ระวัง!5ทำเลบ้าน-คอนโดกทม.-ปริมณฑลส่งสัญญาณอันตรายเหลือขายบาน
เปิด 5 ทำเลบ้าน-คอนโด กทม.-ปริมณฑล ไตรมาส 2 /2567ส่งสัญญาณอันตราย สต็อกเหลือขายบานมูลค่าบ้านจัดสรรเหลือขาย8.8แสนล้าน โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อยยืนหนึ่ง ส่วนคอนโดโซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดงเหลือขายสูงสุด
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 บ้านและคอนโดมีการเสนอขายรวม 229,528 หน่วย เพิ่มขึ้น 11% (yoy) มูลค่า 1,350,586 ล้านบาท ขยายตัว 30.3% (yoy)ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้ามาสู่ตลาดจำนวน 17,197 หน่วย ลดลง 23.9% (yoy) มูลค่า 128,440 บาท ลดลง -0.4% (yoy) แบ่งเป็นอาคารชุด เปิดตัวใหม่ 7,967 หน่วย ลดลง 29.7%บ้านจัดสรร เปิดตัวใหม่ 9,230 หน่วย ลดลง 18%
ผลจากการสำรวจภาคสนามพบว่าบ้านจัดสรรเหลือขายในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 130,034 หน่วย เพิ่มขึ้น11.4 %มูลค่า 886,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี แต่ยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ
5 ทำเลสำหรับบ้านจัดสรรที่ต้องระมัดระวัง
อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,686 หน่วย มูลค่า 114,376 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 15,551 หน่วย มูลค่า 91,184 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,457 หน่วย มูลค่า 57,650 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 12,181 หน่วย มูลค่า 81,531 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,367 หน่วย มูลค่า 53,705 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายของอาคารชุดมากถึง 84,556 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 มูลค่า 379,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6
5 ทำเลคอนโดมิเนียมที่ควรจะต้องระมัดระวัง
อันดับ1 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 9,846 หน่วย มูลค่า 39,988 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 9,314 หน่วย มูลค่า 29,809 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,280 หน่วย มูลค่า 27,391 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,580 หน่วยมูลค่า 17,887 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิ จำนวน 5,197 มูลค่า 16,965 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯไทย X ทุนญี่ปุ่น เสริมแกร่งปี67 ลุยบ้าน-คอนโด-คลังสินค้า หมื่นล้าน
อสังหาฯไทยรายใหม่ X ทุนญี่ปุ่น เสริมความแข็งแกร่งปี67 ปักหมุด ลุยบ้าน-คอนโด-คลังสินค้า หมื่นล้าน Property DNA สำรวจพบ 10 ปีทะลัก 2 แสนล้านบาท
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากอีกทั้งยังมีความผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจรวมไปถึงความไม่แน่นอนที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนทั่วไปเนื่องจากการซื้อที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปนั้นจะต้องมีการขอสินเชื่อธนาคาร และเป็นการสร้างภาระหนี้สินในระยะยาว
Property DNA วิเคราะห์ว่าดังนั้นเมื่อไม่มั่นใจในสถานะทางการเงินของตนเองหรือไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจระยะยาวก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแน่นอน อีกทั้งการขอสินเชื่อธนาคารในภาวะเศรษฐกิจถดถอยยิ่งทำได้ยากเพราะสถาบันการเงินต่างๆ มีความเข้มงวดในการคัดกรองสินเชื่อ เนื่องจากไม่อยากมีปัญหาเรื่องของหนี้เสียในอนาคต
ฝั่งของผู้ประกอบการเมื่อการขายโครงการที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะบ้านหรือคอนโดมิเนียมทำได้ยากหรือติดขัดปัญหาหลายเรื่อง ซึ่งปัญหาในฝั่งของผู้ประกอบการที่ชัดเจนเลย คือ เรื่องของเงินลงทุนหมุนเวียนซึ่งมีผลกระทบโดยตรงจากการที่รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยลดลง
ประกอบกับการขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยทำได้ยาก นอกจากนี้การออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการก็ไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีเช่นกันในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีอีกทั้งยังมีผลต่อความเชื่อมั่นทั้งในฝั่งของนักลงทุน และฝั่งของผู้บริโภคทั่วไป
ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์หรือรายเล็ก รายกลางบางรายมีการหาผู้ร่วมทุนไม่ว่าจะเป็นจากในประเทศ และต่างประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการมานานแล้ว แม้ว่าการร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกันนั้นอาจจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ลดลง แต่ก็ใช้เงินลงทุนลดลงด้วยเช่นกัน
โดยส่วนใหญ่ที่เห็นในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นการร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันของผู้ประกอบการไทย และนักลงทุนหรือผู้ประกอบการต่างชาติ ซึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาจะมีทั้งจากประเทศญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี อาจจะมีจากประเทศอื่นๆ บ้างแต่จำนวนไม่มากนัก
ผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนมาก และมีความต่อเนื่องมากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการหรือนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ ซึ่งผู้ประกอบการหรือนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นนั้นเข้ามาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพราะการพัฒนาโครงการประเภทนี้ในประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่การสร้างรายได้แบบที่ผ่านมาแล้ว
เพราะกำลังซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมจากคนรุ่นใหม่ลดลง ผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นจึงออกมาลงทุนนอกประเทศกันนานแล้ว การเข้ามาในประเทศไทยของพวกเขาเป็นการเข้ามาในรูปแบบของการร่วมทุนไม่ใช่เข้ามาลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการร่วมทุนกันของ
ผู้ประกอบการไทย และญี่ปุ่นกันหลายราย โดยทั้งหมดเป็นการร่วมกันจัดตั้งบริษัทขึ้นมาแล้วให้ฝั่งของผู้ประกอบการไทยถือหุ้นหรือลงเงินลงทุนในสัดส่วน 51% ของมูลค่าโครงการ แล้วที่เหลือจะเป็นฝั่งของผู้ประกอบการญี่ปุ่น ที่ผ่านมามูลค่าการลงทุนร่วมกันของผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นเกิน 2 แสนล้านบาทไปแล้ว
เฉพาะการร่วมทุนระหว่าง บริษัทเอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) และมิตซูบิชิ เอสเตทก็เกิน 100,000 ล้านบาทไปแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกรายที่มีการร่วมทุนมายาวนาน ก็เช่นอนันดาฯ ที่ร่วมทุนกับทางมิตซุยฟูโดซังซึ่งมีการลงทุนร่วมกันเกิน 100,000 ล้านบาทไปแล้วเช่นกัน
อีกรายที่มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นมายาวนาน และมีจำนวนโครงการรวมไปถึงเงินลงทุนร่วมกันจำนวนมาก คือ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ร่วมทุนกับทางฮันคิว เรียลตี้ลงทุนร่วมกันมาไม่ตํ่ากว่า 50,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการไทยอีกรายที่มีการร่วมทุนกับทางผ็ประกอบการญี่ปุ่น คือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ร่วมทุนกับทางโนมูระ
เรียลเอสเตทร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไปแล้วประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งออริจิ้นยังมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นรายอื่นๆ อีก เช่น เอสคอน เจแปน (ประเทศไทย), โตคิว แลนด์, โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท และCI:Z Limited Liability Partnership ซึ่งร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โรงแรม และมิกซ์-ยูสร่วมกัน
อีกทั้งยังมีผู้ประกอบการที่เพิ่งจะมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นในปีนี้อีกด้วย เช่น บมจ. ชีวาทัย ร่วมทุนกับบริษัท นิปปอน สตีล โควะ
เรียล เอสเตท จำกัด โดยเป็นการร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา มูลค่าของการพัฒนาร่วมกันในครั้งนี้ คือ 1,014 ล้านบาท ค่ายเจ้าพระยามหานคร ร่วมทุนกับบริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท 2 (ไทยแลนด์) จำกัดเพื่อพัฒนาโครงการวัน แบงค็อก สมาร์ท ซิตี้ เฟส 2 ร่วมกันมูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท ค่าย
แอสเซท ไวส์ร่วมทุนกับบริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัดเพื่อพัฒนาโครงการแอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี มูลค่า 2,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนโครงการที่ 2 ของทั้งคู่ ค่ายเมเจอร์ ร่วมทุนกับทางบริษัท Mori Trust เพื่อพัฒนาโครงการมอลตัน เกสต์ กรุงเทพกรีฑา 2 มูลค่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยครั้งแรกของ Mori Trust
ค่าย เอสซี แอสเสท ร่วมทุนกับทางโตเกียว ทาเทโมโนะเพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าสำเร็จรูปร่วมกันใน 2 ทำเล ซึ่งก่อนหน้านี้มีการร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันมาแล้ว
ส่วน เอ็นริช กรุ๊ปร่วมทุนกับทางอนาบูกิ โคซัน กรุ๊ปเพื่อพัฒนาโครงการดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์ โดยมูลค่าการลงทุนร่วมกันอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท และมีอีก 1 โครงการที่รอการเปิดขายในอนาคต ซึ่งอนาบูกิเคยร่วมทุนกับทางธนาสิริมาก่อนหน้านี้
ล่าสุด บมจ. เสนา ที่เป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนานกับ ฮันคิว ฮันชิน ได้ประกาศตั้งบริษัทใหม่ในปีนี้ คือ “เสนา เอชเอชพี” เพื่อลงทุนบ้าน-คอนโดโลว์คาร์บอน เช่นเดียวกับค่ายใหญ่เอพีที่จับมือพันธมิตรค่ายเดิมอย่างเหนียวแน่น สร้างความมั่นคงในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทกลับมาอยู่ที่ระดับประมาณ 32.62-32.64 บาทต่อดอลลาร์ หลังแข็งค่าสุดในรอบ 30 เดือนที่ 32.563 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค นำโดยเงินหยวนในตลาด Offshore -ในระยะสั้น เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าไปทดสอบแนว 32.50 และ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามลำดับ
ค่าเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 30 เดือนที่ 32.563 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.62-32.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ 25ก.ย. (10.50 น.) แข็งค่าต่อเนื่องจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 30 เดือนที่ 32.563 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.62-32.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.50 น.) แข็งค่าต่อเนื่องจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค นำโดยเงินหยวนในตลาด Offshore และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด
(ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลงมาที่ 98.7 ในเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 104 และต่ำกว่าระดับ 105.6 ในเดือนส.ค.) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุน ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ของตลาดว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่า 25 basis points ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนส.ค. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. ของสหรัฐฯ
ในระยะสั้น เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าไปทดสอบแนว 32.50 และ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พี-โอโม่” ตบคู่เสือเหลืองลิ่วรอบสอง-“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ จอดคัดเลือกแบดมินตันมาเก๊า
การแข่งขันแบดมินตันรายการ แซนด์ ไชน่า ลิมิเต็ด มาเก๊า โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,930,000 ที่ เขตบริหารพิเศษมาเก๊า แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันอังคารที่ 24 ก.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือก และรอบเมนดรอว์
ประเภทชายคู่ รอบแรก “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 27 ของโลก พบกับ เหลา ยี่เชง กับ ลี ยี่โบ คู่มืออันดับ 85 ของโลกจากมาเลเซีย
เกมนี้ พี กับ โอโม่ โชว์ฟอร์มได้อย่างง่ายดาย ตบเอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-17 และ 21-11 “พี” พีรัชชัย กับ “โอโม่” พรรคพล ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ลิม ซื่อเจี๋ยน กับ หว่อง เทียนซี คู่มืออันดับ 105 ของโลกจากมาเลเซีย หรือ ซุน เวนจุง กับ จู ยี่จุน คู่มืออันดับ 174 ของโลกจากจีน , “ภีม” ภรัณยู ขาวสำอางค์ กับ “ทีม” วรพล ทองสง่า คู่มืออันดับ 74 ของโลก แพ้ให้กับ ฮุง กุ้ยชุน กับ ลุย ชุนไว คู่มืออันดับ 143 ของโลกจากฮ่องกง 1-2 เกม 21-17 ,16-21,15-21
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบคัดเลือก “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 103 ของโลก พบกับ ได หวัง มืออันดับ 100 ของโลกจากจีน 1-2 เกม เกมนี้ “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ สู้ได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่มาพลาดท่าแผ่วปลายพ่ายไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 21-14 , 18-21 และ 24-26
ประเภทชายเดี่ยว รอบคัดเลือก “กาย” กรกฤต เหล่าตระกูล มืออันดับ 197 ของโลก แพ้ อาลัป มิชา มืออันดับ 115 ของโลกจากอินเดีย 0-2 เกม 20-22 ,3-21 , “บอส” ศรัณย์ แจ่มศรี มืออันดับ 122 ของโลก แพ้ เฉิน ไค่ มืออันดับ 118 ของโลกจากไต้หวัน 1-2 เกม 21-14 ,19-21,17-21
ประเภทชายคู่ รอบคัดเลือก “ต้นปี” เหนือดวง มังกรลอย กับ “หนึ่ง” ทรงพล แซ่ม้า คู่มืออันดับ 238 ของโลก แพ้ โก๊ะ บุนเจ๋อ กับ หว่อง วินฌอน คู่มืออันดับ 185 ของโลกจากมาเลเซีย 0-2 เกม 20-22,14-21 , “ภีม” ภรัณยู ขาวสำอางค์ กับ “ทีม” วรพล ทองสง่า คู่มืออันดับ 74 ของโลก แพ้ให้กับ ฮุง กุ้ยชุน กับ ลุย ชุนไว คู่มืออันดับ 143 ของโลกจากฮ่องกง 1-2 เกม 21-17 ,16-21,15-21
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
โรคลมชัก เกิดจากอะไร? อาการและการรักษาที่ควรรู้
จากสถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็น โรคลมชัก หรือ ลมบ้าหมู ประเภทที่ไม่มีอาการชักเกร็งมากถึง 650,000 คน แต่ได้รับการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าโรคนี้กำลังเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อย โดยอาการเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักหรือลมบ้าหมูแบบไม่ทันตั้งตัวได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการลักษณะนี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อมไวและส่งผลให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชซ้ำซ้อนตามมาได้ถึงร้อยละ 30
โรคลมชัก หรือ ลมบ้าหมู คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร ?
พญ.รับพร ทักษิณวราจาร แพทย์ด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรคลมชัก หรือ Epilepsy หรือที่คนไทยเรียกว่า ลมบ้าหมู จัดเป็นโรคของการเจ็บป่วยทางสมอง พบได้ทุกเพศทุกวัย นอกจากพบในผู้ป่วยที่มีบกพร่องทางสติปัญญาโรคออทิสติกแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงได้อีกด้วย
สาเหตุหลักของโรคลมชัก เกิดจากเซลล์สมองที่มีนับล้านเซลล์ที่ทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน จึงส่งผลให้การควบคุมการทำงานของสมองเสียไปชั่วขณะ ซึ่งโรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากกรรมพันธุ์ ติดเชื้อในสมอง สมองขาดออกซิเจน ดื่มสุรา อุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง หรือเซลล์สมองอยู่ผิดที่ หรือมีเนื้องอกในสมอง
โดยสถิติทั่วโลก มักพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 50 ล้านคน โดย 2 ใน 3 อยู่ในทวีปเอเชีย ส่วนในประเทศไทยคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 1 หรือมีประมาณ 650,000 คน ทั่วประเทศ แต่สถิติการเข้ารับการรักษาพบว่ามีน้อยมาก ประมาณร้อยละ 10 โดยข้อมูลในปี 2558 มีผู้เข้ารับการรักษาจำนวน 79,385 คน เป็นชาย 49,100 คน หญิง 30,285 คน
อาการของโรคลมชัก
อาการของโรคลมชัก แบ่งเป็น 2 ลักษณะอาการ คือ
- อาการชักกระตุกเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกับลมบ้าหมู ลักษณะการชักแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจน คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักว่าโรคลมบ้าหมู
- อยู่ดี ๆ ก็มีอาการแบบเบลอ ๆ เหม่อลอย ไม่รู้สึกตัวหรือที่เรียกว่า “อาการวูบไปชั่วขณะ” อาจมีตาค้างหรือตาเหลือกด้วยก็ได้ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุ 6-14 ปี
อาการของโรคลมชักชนิดนี้ คนไทยยังรู้จักน้อยมาก และมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการวูบหรือเป็นลมทั่วไป จึงไม่ไปรับการรักษาอย่างทันท่วงที
อันตรายจากโรคลมชัก
หากมีอาการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นใน 2 ลักษณะอาการ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของการชักให้เร็วที่สุดและให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น หากอาการชักเกิดจากคลื่นสมองผิดปกติทั่วไป จะให้การรักษาด้วยยา เพื่อควบคุมอาการชัก โดยปรับกระแสไฟฟ้าในสมองให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ป้องกันเซลล์สมองถูกทำลาย
หากเกิดจากเนื้องอกในสมอง อาจใช้วิธีการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก แต่หากผู้ที่มีอาการชักได้รับการรักษาเร็ว โดยเฉพาะหลังจากมีอาการครั้งแรก จะมีโอกาสหายขาดได้สูง และสามารถกลับมาเรียนหนังสือ หรือทำงานได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอาการชักบ่อย บางรายอาจเกิดเป็นชุด ๆ หรือเกิดตลอดวันก็ได้ จะมีผลเสียที่เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะการชักแบบลมบ้าหมู อาจทำให้เซลล์สมองตาย และทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อย
นอกจากนี้ร้อยละ 30 ส่งผลทำให้เกิดโรคทางจิตเวชตามมาได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบแบบไม่ทันตั้งตัว การรักษาโรคลมชัก ผู้ป่วยจะต้องยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดยาเอง และไม่ลดจำนวนยาเอง ต้องใช้เวลารักษาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะควบคุมอาการชักที่ได้ผลดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปรับลดหรือหยุดยาให้เอง โดยผู้ป่วยประมาณกว่าร้อยละ 70 จะมีโอกาสหายขาดได้ ส่วนอีกร้อยละ 30 มีอาการดีขึ้น แม้ไม่หายชักทั้งหมดก็ตาม
การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคลมชัก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป 2-3 เท่า ดังนั้นการช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีอาการชัก ประชาชนผู้ที่พบเห็นควรปฏิบัติดังนี้
- ตั้งสติให้ดี ระวังไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายจากการชัก ไม่สำลักน้ำลายหรืออาหาร โดยให้จับศีรษะและลำตัวตะแคงไปด้านข้าง
- ดูแลไม่ให้มีสิ่งของที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยมากระทบกับผู้ป่วยโดยตรง เช่น กาน้ำร้อน หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นของแข็ง เพื่อไม่ให้แขนขาของผู้ป่วยมากระแทก
- หากเป็นไปได้ ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวของอาการชักที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อนำไปให้แพทย์วินิจฉัยแยกอาการชักจากโรคลมชักกับโรคอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือแพทย์ในการวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำอวยพรแฟนภาษาอังกฤษ เพิ่มความหวานแบบคนเก๋ๆ
ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด หรือเนื่องในโอกาสใด ๆ ก็แล้วแต่ เชื่อว่าหลายคนจะมีวิธีการแสดงควาามรักให้กับแฟนที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะชอบทำเซอร์ไพร์สให้กับแฟน หรือบางคนอาจจะชอบหาคำอวยพรซึ้ง ๆ เอาไว้โพสต์ร่วมกับรูปภาพสุดหวานฉ่ำ และไม่ว่าคุณจะเป็นสายไหน การมีคำอวยพรหวาน ๆ จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับคนรักได้อย่างแน่นอน
คำอวยพรแฟนภาษาอังกฤษ
หนึ่งในวิธีการเติมความหวานให้กับคู่รัก นั่นก็คือ การเลือกใช้คำอวยพรที่มีความหมายดี ๆ หมั่นเติมความหวานให้กัน และในวันนี้เราจะมาแนะนำคำอวยพรที่สามารถใช้ได้ในหลายโอกาส ที่จะช่วยให้ความรักของคุณหวานฉ่ำยิ่งกว่าคำอวยพรอย่างแน่นอน
คำอวยพรในวันเกิด
- “Happy Birthday. Many things have changed, but you’re still that same wonderful person.”
(สุขสันต์วันเกิด หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่เธอยังคงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม)
- “Happy Birthday to my better half. You complete me in ways that I could have never imagined.”
(สุขสันต์วันเกิด คนที่เป็นอีกครึ่งชีวิตของฉัน เธอเติมเต็มฉันอย่างที่ไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน)
- “Happy Birthday. Age is just a number, you will never grow old in my eyes and in my heart.”
(สุขสันต์วันเกิด อายุเป็นเพียงตัวเลข คุณไม่เคยแก่ขึ้นเลย ทั้งในสายตาและหัวใจของฉัน)
คำอวยพรในการเริ่มงานใหม่
- “Believe in yourself like I’ve always believed in you, darling.”
(เชื่อมั่นในตัวเองแบบที่ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณมาตลอดนะ ที่รัก)
- “Don’t let the fear hold you back. You are going to be amazing.”
(อย่าปล่อยให้ความกลัวฉุดรั้งคุณไว้ คุณจะต้องเจ๋งมากแน่นอน)
- “Good luck, believe me you are better than you think.”
(โชคดีนะ เชื่อเถอะว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด)
คำอวยพรในเทศกาลต่าง ๆ
ต้องบอกเลยว่าประเทศไทยเรา อินกับเทศกาลต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น วันคริสต์มาส วันปีใหม่ และวันวาเลนไทน์ เป็นต้น
คำอวยพรในวันคริสต์มาส
- “May this Christmas bring you many reasons to smile.”
(ขอให้คริสต์มาสปีนี้นำพาสิ่งที่สร้างรอยยิ้มมาให้เธอเยอะแยะมากมาย)
- “May beautiful moments and happy memories surround you with joy this Christmas.”
(ขอให้คุณมีช่วงเวลาที่สวยงาม โอบล้อมไปด้วยความทรงจำที่แสนสุขในคริสต์มาสนี้)
คำอวยพรในวันปีใหม่
- “May this new year bring health and happiness to you and me.”
(ขอให้ปีใหม่นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและความสุขแด่คุณและฉัน)
- “New year, new start. May all your dreams come true in the new year!”
(ปีใหม่คือการเริ่มต้นใหม่ ขอให้ความฝันของคุณเป็นจริงปีใหม่นี้!)
คำอวยพรในวันวาเลนไทน์
- “Happy valentine’s day. Every day with you is filled with beautiful moments.”
(สุขสันต์วันแห่งความรัก ในทุก ๆ วันที่ได้อยู่กับเธอ เต็มไปด้วยช่วงเวลาที่งดงาม)
- “I Hope our love will last forever. Happy Valentine’s Day.”
(ฉันหวังว่ารักของเราคงมั่นตลอดไป สุขสันต์วันแห่งความรัก)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
‘ไทย’ ทะยานขึ้น TOP 7 ประเทศต้นแบบป้องกันภัยไซเบอร์จาก ITU
ผลสำรวจจากไอทียูด้าน Global Cybersecurity Index 2024 (GCI) พบไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 44 ขึ้นสู่อันดับที่ 7 ของโลกในปีนี้ได้ 99.22 คะแนน ส่งผลให้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กลุ่มประเทศ Tier 1 เป็นต้นแบบ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโลก
สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) แถลงข่าวความสำเร็จการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากผลการประเมิน Global Cybers ecurity Index 2024 (GCI) ปี 2024 นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กระทรวงดีอี เป็นประธาน พร้อมด้วย พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ สกมช.
โดยผลการจัดอันดับ GCI จัดขึ้น โดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู โดยพบว่าประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 44 ในปี 2020 และในปี 2024 นี้ ไทยขึ้นสู่อันดับที่ 7 ของโลก ได้คะแนนอยู่ที่ 99.22 คะแนน ส่งผลให้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กลุ่มประเทศชั้นนำใน Tier 1 ซึ่งหมายถึงการเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบ (role model) ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโลก
โดยได้วัดผลสัมฤทธิ์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศต่างๆ ผ่าน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย (Legal) ด้านเทคนิค (Technical) ด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) ด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) และด้านความร่วมมือ Cooperation)
นายประเสริฐ เผยว่า จากนโยบายการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน “The Growth Engine of Thailand” หรือเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัล ของประเทศจะให้ความสำคัญใน 3 ด้าน ประกอบด้วย
- 1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ(Thailand Competitiveness)
- 2. การสร้างความมั่นคง และปลอดภัยของเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัล (Safety & Security)
- 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital) และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะพัฒนารัฐบาลให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล
ทั้งนี้ ผลคะแนนในดัชนีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนา และเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ในหลายๆ ด้าน โดยผลคะแนนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วน ร่วมผลักดันงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบุคคล องค์กร ภาคส่วน และในระดับประเทศ ตลอดจนพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รายงานอาจแสดงถึงจุดที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ หรือการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิคในการรับมือภัยคุกคามที่ทันสมัยขึ้นต่อไป
ขณะที่ พลอากาศตรีอมร เลขาธิการ สกมช. กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการยกระดับด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
1. การยกระดับด้านกฎหมาย ประเทศไทยมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัลหลายฉบับ เช่น การกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์ เช่น การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และกำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บ ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่เน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
2. การยกระดับด้านเทคนิค มีการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) และการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หรือ Sectoral CERT รวมถึงยังมีการดำเนินการทางเทคนิคด้านอื่นๆ
3. การยกระดับด้านหน่วยงาน/นโยบาย โดยมีการจัดทำนโยบาย และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570) เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมี สกมช.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการจัดตั้งประชาคมไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวคิดให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบาย และแผนปฏิบัติ
4. การยกระดับด้านการพัฒนาศักยภาพ ซึ่ง สกมช. ได้ดำเนินโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Intensive Cybersecurity Capacity Building Program) ระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ทั้งนี้ สามารถพัฒนาบุคลากรได้มากกว่า 5,000 คน การจัดกิจกรรม Thailand Cyber Top Talent เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 – 2023 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เข้าร่วมการแข่งขัน มากกว่า 6,000 คน การจัดกิจกรรม Thailand National Cyber Week เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 – 2023 การจัดตั้งสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยที่ผ่านมาได้มีการสร้างการตระหนักรู้ ให้ประชาชนไปแล้วมากว่า 1,000,000 คน
5. การยกระดับด้านความร่วมมือ สกมช. มีการทำ MOU กับหน่วยงานทั้งภายใน และต่างประเทศ ร่วมแล้วมากกว่า 34 ฉบับ เพื่อพัฒนาบุคลากรในอาเซียน ตลอดจนการริเริ่มแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์กลุ่มเด็กหรือเยาวชน ในการผลักดันการปกป้องเด็กบนโลกออนไลน์ (Child Online Protection)
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
กลัวเป็น “ไขมันพอกตับ” แนะนำให้ทานอาหาร 10 อย่างต่อไปนี้
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษและช่วยในการย่อยอาหาร เมื่อเกิดภาวะไขมันพอกตับ ตับจะทำงานได้ไม่เต็มที่และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่นๆ การดูแลสุขภาพตับทำได้โดยการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับและมีน้ำหนักเกิน และต่อไปนี้คือ 10 อาหารแนะนำให้ทานหากกังวลเป็นไขมันพอกตับ
10 อาหารแนะนำให้ทานหากกลัวเป็นไขมันพอกตับ
1.กาแฟ ช่วยลดเอนไซม์ตับผิดปกติ กาแฟหนึ่งแก้วในแต่ละวันสามารถช่วยปกป้องตับของคุณจากโรคไขมันพอกตับได้ การทบทวนปี 2021 พบว่าการบริโภคกาแฟเป็นประจำสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงในการเกิดโรคไขมันพอกตับ รวมถึงความเสี่ยงที่ลดลงของการเกิดพังผืดในตับในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไขมันพอกตับแล้ว กาแฟยังช่วยลดจำนวนเอนไซม์ตับที่ผิดปกติในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคตับอีกด้วย
2.ผักใบเขียว เพื่อป้องกันการสะสมของไขมัน สารประกอบที่พบในผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ อาจช่วยต่อสู้กับโรคไขมันพอกตับได้ การศึกษาเชิงสังเกตในปี 2021 พบว่าการกินผักโขมช่วยลดความเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ โดยเฉพาะ อาจเนื่องมาจากไนเตรตและโพลีฟีนอลที่แตกต่างกันในผักใบเขียว สิ่งที่น่าสนใจคือการศึกษามุ่งเน้นไปที่ผักโขมดิบ เนื่องจากผักโขมปรุงสุกไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะการปรุงผักโขม (และผักใบเขียวอื่นๆ) อาจลดปริมาณโพลีฟีนอลและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
3.ถั่วและถั่วเหลือง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาหารและโรคตับชี้ให้เห็นว่า ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี ถั่วเหลือง และถั่วลันเตา ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเท่านั้น แต่ยังมีแป้งที่ย่อยยากซึ่งช่วยปรับปรุงสุขภาพลำไส้ การบริโภคถั่วอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ในผู้ที่มีโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ การศึกษาในปี 2019 พบว่าอาหารที่อุดมไปด้วยถั่วโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคไขมันพอกตับ
มีการศึกษาบางชิ้นพบว่าการรับประทานถั่วเหลือง (ไม่ว่าจะแทนการรับประทานเนื้อหรือปลา หรือการบริโภคซุปมิโซะซึ่งมีถั่วเหลืองหมัก) อาจช่วยปกป้องตับได้ แม้ว่าหลักฐานยังไม่ชัดเจนมากนัก
4.ปลาที่มีไขมันสูง การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเสริมด้วยโอเมก้า-3 อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ โดยช่วยลดไขมันในตับ เพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลดี) และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ สำหรับปลาที่แนะนำให้ทานเช่น แซลมอน ซาร์ดีน ทูน่า และปลาเทราต์ อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3
5.ธัญพืชไม่ขัดสี ที่อุดมไปด้วยใยอาหาร เช่น โอ๊ต มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคที่เกี่ยวข้องกับไขมันพอกตับ การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า อาหารที่มีประโยชน์ซึ่งอุดมไปด้วยใยอาหารสูง เช่น โอ๊ต สามารถมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มี โรคไขมันพอกตับและอาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
6.อาหารที่อุดมไปด้วยถั่ว มีความเกี่ยวข้องกับการลดการอักเสบ ความต้านทานอินซูลิน ความเครียดออกซิเดทีฟ และอัตราการเกิดโรคไขมันพอกตับที่ต่ำลง การศึกษาขนาดใหญ่จากประเทศจีนพบว่า การบริโภคถั่วเพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่ลดลงของ โรคไขมันพอกตับและการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีโรคไขมันพอกตับที่รับประทานวอลนัทมีผลการตรวจตับดีขึ้น
7.ขมิ้นชัน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ในขมิ้นชัน อาจช่วยลดตัวบ่งชี้ความเสียหายของตับในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ การศึกษาที่มุ่งเน้นการเสริมด้วยขมิ้นชันแสดงให้เห็นว่า รากสีส้มสดใสชนิดนี้อาจช่วยลดระดับของ alanine aminotransferase (ALT) และ aspartate aminotransferase (AST) ในเลือด ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สูงผิดปกติในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ
8.เมล็ดทานตะวัน มีวิตามินอีสูงเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มักใช้ (ผ่านการเสริม) ในการรักษาโรคไขมันพอกตับแม้ว่าการวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับโรคไขมันพอกตับ และวิตามินอีจะมุ่งเน้นไปที่อาหารเสริม แต่เมล็ดทานตะวัน 100 กรัม มีวิตามินอีประมาณ 20 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าค่าแนะนำประจำวันถึง 100% หากคุณต้องการเพิ่มปริมาณวิตามินอีในร่างกายของคุณตามธรรมชาติ เมล็ดทานตะวันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
9.อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งพบมากในอะโวคาโด น้ำมันมะกอก เนยถั่ว และปลาที่มีไขมันนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีภาวะโรคไขมันพอกตับ นี่คือเหตุผลที่อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมักถูกแนะนำให้กับผู้ป่วย NAFLD อาหารประเภทนี้เน้นที่วัตถุดิบที่ไม่ผ่านการแปรรูปมากนัก และอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ผัก ผลไม้ และพืชตระกูลถั่ว ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลรวมในร่างกาย
10.กระเทียม ไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้กับอาหารเท่านั้น แต่การศึกษาขนาดเล็กยังแสดงให้เห็นว่าการเสริมด้วยผงกระเทียมอาจช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกายของผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ ในการศึกษาเมื่อปี 2020 ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่รับประทานผงกระเทียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 15 สัปดาห์ พบว่าไขมันในตับลดลง และระดับเอนไซม์ดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,000.00 | 41,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,656.00 | 40,264.96 | 41,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,390.40 | 36,238.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,124.80 | 32,211.97 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,195.00 | 18,116.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 930.00 | 14,098.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,752.00 | 41,720.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.05 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.68 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.64 | 33.64 | 33.94 | 33.64 | 33.64 | – | 33.64 | 33.64 | 33.64 | 33.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.39 | 33.39 | – | – | – | – | – | – | – | 33.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |