟด สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาให้ความสนใจ ต่อผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 21ก.ย.2566 ที่ระดับ 36.25 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าไปได้มากกว่าที่เราเคยประเมินไว้ และเงินบาทอาจอยู่ในโซนอ่อนค่าได้นานกว่าคาด (Weaker for Longer) ตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงได้แรงหนุนจากแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้นกว่าคาดของเฟด
นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมเสี่ยงที่จะยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) และนักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยในระยะสั้นนี้
อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOE (ในช่วงเวลาราว 18.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจตอบรับการขึ้นดอกเบี้ยของ BOE ที่สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดในเชิงลบได้
โดยตลาดอาจตีความว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOE อาจยิ่งกดดันให้เศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลงมากขึ้น ส่งผลให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงต่อ ซึ่งภาพดังกล่าวได้เกิดขึ้นหลังการประชุม ECB ล่าสุด ที่เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง แม้ว่า ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทะลุทุกโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ ทำให้เรามองว่า มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อทดสอบโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า ในโซนดังกล่าวไปจนถึงช่วง 37 บาทต่อดอลลาร์ ในเชิง Valuation ค่าเงินบาทถือว่า “Undervalued” หรือ ถูกพอสมควร
ทำให้มีโอกาสที่เงินบาทอาจเริ่มแกว่งตัว sideways หรือ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่โซนแนวรับในช่วงนี้ อาจสูงถึง 36.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน โดยจะมีโซน 35.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับถัดไป
เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.50 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนหนัก (แกว่งตัวในช่วง 35.86-36.23 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้านสำคัญของราคาทองคำ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC
ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากการที่เฟดยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้งและคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น
แม้ว่าเฟดอาจมีสมมติฐาน “No Landing” ต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะสะท้อนผ่านการปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ และปีหน้าขึ้น แต่บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับถูกกดดันจากท่าทีของเฟดที่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ (แม้จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมครั้งนี้)
และท่าทีของเฟดที่อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น (Higher for Longer) โดยภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.40% กดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลงแรง Nvidia -2.9%, Microsoft -2.4%) ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.53% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.94%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.91% หนุนโดยการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ฝั่งยุโรป (ก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC) ตามรายงานอัตราเงินเฟ้ออังกฤษที่ชะลอลงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ก่อนจะรับรู้ผลการประชุม FOMC (หลังตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการแล้ว)
ในฝั่งตลาดบอนด์ Dot Plot ใหม่ของเฟดที่สะท้อนแนวโน้มว่าเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด (เดิมเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงราว -100bps ใน Dot Plot ก่อนหน้า แต่ Dot Plot ใหม่ ชี้ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยลงเพียง -50bps) และมุมมองของเฟดที่อาจมีสมมติฐาน “No Landing” ต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.40% (สอดคล้องกับมุมมองที่เราได้คาดการณ์ก่อนหน้า!)
ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideway ในระดับสูง ไปจนกว่า ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ซึ่งหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ “สดใส” อย่างที่เฟดคาดการณ์ไว้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีโอกาสปรับตัวลดลงได้พอสมควร
เช่นอาจลงมาทดสอบระดับ 4.00% ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ในระยะสั้น อาจมีความเสี่ยงจากทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้ง BOE และ BOJ ที่อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังเคลื่อนไหวผันผวนได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.5 จุด (กรอบ 104.6-105.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้าน 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจยังคงเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ หลังจากที่ผู้เล่นในตลาดได้รับรู้ผลการประชุม FOMC ในช่วงเช้าตรู่ไปแล้ว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาให้ความสนใจ ต่อผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังจากที่ล่าสุด รายงานอัตราเงินเฟ้ออังกฤษที่ชะลอลงกว่าคาด สู่ระดับ 6.7% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงสู่ระดับ 6.2%) ทำให้ตลาดเริ่มประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25%
อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า อัตราเงินเฟ้ออังกฤษยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้ง แรงกดดันเงินเฟ้อจากค่าจ้างก็ยังมีอยู่ (wage growth ล่าสุดยังคงสูงกว่า +8.5%y/y) ทำให้ BOE อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +25bps สู่ระดับ 5.50% ทั้งนี้ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ การส่งสัญญาณของ BOE ว่าพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ และ BOE มีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างไร
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.23-36.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.25 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับภาพรวมของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องจากช่วงหลังการประชุมเฟด เพราะแม้เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 5.25-5.50% และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้
แต่มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดที่เปลี่ยนแปลงไปใน dot plot (ซึ่งสะท้อนว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้าอาจลงช้าและลงน้อยกว่าเดิม) และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจที่ขยับขึ้น ก็ถูกตีความว่าเป็นแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังเข้มงวดเป็นเวลานานของเฟด ซึ่งปัจจัยนี้เองหนุนให้เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ขยับขึ้น นอกจากนี้เงินบาทยังอาจเผชิญแรงกดดันในระหว่างวันจากสัญญาณที่สะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติอาจกลับมามีสถานะขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยอีกครั้งในวันนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.15-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟด ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. และผลสำรวจภาคการผลิตเดือนก.ย. ของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อันดับโลกพุ่งทันที! “วอลเลย์บอลสาวไทย” โค่น โปแลนด์ คัดลูกยางโอลิมปิก
วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ที่สามารถเอาชนะ โปแลนด์ เจ้าภาพไปได้แบบลุ้นระทึก 3-2 เซต ในการแข่งขันศึกลูกยางหญิง โอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก กลุ่มซี เมื่อคืนวันพุธที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมจากการพลิกเอาชนะ โปแลนด์ ทีมอันดับ 7 ของโลก ที่มีอันดับสูงกว่ามากทำให้ “นักตบลูกยางสาวไทย” เก็บแต้มเพิ่มได้มากถึง 9.68 คะแนน รวมเป็นมี 209.71 คะแนน
พร้อมทั้งขยับอันดับขึ้นไปอยู่ที่ 13 ของโลก แซง เบลเยียม ที่แม้จะชนะคู่แข่งมาได้แต่ก็มีเพียง 207.92 คะแนน หล่นไปอยู่อันดับ 14 โลก จากการอัปเดตคะแนนล่าสุดของ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB)
ส่วนในระดับทวีป “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ยังคงรั้งอันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรอง จีน เบอร์ 1 ที่มี 335.94 คะแนน และ ญี่ปุ่น อันดับ 2 ของเอเชีย ที่มี 305.75 คะแนน ขณะที่อันดับ 4 คาซัคสถาน มี 111.25 คะแนน
สำหรับเกมต่อไป “นักตบลูกยางสาวไทย” จะลงสนามพบกับ สโลวีเนีย ในรายการ โอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 19.30 น. แฟนๆ สามารถรับชม และเชียร์ ได้ผ่านการถ่ายทอดสดทาง ช่อง Workpoint 23
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีใช้ “น้ำตาเทียม” ให้ถูกต้อง ลดเสี่ยง “ตาแห้ง”
จักษุแพทย์แนะ หากมีอาการ น้ำตาไหล ตาแดง คันตา ตามัว หรือเคืองตา ปวดตาอย่างรุนแรง หลังจากการใช้น้ำตาเทียม ควรหยุดใช้ และรีบพบจักษุแพทย์ทันที
น้ำตาเทียม คืออะไร ?
นายแพทย์มานัส โพธาภาณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า น้ำตาเทียมถูกผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้หล่อลื่นลูกตา มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แสบตา หรือไม่สบายตา ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการใช้สายตามาก หรือตาแห้ง
นอกจากนี้ น้ำตาเทียมอาจนำมาใช้เพื่อหล่อลื่นลูกตาสำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และข้อควรระวังในการใช้ ดังนั้นผู้ใช้ควรปรึกษาจักษุแพทย์ และอยู่ภายใต้คำแนะนำ ตลอดจนปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างรอบคอบ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไปและไม่ควรใช้นานเกินเพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย
>> ใช้ “คอนแทคเลนส์” แล้วไม่ใช้ “น้ำตาเทียม” อันตรายหรือไม่ ?
ประเภทของน้ำตาเทียม
แพทย์หญิงสายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมที่วางจำหน่ายมีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
- ชนิดขวด มีสารกันเสีย มีอายุ 1 เดือน (หลังเปิดใช้)
- ชนิดขวด มีสารกันเสียที่สลายได้ มีอายุ 1 เดือน (หลังเปิดใช้)
- ชนิดแบบกระเปาะเล็กไม่ใส่สารกันเสีย อายุการใช้ 1 วัน (หลังเปิดใช้)
- ชนิดเจล ขี้ผึ้ง (แบบป้ายตา) มีอายุ 1 เดือน (หลังเปิดใช้)
ส่วนมากแพทย์แนะใช้เวลาก่อนนอน แต่สามารถใช้เมื่อรู้สึกตาแห้งระหว่างวันได้
วิธีการใช้น้ำตาเทียมที่ถูกต้อง
การใช้น้ำตาเทียมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของจักษุแพทย์และควรใช้ตามคำแนะนำบนฉลากอย่างรอบคอบ แต่โดยทั่วไปมีวิธีใช้น้ำตาเทียมอย่างปลอดภัย ดังนี้
- ควรล้างมือให้สะอาดก่อนใช้น้ำตาเทียม
- เงยหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ถนัด จากนั้นดึงเปลือกลงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับหยอดน้ำตาเทียม
- หากเป็นชนิดขวด หรือชนิดหลอดยาขี้ผึ้งแบบป้าย ควรให้ปลายหลอดยาป้าย หรือปลายขวดน้ำตาเทียมห่างจากดวงตาพอประมาณ
- ค่อย ๆ หยดลงไป โดยทั่วไปใช้ประมาณ 1 หยด ระหว่างที่หยดให้เหลือบตามองบน
- หลังจากหยดน้ำตาเทียมให้หลับตาไว้ประมาณ 1-2 นาที ไม่หรี่ตาหรือกะพริบตาเพื่อไม่ให้น้ำตาเทียมไหลออกจากตาเร็วเกินไป
- เช็ดน้ำตาเทียมส่วนที่ไหลออกด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด
- ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมสัมผัสกับดวงตา ผิวหน้า หรือส่วนใดของร่างกาย เพราะอาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ทั้งนี้ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมมีวางจำหน่ายหลากหลายชนิดยี่ห้อ ดังนั้น หากเคยมีประวัติอาการแพ้น้ำตาเทียม ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนการใช้ หรือมีความผิดปกติ เช่น น้ำตาไหล ตาแดง คันตา ตามัว หรือเคืองตา ปวดตา ควรหยุดใช้ทันทีและรีบพบจักษุแพทย์
น้ำตาเทียมที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ แนะควรใช้ชนิดไม่มีสารกันเสียชนิดแบบกระเปาะเล็กใช้ได้ 1 วัน และถ้ามีความจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมร่วมกับยาหยอดตาอื่น ๆ ควรเว้นให้ห่างกันประมาณ 5-10 นาที เพื่อประสิทธิภาพของยา
ที่สำคัญน้ำตาเทียมทุกชนิด เมื่อหมดอายุแล้วควรทิ้งทันทีห้ามน้ำกลับมาใช้ และควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่อยู่ในที่แสงแดดจัด และไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มารู้จัก “ประโยคขอความช่วยเหลือ” ในภาษาอังกฤษกัน
ถ้าเกิดบังเอิญจับพลัดจับผลูได้ไปต่างประเทศ แล้วเกิดบังเอิ๊ญบังเอิญเข้าตาจน จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติเราจะพูดยังไง เริ่มต้นประโยคว่ายังไงดี เรามีประโยคขอความช่วยเหลือแบบเบสิคๆ มาฝากกันรับรองว่าถ้าเอาไปใช้ต้องมีใครสักคนช่วยคุณแน่นอน
เริ่มต้นด้วยประโยคง่ายๆ
Can you help me please? หรือถ้าจะให้สุภาพกว่านี้ใช้
Could you help me please? ก็ได้ไม่ผิด
จำประโยคนี้ประโยคเดียวนี่ก็ใช้ได้ทั้งประเทศเลยแต่ถ้าอยากเปลี่ยนบ้างเพื่อความไม่จำเจเราก็มีประโยคอื่นๆ มานำเสนอ
May I ask you a favor? ฉันขอให้คุณช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย
หรือจะบอกว่า Can you do me a favor? ก็ได้
favor แปลว่า ความช่วยเหลือ หรือ ความเอื้อเฟื้อ คำนี้อาจจะฟังดูเป็นทางการไปซะหน่อย แต่จำไว้ก็ไม่เสียหาย
อีกประโยคหนึ่งเป็นสำนวนขึ้นมาหน่อย ดูเก๋ๆ คือ Could you give me a hand?
ไม่ได้แปลว่า ขอมือหน่อย แต่แปลว่า ช่วยฉันหน่อยได้มั้ย ตัวอย่างสถานการณ์เช่น คุณจำเป็นต้องแบกทีวีเครื่องเบ้อเริ่มขึ้นไปบนห้องใดห้องหนึ่ง แต่มันหนักซะเหลือเกิน คุณก็เห็นวัยรุ่นท่าทางทะมัดทะแมงสองสามคนแถวๆ นั้น เลยเข้าไปทักว่า Excuse me, could you give me a hand? แน่นอนว่าถ้าสองคนนั้นไม่ใจร้ายเกินไป เค้าจะต้องเข้ามาช่วยคุณอย่างแน่นอน
ประโยคอื่นๆ ที่ใช้ขอความช่วยเหลือก็ยังไม่หมดแค่นี้นะเราอาจจะพูดได้ว่า
Would you mind helping me out? ช่วยผมทีนะ หรือ ช่วยฉันหน่อยนะ
หรือ
Is it possible for you to help me? เป็นไปได้ไหมที่คุณจะช่วยฉัน
หรือเราอาจจะไม่ใช้ประโยคคำถามแต่ บอกออกไปตรงๆ เลยว่า ฉันต้องการความช่วยเหลือ คือ
I need some help. แล้วก็ระบุสิ่งที่คุณต้องการให้เขาช่วยได้เลย
ถ้าคุณอยากขอความช่วยเหลือ โดยเจาะจงหรือต้องการระบุว่าอยากให้ช่วยอะไร ออกเป็นแนวประโยคขอร้องให้ทำนั่นทำนี่ให้หน่อย ก็ให้ขึ้นต้นประโยคว่า
Could you please…..?
Would you please….?
เช่น
Could you please open the window? คุณช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อยได้มั้ย
Would you please get me that newspaper? คุณช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ให้หน่อยได้มั้ย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
อยู่กันยาวๆ Google เพิ่มระยะอัปเกรด Chromebook นานสุด 10 ปี!
Google ได้มีการออกประกาศเพิ่มระยะการ Support Software ของระบบปฏิบัติการ Chromebook นานสุดที่ 10 ปีแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ให้ความมั่นใจกับผู้ใช้งานเพื่อให้ใช้งานได้ยาวๆ กันไป
โดยการออกมาประกาศเรื่องการสนับสนุนซอฟต์แวร์นานสุดที่ 10 ปี จะเริ่มกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Chromebook ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2021 โดยจะได้อัปเดตไปจนถึง 10 ปี ตราบใดที่ยังมีการใช้งาอย่างต่อเนื่อง โดยการอัปเดตนี้จะทำให้คุณสมบัติใหม่ๆ ใน Chromebook ของรุ่นเดิมก็จะได้อัปเดตไปด้วย
ทั้งนี้ Google ก็ยังทำงานร่วมกับพันธมิตรตั้งแต่ Software, Hardware เพื่อให้ทั้งหมดเข้ากัน รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย และทั้งนี้ Chromebook ได้รับความนิยมในภาคการศึกษาในโรงหลายๆ แห่งโดยคิดว่าเป็นประมาณ 80% ของทั้งหมด และการซ่อมแซมที่ผ่านมาก็สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น
ทั้งนี้ Google ยังตั้งเป้าว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค “ความดันโลหิตสูง”
อาหารเพื่อสุขภาพให้คุณประโยชน์มากมาย สำหรับการจัดการกับความดันโลหิต นอกจากนี้ การดูดซึม วิตามินและแร่ธาตุ บางชนิด ก็สามารถส่งผลดีต่อความดันโลหิตตามธรรมชาติได้ คุณทราบหรือไม่ว่าเป็นแร่ธาตุและวิตามินประเภทใดบ้าง ลองอ่านต่อไป
โพแทสเซียม
โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญ ระดับปกติของโพแทสเซียมส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อที่เป็นปกติ อย่างเช่นการคลายลายเนื้อเยื่อเส้นเลือด สิ่งนี้ช่วยลดความดันเลือด และป้องกันการเกิดตะคริวได้ โพแทสเซียมช่วยเอื้อต่อความดันเลือดตามธรรมชาติ โดยการลดผลกระทบของโซเดียม ระดับโพแทสเซียมที่เพียงพอ ยังช่วยป้องกันการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้ โดยรักษาการนำไฟฟ้าของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจและระบบประสาทส่วนกลางให้เป็นปกติ แนะนำว่าร่างกายของคุณ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรได้รับโพแทสเซียมในปริมาณ 4,700 มิลลิกรัมต่อวัน โพแทสเซียมสามารถพบได้ในมันฝรั่ง ลูกพรุน แอปริคอต เห็ด ถั่ว ส้ม ปลาทูน่า ผักโขม มะเขือเทศ ลูกเกด เกรฟฟุต นมพร่องมันเนย และโยเกิร์ต
แมกนีเซียม
แมกนีเซียมสามารถช่วยควบคุมความดันเลือดของคุณได้ แมกนีเซียมช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว เป็นการลดความดันเลือด แมกนีเซียมในระดับสูงสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ อย่างไรก็ดี ร่างกายจะแมกนีเซียมไปได้เมื่อคุณถ่ายปัสสาวะ อาหารจำพวกผักใบเขียวเข้ม ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำคือ 420 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 50 ปีหรือมากกว่า และ 320 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงอายุ 50 ปีหรือมากกว่า อย่างไรก็ตาม แมกนีเซียมในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้
แคลเซียม
แคลเซียม สามารถช่วยให้ผนังหลอดเลือดเกร็งและคลายในเวลาที่ต้องการ สิ่งนี้ช่วยควบคุมความดันเลือดได้ แคลเซียมสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม และในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำอยู่ระหว่าง 1,000 และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 51 ปีหรือมากกว่า และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงอายุ 51 ปีหรือมากกว่า
วิตามินอี
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน วิตามินอีสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ได้แก่ ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ ผลไม้ สัตว์ปีก ผัก น้ำมันพืช และอาหารเสริม วิตามินอีสามารถคงอยู่ในร่างกายได้ จึงไม่ค่อยพบภาวะขาดวิตามินอี วิตามินอีสามารถใช้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง วิตามินอีส่งผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว สิ่งนี้ช่วยลดความดันโลหิต ทั้งความดันในขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัว นอกจากนี้ วิตามินอียังสามารถป้องกันภาวะหัวใจวาย อาการเจ็บหน้าอก โรคอัลไซเมอร์ ความผิดปกติเกี่ยวกับเลือด ปัญหาเกี่ยวกับไต ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และโรคพาร์กินสัน
วิตามินซี
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตวิตามินซีได้เอง แต่คุณสามารถรับวิตามินซีได้จากอาหารต่างๆ เช่น ผักและผลไม้สด และอาหารเสริม อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคุณควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี แทนการรับประทานอาหารเสริม เชื่อกันว่าวิตามินซีสามารถรักษาหรือป้องกันอาการติดเชื้อ โรคซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกับการคิด โรคอัลไซเมอร์ อาการอ่อนเพลีย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะคลอเรสเตอรอลสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความดันเลือดสูง วิตามินซีช่วยลดภาวะความเครียดจากการเกิดอนุมูลอิสระ และช่วยกระตุ้นผลของการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยลดความดันเลือดลงได้
วิตามินดี
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน พบได้ในปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในน้ำผลไม้และธัญพืชที่มีฉลากติดไว้ว่า ‘เสริมวิตามินดี’ อย่างไรก็ดี คุณสามารถได้รับวิตามินดีโดยส่วนมากได้จากการรับแสงแดด วิตามินดีมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดและอาการโรคของหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะไตล้มเหลว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และโรคเกี่ยวกับฟันและเหงือก สิ่งที่คุณรับประทานสามารถส่งผลต่อสุขภาพของคุณได้เสมอ เพื่อให้มีความดันโลหิตที่เหมาะสม อาหารที่มีประโยชน์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ แร่ธาตุจำเพาะและวิตามินที่กล่าวถึงข้างต้น ควรรวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,850.00 | 32,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,128.00 | 32,260.48 | 33,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,915.20 | 29,034.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,702.40 | 25,808.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 958.00 | 14,523.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 745.00 | 11,294.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,205.00 | 33,427.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 40.45 | 40.45 | 41.55 | 40.45 | 40.85 | 40.45 | 40.45 | 40.45 | 40.45 | 40.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 40.18 | 40.18 | 41.28 | 40.18 | 40.58 | 40.18 | 40.18 | 40.18 | 40.18 | 40.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 38.14 | 38.14 | 39.24 | 38.14 | 38.54 | – | 38.14 | 38.14 | 38.14 | 38.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.79 | 37.79 | – | – | – | – | – | – | – | 37.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.44 | 49.34 | 51.34 | 49.34 | – | – | – | – | – | 45.44 |
เบนซิน 95 | 48.24 | – | – | – | 49.81 | – | 48.74 | 48.39 | – | 48.24 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 49.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |