วัน ออริจิ้นลุยโรงแรมผุดฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง มาบตาพุด
“วัน ออริจิ้น”ลุยโรงแรมผุดฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง มาบตาพุดภายในโครงการเมกะโปรเจกต์ “ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง” บนแยกเนินสำลี ปลายปี66
ปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO ผู้พัฒนาและดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) กล่าวว่า ระยองเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและมีโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมในด้านโลจิสติกส์ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ จนมีบริษัททั้งไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่ตลอด ควบคู่กับการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่รายล้อมด้วยหาดและเกาะชื่อดังมากมาย อาทิ หาดแม่รำพึง หาดแสงจันทร์ เกาะเสม็ด ทำให้ระยองเป็น “ทำเลแม่เหล็ก” ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และนักลงทุน
วัน ออริจิ้น ยังมีพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่าง บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) บริษัทประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการสถานที่ และให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางด้านบริหารจัดการอาคารอย่างครบวงจร และเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มาเสริมความแข็งแกร่งในการพัฒนาโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง มาบตาพุด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ร่วมกัน
“โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง มาบตาพุด ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดกับ ถ.สุขุมวิท ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง ย่านธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ได้อย่างง่ายดาย เราจึงนำแบรนด์โรงแรมระดับโลกอย่างแบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส เข้ามาให้บริการด้วยคอนเซ็ปต์ Simple Smart Travel คือ เป็นโรงแรมที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ราคาจับต้องได้ แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างครบครันและทันสมัย”
โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง มาบตาพุด เป็นแบรนด์โรงแรมในเครือที่บริหารจัดการโดยอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG) เครือโรงแรมยักษ์ใหญ่ระดับโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 1-3-83.7 ไร่ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีจำนวนห้องพักรวม 204 ห้อง ขนาดห้องพัก 19-24 ตร.ม. โดยมีห้องหลากหลายรูปแบบ ทั้งห้องเตียงเดี่ยว (Queen bed) เตียงคู่ (Twin bed) รวมถึง Connecting room รองรับการเข้าพัก ทั้งกลุ่มนักธุรกิจ และครอบครัว
ด้วยแนวคิด Simple Smart Travel นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับทุกความจำเป็นในการพักผ่อนแล้ว ที่นี่ยังโดดเด่นด้วยห้องประชุม (Meeting room) ที่มีให้บริการถึง 6 ห้อง รวมพื้นที่มากถึง 470 ตร.ม. สามารถรองรับผู้ร่วมประชุมได้สูงสุด 270 คน ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรและกลุ่มสัมมนา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของที่นี่ เนื่องจากระยองเป็นพื้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม กิจกรรมองค์กร และงานแสดงสินค้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ภายในโรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้องรับประทานอาหารแบบ All day dining ขนาดใหญ่ถึง 420 ตร.ม. และห้องรับประทานอาหารส่วนตัว (Dining room) รองรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พร้อมสระเด็ก โซน Kids club มุมพักผ่อนสำหรับเด็ก ห้องซักรีดแบบ Self-service เปิดบริการ 24 ชม. สามารถเข้าใช้บริการได้ตามต้องการ โดยเตรียมเปิดให้บริการภายในปลายปี 2566
สำหรับบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO เป็นผู้พัฒนาและดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่สร้างสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลากหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธุรกิจโรงแรม พัฒนาโครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ พร้อมทั้งจับมือกับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกเข้ามาบริหาร มีโรงแรมที่เริ่มเปิดดำเนินการแล้ว อาทิ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท กรุงเทพ ทองหล่อ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท และมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพ และหัวเมืองต่างๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน รวมถึงอาคารมิกซ์ยูส กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property)
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Real Estate-as-a-Service FPT ลีดเกมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
เวทีสัมมนาโค้งท้ายปี หัวข้อ “ถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤต” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันศุกร์ 29 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
โดยมีผู้บริหารระดับประเทศจากวงการอสังหาริมทรัพย์ “ธนพล ศิริธนชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ FPT รับเชิญบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Real Estate-as-a-Service (REaaS)”
เพราะตีโจทย์การแข่งขันว่า ภูมิทัศน์ใหม่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้จบแค่ก่อสร้างเสร็จแล้วส่งมอบสินค้าเท่านั้น หากแต่โลกของการแข่งขันยุคใหม่ที่แท้จริง เป็นเรื่องของ “การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ลงทุน 22 ประเทศ 70 เมือง
FPT เป็นบริษัทส่วนหนึ่งของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ที่สิงคโปร์ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการลงทุนมากกว่า 22 ประเทศ ใน 70 เมือง ลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัย รีเทล อินดัสเตรียล โลจิสติกส์ คอมเมอร์เชียล และฮอลพิทาลิตี้
สำหรับ FPT เป็นบริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินธุรกิจใน 3 เซ็กเตอร์ของอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีสินค้าบ้านแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ รวม 76 โครงการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
คลังสินค้า โลจิสติกส์ มีพื้นที่บริหาร 3.5 ล้านตารางเมตร และเราบริหารจัดการพื้นที่ออฟฟิศทาวเวอร์ ทำเลตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีรีเทลอยู่ในใจกลางเมือง จำนวน 2.4 แสนตารางเมตร
วันนี้ ชวนกันคิด วันนี้เราจะฝ่าวิกฤตยังไง ถ้าไม่เปลี่ยนเราจะรอดไหม
กระจกหกด้านส่องวิกฤต
คำว่าวิกฤตสำหรับผม ในภาคอสังหาริมทรัพย์ผมไม่แน่ใจว่าเราอยู่ในภาวะวิกฤตจริงหรือเปล่า เพราะหลาย ๆ บริษัททำได้ดี โดยท็อป 5 บริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการเปิดโครงการเพิ่ม บ้านราคาแพงก็ยังขายได้ตามเป้า ตลาดคอนโดมิเนียมที่ซบเซามา (ในช่วงสถานการณ์โควิด) ก็เริ่มเปิดตัวมากขึ้น
ในส่วนของอาคารสำนักงาน แม้ว่ามีการเปลี่ยนพฤติกรรมในเรื่องของ WFH แต่ความต้องการก็ยังเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เมกะโปรเจ็กต์ต่าง ๆ เริ่มก่อสร้างเสร็จ ความต้องการใช้พื้นที่รีเทล และอาคารสำนักงานมากขึ้น
ภายใต้การบริหารอาคารของเรา ยังสามารถรักษาระดับการปล่อยเช่าได้มากกว่า 90% ทุกอาคาร
ในเซ็กเตอร์แวร์เฮาส์ โลจิสติกส์ มีความต้องการค่อนข้างมาก หลายบริษัทปรับเป้าขายพื้นที่ดินมากขึ้น คลังสินค้าเป็นที่ต้องการจากนโยบายไชน่าพลัสวัน ทำให้หลายบริษัทมีการเคลื่อนย้ายการผลิตโรงงานมาที่ประเทศใกล้เคียง รวมทั้งเข้ามาประเทศไทยด้วย
กลุ่มโรงงานผลิตรถยนต์เข้ามาซื้อที่ดินอีกหลายร้อยไร่ นิคมอุตสาหกรรมพร้อมจะเปิดตัวมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ผมไม่แน่ใจว่าเรายังอยู่ในวิกฤตไหม
แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหา หรือคนรู้สึกว่าเป็นปัญหา เกิดเป็นความท้าทายขึ้น ทำให้คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจชะลอตัว มันอาจจะทำส่งผลให้เรารู้สึกว่าความต้องการมันหายไป หรือยอดขายที่เราทำไม่ได้เป็นไปตามเป้า หรือเศรษฐกิจชะลอจริง ๆ
ในปี 2565 ยอดขายที่อยู่อาศัยเติบโต 33% จากปีโควิด ดีมานด์ที่อยู่อาศัยอาจจะอั้นมานาน ก็เกิดการซื้อขายมากขึ้น ปี 2566 คาดการณ์กันว่าจริง ๆ ตลาดก็ยังโต แต่น้อยกว่าปีที่แล้ว ผู้ประกอบการหลายคนเริ่มรู้สึกว่าตลาดชะลอตัว
ประกอบกับความท้าทายใหม่ ๆ เข้ามา ทั้งการส่งออกที่ลดลงจากเศรษฐกิจมหภาคชะลอตัว การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเต็มที่เหมือนยุคก่อนโควิด การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเป็น 2.5% เป็นภาระต้นทุน โดยเฉพาะในอสังหาริมทรัพย์ ไปกระทบในเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างได้
และสุดท้าย อัตราหนี้ครัวเรือนที่แตะระดับ 90% มาหลายปีแล้ว ส่งผลกระทบให้ความสามารถในการกู้ยืมซื้อที่อยู่อาศัยเป็นไปได้ยาก
โจทย์อสังหาฯ “ซัพพลายเสรี”
สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้วปัญหามี แต่เกิดจากเศรษฐกิจอย่างเดียว หรือเกิดจากซัพพลายเพิ่มขึ้น
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเสรี ใครอยากทำอะไรเราก็สามารถลงทุนได้ เราไม่มีข้อจำกัด ในต่างประเทศเขาจะควบคุมปริมาณซัพพลาย ที่ดินเป็นของรัฐบาลไม่สามารถจะออกมาได้ แต่ในประเทศไทย เซ็กเตอร์ไหนที่ว่าดี ทุกคนอยากจะเปลี่ยนไปลงทุน
ตลาดที่อยู่อาศัย 2-3 ปีที่แล้ว บ้านแนวราบขายดีมากเพราะมีนักลงทุนต่างชาติให้ราคาที่ดี ซัพพลายน้อย ในปีนี้ทุกคนปรับแผนจากทำบ้านขนาดกลาง ขึ้นมาทำบ้านราคาแพง แต่ดีมานด์ชะลอลง อาจจะขายไม่ได้ตามเป้า
ท็อป 10 ดีเวลอปเปอร์ประกาศเปิดโครงการเพิ่ม บางบริษัทบอกว่าเป็นปีที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ คอนโดมิเนียมประกาศเปิดตัวเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้ว แน่นอนปริมาณซัพพลายที่ไหลเข้ามาใหม่จะกลายเป็นอินเวนทอรี่ หรือสต๊อกที่จะส่งไปในปี 2567 ฉะนั้นซัพพลายเพิ่มขึ้นแน่นอน
ออฟฟิศบิลดิ้ง โครงการขนาดใหญ่วางแผนตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นเทรนด์ และเป็นความเชื่อว่ารูปแบบการอยู่อาศัยจะปรับเปลี่ยนไป โครงการมิกซ์ยูสดีเวลอปเมนต์จะตอบโจทย์รูปแบบการอยู่อาศัยในอนาคต
ใน 2-3 ปีนี้เราจะเห็นเมกะโปรเจ็กต์ออฟฟิศสร้างเสร็จ นั่นหมายความว่าจะมีซัพพลายไหลเข้ามาในตลาดอีก 1.8 ล้านตารางเมตร มีรีเทลสเปซเข้ามาอีก 1 ล้านตารางเมตร และโรงแรมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในอีก 3 ปีข้างหน้า ซัพพลายเพิ่มขึ้นแน่นอน
ในส่วนของอินดัสเตรียล สร้างขายไม่ทันเพราะดีมานด์เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว วันนี้ผู้ประกอบการหลายคนเร่งสร้าง เร่งปรับพื้นที่กว่า 3 แสนตารางเมตรจะเพิ่มใหม่ในปีหน้า
และยังมีผู้เล่นที่ปกติไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับแวร์เฮาส์ โลจิสติกส์ ก็คิดจะมาลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติ ภายใน 5 ปีมีการทำคลังสินค้า โลจิสติกส์แวร์เฮาส์เพิ่ม 5 ล้านตารางเมตร ซัพพลายเพิ่มขึ้น
จึงเป็นโจทย์ของเราว่า ดีมานด์ไม่ได้หายไปไหน แต่เราจะหาดีมานด์มาเพียงพอกับซัพพลายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่ผมคิดว่ารัฐบาล ภาคเอกชนอสังหาริมทรัพย์ จะทำยังไงที่จะสร้างดีมานด์ให้แมตช์กับซัพพลายที่เพิ่มขึ้น
รัฐบาลใหม่สร้างดีมานด์ให้ประเทศ
ต้องเรียนว่า รัฐบาลใหม่ ท่านนายกฯ เศรษฐา (ทวีสิน) ผมมีโอกาสได้ทำงานกับท่านช่วงหนึ่ง ก็เป็นนักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน และทำงานรวดเร็ว ช่วงที่ผ่านมาท่านก็ออกมาตรการมาช่วยเหลือกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการตรึงค่าครองชีพ ลดค่าไฟ ตรึงราคาน้ำมัน และอาจจะมีดิจิทัลวอลเลตออกมา
อาจมองว่าเป็นมาตรการระยะสั้น แต่ผมก็คิดว่าจำเป็นเพื่อออกมาเป็นมาตรการหมุนเวียน และเป็นการเพิ่มดีมานด์ให้กับภาคธุรกิจ
ท่านไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีโอกาสไปพบบริษัทชั้นนำระดับโลก เทสลา กูเกิล ไมโครซอฟท์ ท่านช่วยให้มาลงทุนมีเรื่องของดาต้าเซ็นเตอร์ อินฟราสตรักเจอร์ การตั้งโรงงาน ท่านพร้อมจะให้การสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ ผมคิดว่าท่านกำลังจะสร้างดีมานด์ รัฐบาลกำลังสร้างดีมานด์ให้กับภาคธุรกิจ
ล่าสุด ท่านเปิดฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวให้กับประเทศจีนและคาซัคสถาน เป็นการเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับภาคบริการ รัฐบาลสร้างดีมานด์ให้กับภาคบริการ
ในแง่ของภาคธุรกิจ จากการรวบรวมข้อเสนอต่าง ๆ ถึงรัฐบาล ในส่วนของที่อยู่อาศัย พูดถึงการลดค่าธรรมเนียมการโอน ซึ่งปัจจุบันได้เฉพาะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้สามารถกลับมากระตุ้นได้ทุกเซ็กเมนต์ (ไม่จำกัดเพดานราคา)
การผ่อนปรนมาตรการ LTV-loan to value ในเรื่องการกู้หนี้ตามกำลังความสามารถของผู้กู้เป็นหลัก การเพิ่มโควตาในการเป็นเจ้าของของชาวต่างชาติในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม หรือแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยแนวราบ
รวมทั้งการขยายระยะเวลาในการเช่าที่ดิน ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 30 ปี ให้ยาวขึ้น
ในส่วนของคอมเมอร์เชียล ปริมาณอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น เราสามารถจะดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้มาตั้งสำนักงานใหญ่ที่ประเทศไทย ปัจจุบันก็มีมาตรการอยู่ ถ้าเราสามารถเพิ่มอินเซนทีฟให้มากขึ้น ประกอบกับเคลียร์ในเรื่องของอินฟราสตรักเจอร์ ปรับปรุงสาธารณูปโภค หรืออำนวยความสะดวกให้กับทุกคนที่มาทำงานในประเทศไทย
ในเรื่องของการเพิ่มวีซ่าในการทำงาน หรือแม้กระทั่งการจะช่วยเรียลเซ็กเตอร์ในการลดภาษีสินค้าบางประเภท เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางช็อปปิ้ง เป็นเดสติเนชั่นของเอเชีย
ภาคอินดัสเตรียล เรามีในเรื่องของ EEC (ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) มีเรื่องของฟรีเทรดโซน รวมทั้งการเตรียมอินฟราสตรักเจอร์ให้พร้อมออกไปนอกประเทศ
การที่รัฐบาลจะเร่งเจรจาเอฟทีเอ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัท หรือโรงงานที่ตั้งการผลิตในประเทศ สามารถที่จะส่งออกไปได้โดยมี tax benefits
Ease of doing business ทำอย่างไรที่จะทำให้คนที่มาลงทุน สามารถมีความสะดวก มีวันสต็อปเซอร์วิสที่จะช่วยในการบริการใบอนุญาต การติดต่อต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจจะต้องใช้เวลา อาจจะต้องร่วมมือกันกับหลายภาคส่วน ผมคิดว่าภาคเอกชนเราไม่สามารถรอรัฐบาลให้ดำเนินการได้ เราในฐานะเอกชน ผู้ประกอบการ เราจะมีกลยุทธ์ยังไง มีการลงทุนยังไงที่จะต้องทำ และสามารถช่วยในการเติมดีมานด์ สร้างความแตกต่างให้กับเรา
ต่อยอดนวัตกรรม REaaS
ส่วนหนึ่งที่ผมเชื่อ นอกจากเราจะสร้างสินค้า สร้างหมู่บ้าน สร้างออฟฟิศ ทำยังไงเราจะต่อยอดเรื่องนวัตกรรมบริการเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งผมเรียกว่าการทำ Real Estate-as-a-Service หรือ REaaS
เราคงไม่ได้ทำอาคารหลังหนึ่งแล้วส่งมอบให้ลูกค้า แต่เราทำยังไงที่จะเพิ่มบริการที่ตรงใจลูกค้าได้
ในการทำ Real Estate-as-a-Service มี 3 รูปแบบ คือ Space-as-a-Service, Community-as-a-Service และ Sustainability-as-a-Service
Space-as-a-Service
ในส่วนของ space เศรษฐกิจที่ผันผวนก็มีผลต่อการใช้พื้นที่อาคารสำนักงาน สิ่งที่เรานำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถสร้างความยืดหยุ่นในการใช้ออฟฟิศสำนักงาน ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ในตึกของเรามีโคเวิร์กกิ้งสเปซ ซึ่งมีการมาแชร์การใช้สเปซ กับออฟฟิศแบบดั้งเดิมหรือออฟฟิศที่ส่งมอบเป็นพื้นที่เปล่า การมีสองโปรดักต์อยู่ในตึกเดียวกัน สร้างความสะดวกสบาย สร้างความยืดหยุ่นให้กับบริษัทที่อาจจะมีการเพิ่ม-ลดพื้นที่การทำงาน ก็เป็นส่วนที่หลายบริษัทเริ่มใช้
ล่าสุดแทนที่จะปล่อยออฟฟิศธรรมดา เราตกแต่งให้ด้วย พร้อมมูฟเข้ามาทำงาน เหมือนเช่าอพาร์ตเมนต์ เหมือนได้ห้องเปล่า ๆ แล้วเราไปซื้อเตียงซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งตามใจ ถ้าเราสามารถเสนอรูปแบบการตกแต่งที่ตรงใจลูกค้า มีดีไซเนอร์ มีฟังก์ชั่นใหม่ ๆ การตัดสินใจก็ง่ายขึ้น
ถัดมา well-being workplace โควิดทำให้เราตระหนักถึงความสะอาด PM 2.5 ทำให้เราตระหนักถึงคุณภาพของอาคาร การลงทุนในเรื่องคุณภาพอากาศ, ระบบ face recognition เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่เราต้องลงทุนเพื่อที่จะเสริมการบริการ นอกจากการใช้พื้นที่โดยตรง
ถัดมา warehousing วันนี้คงไม่ได้เช่าแค่คลังสินค้า แต่เราออกแบบ มีการใช้เทคโนโลยีออโตเมชั่นในการบริหารพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริหารพื้นที่ให้เร็วที่สุดเพื่อลดค่าใช้จ่าย เป็นเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่เรามี มาช่วยจัดการให้กับลูกค้าที่มาลงทุนในแวร์เฮาส์ของเรา
ในเรื่องของอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้นมามาก ใจกลางกรุงเทพฯมีพื้นที่ไหนที่สามารถจะปรับเปลี่ยนเป็นดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก เป็น last mile delivery center ต่อไปเราสามารถสั่งสินค้าออนไลน์ โดยได้รับสินค้าอาจจะไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็เป็นส่วนของบริการเสริมที่เราให้กับลูกค้า
Community-as-a-Service
Community-as-a-Service คือการสร้างพื้นที่เชื่อมชุมชน ในการออกแบบมิกซ์ยูสดีเวลอปเมนต์ เราคำนึงในการให้พื้นที่กับชุมชนรอบข้าง การสร้างโปรเจ็กต์ไม่ใช่เราจะ maximize พื้นที่โปรเจ็กต์ แต่เป็นการที่เราจะให้ชุมชนและบริการประชาชนคนอื่นด้วย
เราเริ่มโครงการที่เรียกว่า Park Enhancement Initiative แทนที่เราจะสร้างโรงงาน คลังสินค้าแบบเดิม ๆ มีโครงและมีหลังคา เราเติมความเขียวเข้าไป เติมเรื่องสันทนาการเข้าไป วันนี้ผมคิดว่าจะสร้างประโยชน์และทำให้คนที่ไปปฏิบัติงาน คนที่ไปใช้สถานที่ได้มีโอกาสที่จะเชื่อมกัน สร้างชุมชนที่ยั่งยืนขึ้น
ในส่วนสเปซของสามย่านมิตรทาวน์ เราเอื้อเฟื้อพื้นที่ให้พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่เข้ามาขายของได้ฟรี เรามีการจัดกิจกรรมนิสิตนักศึกษา จัดแอ็กติวิตี้เพื่อให้ความรู้กับชุมชน เรามีแหล่งการเรียนรู้ที่สามย่านมิตรทาวน์ colearning space เป็นสถานที่ที่นิสิตนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปสามารถอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมได้ฟรี 24 ชั่วโมง
Sustainability-as-a-Service
Sustainability-as-a-Service เมื่อเช้า ท่านนายกฯเศรษฐาเล่าเรื่องไปที่สมัชชาสหประชาชาติ ประกาศความพร้อมของประเทศในการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบของ Sustainability Development ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องของไคลเมตเชนจ์ สิ่งแวดล้อม เป็นผลกระทบที่ใกล้ตัวเราเหลือเกิน
ที่สำคัญกระทบกับลูกค้าเราจริง ๆ ด้วย ฉะนั้น เราจะทำยังไงได้บ้าง
ตอนนี้เราเริ่มนำอาคารคลังสินค้าออกแบบโดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลงทุนในเรื่องของกรีนเอ็นเนอร์ยี่, โซลาร์รูฟ, หลอด LED ต่าง ๆ ในระยะยาวสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายกลับไปที่ผู้เช่าได้ด้วย
ทุกอาคารของเราไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศบิลดิ้ง คลังสินค้า มีกรีนเซอร์ติฟิเคต บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะมาเช่าออฟฟิศ คำถามแรกคือ มี LEED หรือเปล่า มีเซอร์ติฟายด์หรือเปล่า ระดับไหน เขาไล่เช็กถึงจะผ่านนะครับ
คลังสินค้าบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกถามก่อนเหมือนกันว่า มี sustainability มีเซอร์ติฟายด์กรีนบิลดิ้งอะไร เพราะเขาค้าขายกับคนทั่วโลก เขาไม่ได้ขายเฉพาะโลคอลของเรา ฉะนั้นการทำเรื่องกรีนเป็นสิ่งที่สำคัญ
เรื่อง ESG ผมมองว่าไม่ใช่เป็นเทรนด์ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนพูดแล้วจบไป ESG Excellence เป็นกลยุทธ์ที่เราต้องนำมาใช้ ที่ FPT ของเรานำมาประกาศเป็นกลยุทธ์องค์กร ที่มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 เรามีมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ในการช่วยกันทำอย่างไรให้ระยะยาวสามารถทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
มิติใหม่-ยกระดับอสังหาฯไทย
ในการที่เราจะก้าวข้ามความท้าทายใหม่ ๆ การลงทุนในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำอย่างไรที่เราจะลงทุนในการที่จะต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต ให้ความต้องการของลูกค้าตรงจุด
เราต้องเปลี่ยนจากการที่เราคิดว่าจะขายโปรดักต์และสเปซ เป็นเรื่องของ innovation & customer centric เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยน เราอาจจะไม่รอด
และผมเชื่อว่า การทำ Real Estate-as-a-Service ยังมีนวัตกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย ยังมีแนวคิดอีกมากมายในการที่เราจะสามารถสอดแทรกนวัตกรรมเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ของลูกค้า สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการ
ผมคิดว่าจะทำให้เราสามารถแตกต่าง และดึงดูดดีมานด์ ซึ่งถึงแม้ว่าจะค่อย ๆ เติมเข้ามา ผมคิดว่าจะเป็นทางรอดในการจะช่วงชิงดีมานด์ได้ก่อนคนอื่น ท่ามกลางซัพพลายที่เพิ่มขึ้น
ผมเชื่อว่าการทำ Real Estate-as-a-Service ยังเป็นมิติใหม่ ในการยกระดับของอสังหาริมทรัพย์บ้านเรา ให้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้ก็ตรงกับเป้าหมายของบริษัทเราที่ว่า เราไม่ได้สร้างโครงการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า แต่เราสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ประทับอยู่ในความทรงจำของลูกค้านานเท่านาน
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ทำไม? ต่างชาติขาย บาทอ่อนและเงินเฟ้อ
ทำไม? ต่างชาติขาย บาทอ่อนและเงินเฟ้อ คอลัมน์ เมาธ์ทุกอำเภอ โดย…เจ๊เมาธ์
*** เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่านับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาเงินทุนต่างชาติ (Fun Flow) ไหลออกไปจากประเทศถึง 162,246.45 ล้านบาท ซึ่งหากนับเอาแค่ 3 วันแรกของเดือนตุลาคม (2-4 ตุลา) ก็พบว่า ต่างชาติขายไปแล้วรวม 5,075.95 ล้านบาท และขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวดีขึ้น แต่การดีขึ้นที่ว่านี้กลับถูก “ตีกลับ” ด้วยการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ 37-37.30 บาท ซึ่งเกือบจะต่ำที่สุดในปี และก็เป็นการอ่อนค่าลงไปทั้งที่ กนง. เพิ่งจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เข้าสู่ระดับ 2.5% ต่อปี จนดอกเบี้ยทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี
คำถามก็คือ…ทำไมต่างชาติยังขาย ทำไมค่าเงินบาทยังอ่อน และเมื่อคุมเงินเฟ้อได้แล้วยังไงต่อ…???
คำถามแรก…ทำไมต่างชาติยังขาย
คำตอบก็ง่ายๆ นั้นก็เพราะการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ 5.25-5.50% ซึ่งสูงสุดรอบ 22 ปี ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา อายุ 3 ปี และ อายุ 10 ปี อยู่ในระดับที่สูงกว่า 4.7% ซึ่งเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของไทย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.5% ต่อปี ทำให้เห็นได้ว่าเมื่อให้ผลตอบแทนที่ต่างกันมากขนาดนี้ …มันก็ไม่แปลกที่ต่างชาติจะย้ายเงินลงทุนออกไปจากประเทศไทย
ส่วนคำอธิบายที่ว่า “ทำไมยังขายออกมาอย่างต่อเนื่อง” ก็ต้องบอกว่า เม็ดเงินของต่างชาติมีอยู่ในประเทศมีจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงทำให้ต้องทยอยแบ่งขาย เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะขายออกมาให้หมดในช่วงเวลาสั้นๆ
ส่วนคำถามที่ว่า…ทำไมค่าเงินบาทไทยยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
คำตอบก็คงจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
อย่างแรก นั่นก็เป็นคำตอบที่ต่อเนื่องจากคำถามแรก นั่นก็คือ เมื่อมีความต้องการเงินสกุลดอลลาร์มากกว่าสกุลเงินบาท มีสัดส่วนที่แตกต่างกันมาก ทำให้เงินบาทถูกขายออกมาตามหลักของอุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเงินบาทไม่ค่อยเป็นที่ต้องการก็ขายไม่ออก และ เมื่อขายไม่ออกก็ต้องเพิ่มราคาขายให้สูงขึ้นเพื่อขายให้ได้นั่นเอง
อย่างที่สอง ก็เป็นความต่อเนื่องที่มีแนวโน้มว่า ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงตามภาวะเงินเฟ้อ ที่มาจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการแจก Digital Wallet เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย รวมไปถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจก Digital Wallet ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท อาจเป็นเหตุให้รัฐบาลจะต้อง “กู้เงิน” เพื่อนำมาแจก และถึงแม้การแจกที่ว่านี้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการหมุนเวียนได้จริง แต่เงินแจกที่มาจากการกู้เงิน ก็จะมีผลทำให้รัฐบาลต้องรับภาระที่มาจากดอกเบี้ยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ส่วนคำถามที่ว่า…เมื่อคุมเงินเฟ้อได้แล้วจะยังไงต่อ
ต่อคำถามนี้เจ๊เมาธ์ก็บอกเลยว่าไม่มีอะไรที่แน่นอน เพราะแนวโน้มของค่าเงินบาทที่อาจจะอ่อนค่าลงไปอีก นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย Digital Wallet รวมไปถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยว ก็อาจเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ในอนาคต ซึ่งหากเงินเฟ้อสูงมากเกินไป ก็จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องใช้กลไกของดอกเบี้ยในการควบคุม จนกลายเป็นภาวะ “งูกินหาง” วนกันไปมา
ขณะเดียวกัน ประเด็นในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อนี้ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง เนื่องจากมุมมองของฝั่งของรัฐบาล “ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องหลักและให้ความสำคัญกับภาวะเงินเฟ้อเป็นเรื่องรอง”
ขณะที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยกลับให้ความสำคัญกับ “ภาวะเงินเฟ้อเป็นเรื่องหลัก” ซึ่งหากทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับจูนกันได้ไม่ลงตัว หรือ เดินไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้ ก็อาจจะส่งผลกับนโยบายเรื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งความขัดแย้งที่ว่าทำให้มีข่าวลือเรื่อง “ปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” ก่อนที่จะมีภาพของการออกมาเคลียร์ข่าวกันวุ่นวายไปหมด
*** อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้อานิสงส์ในทางบวกจากเงินบาทอ่อนค่าก็เป็นทาง หุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร เช่น ITC AAI TU SUN และ PLUS หุ้นกลุ่มอิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกต่างประเทศ KCE และ HANA หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าที่ทำให้คนต่างชาติสนใจมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น ได้แก่ ERW CENTEL และ AOT รวมไปถึงกลุ่มอื่นๆ ที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ MEGA EPG TOG BANPU
*** ส่วนหุ้นที่ได้รับผลเสียเนื่องจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น ประกอบไปด้วยกลุ่มสายการบิน ซึ่งประกอบด้วย AAV และ BA กลุ่มพลังงานอย่าง PTTGC TOP IVL PTTEP และ SPRC และกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GULF BGRIM GPSC RATCH GUNKUL
*** ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าช่วงนี้ยังไม่ต้องคันมากเกินไปนะคะ นั่งทับมือได้ก็นั่งทับไปก่อน ส่วนใครที่มีของอยู่ในมือก็ให้ถือซะว่า “ถ้ายังไม่ขายก็ยังไม่ขาดทุน” จังหวะนี้รอดูไปก่อนดีที่สุดเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,929 วันที่ 8 – 11 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สรุปเหรียญเอเชียนเกมส์ 2022 เช้าวันที่ 6 ต.ค.66,จีน 179 เหรียญทอง,ไทยโดนเกาหลีเหนือแซง
การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ เดินทางมาถึง 2 วันสุดท้ายก่อนที่จะมีพิธีปิดการแข่งขันในช่วงเย็นวันที่ 8 ตุลาคมนี้
โดยที่ตารางอันดับเหรียญรางวัลเอเชียนเกมส์ 2022 เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายเต็มที สถานการณ์เป็นดังนี้ (อัปเดตเวลา 08:15 น. วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566)
อันดับที่ 1 จีน ยังโกยเหรียญทองอย่างมันมือ ตอนนี้เก็บไปถึง 179 เหรียญทอง, 99 เหรียญเงิน, 55 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 2 ญี่ปุ่น 44 เหรียญทอง, 54 เหรียญเงิน, 60 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 3 เกาหลีใต้ 33 เหรียญทอง, 47 เหรียญเงิน, 77 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 4 อินเดีย 21 เหรียญทอง, 32 เหรียญเงิน, 33 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 5 อุซเบกิสถาน 19 เหรียญทอง, 16 เหรียญเงิน, 25 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 6 ไต้หวัน 15 เหรียญทอง, 15 เหรียญเงิน, 23 เหรียญทองแดง
อันดับที่ 7 เกาหลีเหนือ 10 เหรียญทอง, 16 เหรียญเงิน, 9 เหรียญทองแดง
ส่วน ไทย หล่นมาอยู่อันดับที่ 8 ของตารางมี 10 เหรียญทอง, 14 เหรียญเงิน และ 27 เหรียญทองแดง
สรุปเหรียญเอเชียนเกมส์ 2023 ล่าสุด วันศุกร์ที่ 6 ต.ค.66 เช้านี้ ไทย อันดับที่ 8
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไขข้อสงสัย! ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดธรรมดา กับไข้หวัดใหญ่
ทุกคนน่าจะเคยเป็นไข้หวัดกันมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยเป็นไข้หวัดใหญ่ แถมไข้หวัดใหญ่ยังอันตรายมากกว่าไข้หวัดธรรมดาหลายเท่า นอกจากจะอาการหนักกว่า หายยากกว่าแล้ว ยังมีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจคร่าชีวิตคนได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อไรที่เราจะรู้ว่านี่เราเป็นไข้หวัดธรรมดา หรือเราเป็นไข้หวัดใหญ่ เมื่อไรที่เราซื้อยาทานเองได้ เมื่อไรที่เราต้องหาหมออย่างเดียว Sanook! Health มีวิธีสังเกตง่ายๆ มาฝากค่ะ
1. อาการไข้
ไข้หวัดธรรมดา – เป็นไข้ต่ำๆ ทานยาลดไข้ 1-2 วันก็หาย และไม่กลับมามีไข้อีก
ไข้หวัดใหญ่ – เป็นไข้สูง และนานกว่า 3-4 วันขึ้นไป ไข้ลดเฉพาะเมื่อทานยาลดไข้เท่านั้น
2. ปวดศีรษะ
ไข้หวัดธรรมดา – อาจปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย หรืออาจไม่มีอาการปวดเลย
ไข้หวัดใหญ่ – อาจปวดศีรษะมากกว่าปกติ
3. ปวดเมื่อยตามตัว
ไข้หวัดธรรมดา – มีอาการปวดเมื่อยตามตัวเพียงเล็กน้อย
ไข้หวัดใหญ่ – ปวดเมื่อยตามตัวมาก
4. อ่อนเพลีย
ไข้หวัดธรรมดา – มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย และไม่นานเพียง 1-2 วัน
ไข้หวัดใหญ่ – อ่อนเพลียมาก อาจมีอาการยาวนานเป็นสัปดาห์ได้
5. อาการไอ
ไข้หวัดธรรมดา – ไอไม่มาก ไอแห้งๆ
ไข้หวัดใหญ่ – ไอหนัก ไอบ่อย และมีเสมหะเหนียวข้น
6. น้ำมูก
ไข้หวัดธรรมดา – น้ำมูกใส เหลว หรืออาจไม่มีน้ำมูกก็ได้
ไข้หวัดใหญ่ – น้ำมูกข้น เหนียว
7. เจ็บคอ
ไข้หวัดธรรมดา – พบอาการเจ็บคอได้บ่อยในช่วงแรกๆ ที่เป็น
ไข้หวัดใหญ่ – อาจไม่พบอาการเจ็บคอ หรือพบได้น้อยมาก
8. โรคแทรกซ้อน
ไข้หวัดธรรมดา – ไซนัส หรือหูอักเสบ
ไข้หวัดใหญ่ – หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม
9. การรักษา
ไข้หวัดธรรมดา – ไม่มียารักษาโดยตรง ทำได้เพียงทานยารักษาตามอาการเท่านั้น
ไข้หวัดใหญ่ – ให้ยา Amantadine หรือ Rimantadine หลังจากตรวจพบอาการภายใน 1-2 วัน
10. การป้องกัน
ไข้หวัดธรรมดา – ไม่มีวิธีป้องกันโดยตรง
ไข้หวัดใหญ่ – มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
อย่างไรก็ตาม วิธีหลีกเลี่ยงอาการเป็นไข้หวัดไม่ว่าจะชนิดใด คือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูงๆ) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ชีวิตก็ห่างไกลจากไข้หวัดได้ง่ายๆ แล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สำนวน/สแลงที่ใช้บอกว่า “ใจเย็นก่อนนะ”
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ถ้าเรารู้แล้วว่ากำลังหัวร้อน อยากบอกให้เย็นลง ทำใจให้สบาย แต่ไม่อยากพูดว่า calm down อย่างเดียว จะพูดยังไงได้บ้างนะ ไปพักชมสาระบ้างดีกว่า ก่อนจะกลับไปดูโหนกระแสกัล let’s go
Cool your jets/pits!
Cool your jets, the result won’t be as bad as they’re predicting.
ใจเย็นก่อน ผลลัพธ์มันอาจไม่แย่เท่าที่พวกเขาทำนายไว้ก็ได้
Give it a rest!
I can’t stand listening to it anymore. Just give it a rest!
ทนฟังต่อไม่ไหวละ พักเถอะ
Hold your horses
Hey, just hold your horses. Take time to think about it more.
เฮ้ เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งใจร้อน ใช้เวลาคิดให้มากกว่านี้ดูก่อนเถอะ
Keep your shirt on
Nothing happened. So, Keep your shirt on.
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย ใจเย็นไว้เถอะ
Loosen up!
He seemed quite nervous at the beginning, but he loosened up when we talked to him.
เขาดูกังวลนิดหน่อยในตอนแรก แต่ก็ผ่อนคลายลงในตอนที่พวกเราเข้าไปคุยด้วย
Take it easy
Take it easy, dude. It’ll be better if you trust in your co-workers abilities.
ใจเย็นๆเพื่อน มันจะต้องดีขึ้นแน่นอนถ้าแกเชื่อในศักยภาพของเพื่อนร่วมงาน
Take a deep breath.
We’re about to do this exam. Take a deep breath!
พวกเรากำลังจะทำข้อสอบนี้กันละ หายใจเข้าลึกๆ ฮึบ!
Simmer down
No one was trying to annoy you. Simmer down and go back home then.
ไม่มีใครพยายามทำให้เธอรำคาญใจหรอก ใจเย็นๆแล้วกลับบ้านไปก่อนละกัน
Take a chill pill!
The police officer told an offender to take a chill pill and answer the questions.
เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกผู้ต้องหาให้ใจเย็นๆและตอบคำถามซะ
Relax
I know everything sucks but you need to relax.
ฉันรู้นะว่าทุกอย่างมันห่วยไปหมด แต่แกต้องใจเย็นๆอ่ะ
Chilled/chilled out
I’m feeling chilled. There is nothing to worry about.
ฉันรู้สึกสบายใจจัง มนไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ออกรถใหม่ 1 คัน ใช้งานได้นานกี่ปี กี่กิโลเมตรถึงต้องเปลี่ยนใหม่?
ปัจจุบัน โปรโมชั่นออกรถใหม่ป้ายแดงกลายเป็นจุดขายของทุกค่ายรถยนต์ ประกอบกับมีรถรุ่นใหม่ ๆ ออกมาล่อใจอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้มีความต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่เร็วขึ้น รู้หรือไม่ว่าเจ้าของรถส่วนใหญ่ใช้งานรถยนต์คันนั้น ๆ กี่ปี นับจากวันที่ถอยออกจากโชว์รูม
‘รถยนต์’ มีอายุการใช้งานหรือไม่
อายุการใช้งานของรถยนต์หนึ่งคัน ในทางปฏิบัติแล้วไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและแนวทางการใช้รถของเจ้าของรถแต่ละคนที่ต่างต่างกันออกไป บางคนอาจจะต้องการเปลี่ยนรถใหม่ทุก 5-7 ปี บางคนอาจวางแผนระยะยาวใช้รถเป็น 10 ปีขึ้นไป หรือบางคนแม้จะมีรถคันใหม่แต่ก็ยังเก็บคันเก่าไว้ใช้งานเป็นเวลากว่า 20 ปี ก็มีเช่นกัน
นอกจากนี้ความเชื่อที่ว่า รถยนต์เมื่อใช้งานในระยะทางแตะหลัก 1 แสนกิโลเมตรแล้ว เครื่องยนต์จะเสื่อมสภาพนั้น แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเครื่องยนต์ในยุคปัจจุบันสามารถวิ่งได้ในระดับ 3 แสน กิโลเมตรขึ้นไปได้แบบสบาย ๆ ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา นอกจากนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์ส่วนอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบของรถยนต์คันนั้น ๆ ด้วย
เหตุผลที่คนต้องการเปลี่ยนรถใหม่
ประเด็นดังกล่าวขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของรถล้วนๆ โดยหากเป็นกลุ่มแรกที่เปลี่ยนรถทุก 5-7 ปี เหตุผลของเจ้าของรถกลุ่มนี้ นอกจากจะต้องศักยภาพทางการเงินที่พร้อมแล้ว ยังต้องการใช้งานรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งสมรรถนะและความปลอดภัยในระดับสูงสุดตลอดเวลา ไม่ต้องการเจอปัญหาจุกจิกกวนใจ เพราะอะไหล่บางชิ้นจะเริ่มหมดระยะประกัน หรือเริ่มเสื่อมสภาพในช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ หากประเมินสภาพรถหลังผ่าน 7 ปีแรก ที่ต้องนำรถเข้าตรวจตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบก อะไหล่ชิ้นสำคัญที่ต้องตรวจเช็ค จะมีทั้ง ระบบเบรกและช่วงล่าง สายพานไทม์มิ่ง ยางแท่นเครื่อง ระบบหม้อน้ำ รวมถึงท่อของเหลวทั้งหมดว่ารั่วซึมหรือไม่ และที่สำคัญคือ ระบบของเหลว อาทิ น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำมันพาวเวอร์ น้ำยาหล่อเย็น และน้ำมันเฟืองท้าย เป็นต้น
ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการใช้งานรถยนต์จากทั่วโลก
ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่าในปี 2018 เจ้าของรถยนต์นั่งในทวีปยุโรปจะใช้งานเป็นระยะเวลาเฉลี่ย 11.1 ปี นับจากถอยรถคันใหม่ออกจากโชว์รูม ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาราวๆ 1 ปี นับจากปี 2013 เป็นต้นมา ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกา การใช้งานรถยนต์เฉลี่ยอยู่ที่ 11.8 ปี ต่อรถยนต์หนึ่งคัน
ขณะที่ในทวีปเอเชีย สถิติในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าตลาดรถยนต์รายใหญ่ของโลก ในปี 2018 ที่ผ่านมา มีตัวเลขการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 ปี ส่วนประเทศที่มีค่าเฉลี่ยการใช้งานรถยนต์ใหม่สั้นที่สุดคือ สิงคโปร์ ศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวเลขการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 5.46 ปีเท่านั้น
สถิติโลกรถยนต์ที่ถูกใช้งานนานและวิ่งระยะทางมากที่สุด
ในขณะที่ตัวเลขเฉลี่ยการใช้งานรถยนต์ 1 คันจากทั่วโลกจะอยู่ที่ราว 5-13 ปี แต่สถิติที่ถูกบันทึกโดย ‘กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด’ ของรถยนต์ที่ ถูกใช้งานนานและวิ่งระยะทางมากที่สุดในโลก คือรถยนต์ วอลโว่ รุ่น P1800 ที่ใช้งานตั้งแต่ปี 1966 จนมาถึง 2018 เป็นเวลาถึง 52 ปี โดยรถคันดังกล่าวซึ่งเป็นของ เออร์วิน กอร์ดอน ชาวอเมริกัน ทำสถิติวิ่งได้ในระยะทางมากที่สุดในโลกทะลุ 3 ล้านไมล์ หรือราว 4.8 ล้านกิโลเมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กิน “แซลมอนดิบ” อย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
“แซลมอนดิบ” อาหารญี่ปุ่นที่เป็นที่รักของคนไทย และคนทั่วโลกหลายคน กลายเป็นสาเหตุของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ระลอกใหม่ในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โดยมีการพบเชื้อไวรัสในเขียงปลาแซลมอนในตลาดค้าอาหารสดขนาดใหญ่ เห็นอย่างนี้แล้วเราจะยังกินแซลมอนดิบได้อยู่หรือไม่?
แซลมอนดิบ มีอันตรายหรือไม่?
อาหารดิบมักเสี่ยงเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่มากับอาหาร เพราะไม่ได้ถูกทำลายด้วยการผ่านการปรุงด้วยความร้อน อาหารดิบจึงมักตกเป็นสาเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารต่างๆ ตั้งแต่โรคที่พบได้บ่อยอย่าง ท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษ ไปจนถึงพยาธิชนิดต่างๆ ที่อาจมากับอาหารสดทั้งจากเนื้อสัตว์ และผักผลไม้ที่ปนเปื้อน
แซลมอนที่ทานดิบแบบซาชิมิ อาจมีพยาธิบางชนิดที่สามรถพบได้ เช่น พยาธิตัวกลมกลุ่มอนิสซาคิส (Anisakidae) และจุลินทรีย์ต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ เช่น อีโคไล (E. coli) เชื้อวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus), วิบริโอ คอเลอเร (Vibrio cholerae), ซาลโมเนลล่า (Salmonella spp.) ลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส (Listeria monocytogenes) และสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)
การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ก่อโรคดังกล่าวอาจเกิดจากการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อลิสทีเรีย โมโนไซโตจีเนส หรือปนเปื้อนจากน้ำทะเลตามธรรมชาติ ได้แก่ เชื้อวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส หรือเชื้ออหิวาต์เทียม และการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียในขณะแล่และหั่นปลาดิบ เช่น เชื้อซาลโมเนลล่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียจากอาหารดิบอื่นๆ โดยการใช้อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น มีด เขียงและภาชนะร่วมกัน โดยไม่ได้ล้างให้สะอาด แต่บางกรณีการปนเปื้อนเชื้อซาลโมเนลล่าและอีโคไล ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในอุจจาระของคน และสัตว์นั้นอาจมาจากผู้ประกอบการมีสุขลักษณะส่วนบุคคลที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่ล้างมือให้สะอาดภายหลัง การเข้าห้องน้ำ
กิน “แซลมอนดิบ” อย่างไร ให้ปลอดภัย
- เลือกรับประทานแซลมอนจากผู้ผลิต หรือจากร้านที่มั่นใจในคุณภาพ และเชื่อถือได้ หรือเป็นแซลมอนเกรดสำหรับรับประทานแบบซาชิมิได้เท่านั้น แซลมอนจะได้รับการกำจัดพยาธิและเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ด้วยการแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 ชั่วโมง หรือ ต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือ ผ่านความร้อนมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้
- สอบถามแหล่งที่มาของปลา (ถ้าผู้จำหน่ายให้ข้อมูลได้) ส่วนใหญ่แซลมอนเกรดซาชิมิมักมาจากทั้งนอร์เวย์ และญี่ปุ่น
- ผู้ประกอบอาหาร และผู้แล่ปลา ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร และถ้ามีบาดแผลที่มือให้ปิดพลาสเตอร์ และใส่ถุงมือขณะประกอบอาหาร เพื่อลดโอกาสการปนเปื้อนเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส และเชื้ออื่นๆ สู่อาหาร
- แซลมอนชนิดแล่เป็นชิ้นๆ แล้ว ควรบรรจุในภาชนะที่ปิดเรียบร้อย เช่น ถาดที่มีแผ่นฟิล์มพลาสติกหุ้มมิดชิด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียต่างๆ
- หากเป็นแซลมอนแบบซื้อกลับบ้าน ขณะวางจำหน่ายและควรเก็บรักษาในอุณหภูมิแช่เย็นตลอดอายุการจำหน่าย เพื่อควบคุมการเพิ่มปริมาณของเชื้อแบคทีเรีย และเนื่องจากเป็นอาหารที่เน่าเสียง่ายจึงควรรีบรับประทานให้หมดภายในวันที่ซื้อ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/10/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,850.00 | 31,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,063.00 | 31,275.08 | 32,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,856.70 | 28,147.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,650.40 | 25,020.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 928.00 | 14,068.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 722.00 | 10,945.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,138.00 | 32,412.08 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/10/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.25 | 38.25 | 38.75 | 38.25 | 38.55 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 | 38.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.98 | 37.98 | 38.48 | 37.98 | 38.28 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 | 37.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.94 | 35.94 | 36.44 | 35.94 | 36.24 | – | 35.94 | 35.94 | 35.94 | 35.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.44 | 48.94 | 48.94 | 48.94 | – | – | – | – | – | 44.44 |
เบนซิน 95 | 46.04 | – | – | – | 47.51 | – | 46.54 | 46.19 | – | 46.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 40.24 | 42.34 | 48.44 | 42.34 | 41.64 | – | – | – | – | 40.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |