สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

“แอลพีพี” สยายปีกธุรกิจบริหารจัดการอสังหาฯ ขยายพอร์ต สานเป้าขึ้นท็อป 5

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2567 อยู่ในภาวะซบเซาตลอดจากแรงกดดันหลายด้าน แต่หนึ่งในตลาดที่ขยายตัวสูงสวนทางตลาดคือ ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เนื่องจากการลงทุนโครงการใหม่ต้องวางระบบต่างๆ

การจัดตั้งบริษัทนิติบุคคลมาดูแลและบริหาร รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องทั้ง โรงแรม สำนักงาน ต้องมีบริการดูแลจัดการพื้นที่ ประกอบกับเทรนด์การรีโนเวทโครงการเดิมไปสู่โรงแรมมาแรงต่อเนื่องหลายปี

สุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ แอลพีพี (LPP) ผู้ให้บริการธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ธุรกิจให้บริการจัดการอสังหาฯ  มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท และมีแนวโน้มการขยายตัว 2 หลัก สวนทางตลาดอสังหาฯ โดยรวม จากความต้องการของลูกค้าที่มีโครงการต้องรีโนเวทใหญ่ทุก 5-10 ปี รวมถึงตลาดสำนักงานและโรงแรม และเทรนด์จากการนำอพาร์ตเมนต์ มารีโนเวทสู่โรงแรมร้อนแรงมาหลายปีแล้ว 

ตลาดมีขนาดใหญ่มากและขยายตัวสูง แต่พบว่ามีผู้เล่นในตลาดน้อยราย ถือเป็นตลาดบลูโอเชี่ยน ทำให้บริษัทซึ่งอยู่ในตลาดมา 30 ปี เริ่มต้นจากการบริหารธุรกิจจัดการอสังหาฯ ให้แก่บริษัทแม่คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) จากนั้นเริ่มขยายพอร์ตโฟลิโอไปลูกค้าอื่น ๆ รวม 7 ปี และขยายธุรกิจให้ครอบคลุม ด้วยการเปิดบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ แอลพีพี ( LPP) ให้บริการครบวงจรทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) และแม่บ้าน

การขยายธุรกิจนี้ มาจากการทำวิจัยพบความต้องการของลูกค้าสูง โดยตลาดรวมด้านการรักษาความปลอดภัยของประเทศมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 8-9%

รวมถึงในปีก่อนได้เข้าไปลงทุน บริษัท พี ดับบลิว กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PW Group) ที่ดำเนินธุรกิจงานระบบไฟฟ้า ประปา และระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยปัจจุบันมีงานของลูกค้าที่ทำโครงการอพาร์ตเมนต์ ต้องการปรับโฉมโครงการไปสู่โรงแรม 19 ชั้น อยู่ในสุขุมวิท โดยบริษัทเข้าไปลงทุนปรับพัฒนาระบบภายใน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ธุรกิจจะเป็นเรือธงสำคัญที่เติบโตสูงในอนาคต ช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว

ขั้นต่อไปจะผลักดันให้บริษัทเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ มีแผนเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปี 2568 และจะยื่นไฟลิ่งในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าจะได้เงินประมาณ 600-800 ล้านบาท สำหรับลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้แข็งแกร่งขึ้น และลงทุนขยายสัมปทาน โดยเฉพาะสัมปทานที่จอดรถในทำเลต่าง ๆ เน้นทำเลที่มีศักยภาพอย่างใกล้กับรถไฟฟ้าและมีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เป็นต้น รวมถึงสนใจเข้าไปประมูลพัฒนาหอพัก และนำไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ ตลอดจนการนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ประเมินการรุกตลาด ส่งผลให้ปีนี้จะมีผลประกอบการ 1,700 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่อง โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัว 100% จากปี 2564 อยู่ที่ 750 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายในปี 2568 จะสร้างรายได้รวม  2,000 ล้านบาท ขยายตัว 10%

“ที่ผ่านมา บริษัทไม่เร่งขยายธุรกิจ แอลเอสเอส เนื่องจาก ต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอ รวมถึงต้องประเมินว่า ภาครัฐจะปรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่ เนื่องจากมีผลต่อการทำสัญญากับลูกค้า ที่กว่าจะปรับราคาได้ต้องใช้เวลา 3 เดือน โดย รปภ.ของบริษัทเป็นคนไทยทั้งหมด เนื่องจากอาชีพนี้ เป็นอาชีพสงวนให้แก่คนไทย” 

ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายระยะยาว 5 ปี แอล พี พี จะก้าวสู่ท็อป 5 บริษัทจากประเทศไทยที่ให้บริการจัดการอสังหาฯ แบบครบวงจร ส่วนบริษัทในเครือ แอลเอสเอส จะขึ้น ท็อป 10 ผู้ให้บริการทางด้านการรักษาความปลอดภัยและบริการแม่บ้าน ส่วนแผนระยะยาวหากบริษัทในเครือมีศักยภาพโตแข็งแกร่ง มีความสนใจสามารถนำไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอเช่นกัน

ธำรงค์พล แดงบุบผา กรรมการผู้จัดการ แอลเอสเอส กล่าวว่า บริษัทมุ่งยกระดับบริการทางด้าน สมาร์ตซีเคียวริตี้ ผสมเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ โดยพัฒนาระบบ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม และระบบ เอ็นเอฟซี ดีไวส์ (NFC Device) ที่เป็นจุดตรวจความปลอดภัยและรายงานผลได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถแจ้งเตือนได้ผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน (EOC) ที่รวมศูนย์ข้อมูลและแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินได้รวดเร็ว ซึ่งทุกการแจ้งเตือนมีเจ้าหน้าที่ควบคุม ระงับเหตุ และปิดเคสได้ 100% 

การมุ่งลงทุนยกระดับเทคโนโลยีเนื่องจากต้นทุนจากการดำเนินงาน มาจาก ค่าใช้จ่ายในพนักงานถึง 75% และแนวโน้มค่าแรงมีโอกาสปรับสูงขึ้นได้ ประกอบกับเทรนด์ของเทคโนโลยีการดูแลความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีมาดูแลและบริหารมากขึ้น 

ทั้งนี้ภาพรวมบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจาก บริการรักษาความปลอดภัย 68% บริการดูแลรักษาความสะอาด 26% และ บริการอื่นๆ 6% โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกว่า 1,400 คน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


10 ทำเลทองที่ดิน ราคาแพงสุด “สยาม -เพลินจิต -ชิดลม” แชมป์ ตร.ว.ละ3.7ล้าน

เปิด10 อันดับ ที่ดินใจกลางเมืองกทม. ราคาแพงสุดในไทย “สยาม -เพลินจิต ชิดลม” แชมป์ ปี6ึ7 ตารางวาละ3.7 ล้านบาท “โสภณ พรโชคชัย” ยัน ทำเลแนวรถไฟฟ้า ขยับต่อเนื่อง สวนทางตลาดอสังหาฯ -เศรษฐกิจชะลอ ชี้ชัดเป็นย่านค้าปลีกศูนย์การค้า

ที่ดินทำเลใจกลางเมือง ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)  ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุน แม้ราคาขยับสูง เนื่องจากมองว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ ให้ความคุ้นเคย ซึ่งมีทั้งรูปแบบลิสโฮลด์และฟรีโฮลด์ ที่มองว่า ทุกตารางนิ้วพัฒนาเต็มทั้งหมดแล้ว

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA ระบุว่า ราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร  โดยเฉพาะใจกลางเมือง แนวเส้นทางรถไฟฟ้า แนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม  

ที่เป็นไฮไลต์ ทำเลไข่แดง  อย่าง “สยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต”  ครองแชมป์ราคาที่ดินสูงสุด และปรับตัวขึ้นทุกปี มาตลอดตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด -19 จนถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 3-5%  โดยปี 2565 อยู่ที่ 3.5 ล้านบาท ต่อตารางวาละ ปี 2566 อยู่ที่ 3.6 ล้านบาท ต่อตารางวา ปี 2567 ปรับเพิ่มเป็นตารางวาละ 3.7 ล้านบาท

เนื่องจากเป็นย่านธุรกิจแหล่งงานขนาดใหญ่และ แหล่งรวมค้าปลีกสำคัญของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุดเมื่อเทียบกับการสร้างคอนโดมิเนียม ออฟฟิศบิลดิ้ง โรงแรม ซึ่งได้ผลตอบแทนค่าเช่าตํ่ากว่า ในขณะที่เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนโรงแรมมีความไม่แน่นอนทางธุรกิจอยู่มาก

ทั้งนี้ ในด้านผลตอบแทนพื้นที่ค้าปลีก มีค่าเช่าเฉลี่ยเดือนละ 3,000-5,000 บาท/ตารางเมตร เทียบกับค่าเช่าสำนักงานอยู่ที่เดือนละ 800-1,200 บาท/ตารางเมตร

สำหรับ สถิติ 10 อันดับแรกของราคาที่ดินที่มีราคาสูงสุดในเขตกรุงเทพมหานคร

อันดับ 1 ทำเลสยาม-เพลินจิต-ชิดลม ปี 2566 ราคาตารางวาละ 3.6 ล้านบาท 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.16%

อันดับ 2 ทำเลวิทยุ ปี 2566 ราคาตารางวาละ 2.95 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.08%

อันดับ 3 ทำเลสุขุมวิท-ไทม์สแควร์ ปี 2566 ราคาตารางวาละ 2.80 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.94 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.16%

อันดับ 4 ทำเลสุขุมวิท 21 อโศก ปี 2566 ราคาตารางวาละ 2.60 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.16%

 อันดับ 5 ทำเลสีลม ปี 2566 ราคาตารางวาละ 2.55 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.88%

 อันดับ 6 ทำเลสาทร ปี 2566 ราคาตารางวาละ 2.25 ล้านบาท ปี 2567ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.66%

 อันดับ 7 ทำเลสุขุมวิท เอกมัย ปี 2566 ราคาตารางวาละ 1.85 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.40%

 อันดับ 8 ทำเลเยาวราช ปี 2566 ราคาตารางวาละ 1.80 ล้านบาท ปี 2567ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.55%

 อันดับ 9 ทำเลพญาไท ปี 2566 ราคาตารางวาละ 1.75 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.71%

 อันดับ 10 ทำเลพหลโยธินตอนต้น ปี 2566 ราคาตารางวาละ 1.70 ล้านบาท ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.88%

อย่างไรก็ตามที่น่าจับตาทำเลพระราม4 มีโครงการขนาดใหญ่มิกซ์ยูสเกิดขึ้นมากโดยเฉพาะล่าสุด เปิดโครงการ วันแบงค็อก อย่างเป็นทางการ และ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปีหน้า ทั้งศูนย์การค้าและคอนโดมิเนียมหรู คาดว่าราคาที่ดินโดยรอบจะขยับแรง!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้28พ.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.52 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ยังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28พ.ย.2567 ที่ระดับ  34.52 บาทต่อดอลลาค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  34.52 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.54 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai  Global Market ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อนหน้าที่ได้แรงหนุนจากทั้งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำในช่วงนั้นรวมถึงการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ก็อาจทำให้ กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นจากโซนการเคลื่อนไหวในช่วงก่อนหน้า
โดยเงินบาทอาจแกว่งตัวใกล้โซนแนวรับ 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ทว่า เราคงมองว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนของเงินบาท อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายนัก หากราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน เรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า (Importers) รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมันดิบ เพิ่มเติมได้ หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควรในช่วงก่อนหน้า 

อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงกังวลต่อการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการแข็งค่าของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย

โดยเฉพาะเงินหยวนจีน (CNY) ที่ในระยะหลังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทพอสมควร (Highly Correlated) อนึ่ง หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็อาจเปิดโอกาสแข็งค่าต่อทดสอบโซน 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ (โอกาสยังน้อยอยู่) ส่วนโซนแนวต้านของเงินบาทจะขยับลงมาแถวโซน 34.60-34.70 บาทต่อดอลลาร์
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.4034.65 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 34.42-34.58 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงใกล้โซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงกลับสู่โซน 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนตุลาคม จะอยู่ที่ระดับ 2.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อยู่ที่ระดับ 2.8% ตามคาด
ทว่า ผู้เล่นในตลาดก็มองว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2 % ของเฟดและเริ่มชะลอตัวลงช้า ทำให้เฟดอาจลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ขณะเดียวกันก็กดดันให้ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากความกังวลสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มลดลง หลังอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah
แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่ ทว่า ผู้เล่นในตลาดก็ทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคฯ ที่ปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา อาทิ Tesla -1.6%, Nvidia -1.2% ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นการลดสถานะถือครองในช่วงก่อนวันหยุด Thanksgiving ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันพฤหัสฯ นี้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.38%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.19% กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นฝรั่งเศส จากความกังวลปัญหาการเมืองในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณของรัฐบาล นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ASML -1.9%, SAP -1.4%
ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวแถวโซน 4.20%-4.30% แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่เข้าสู่โหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น จะกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง
ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวยังมีความน่าสนใจอยู่ ทำให้นักลงทุนสามารถรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down แม้ว่าเงินดอลลาร์จะเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะแข็งค่าต่อเนื่อง จนหลุดโซน 151 เยนต่อดอลลาร์
แต่เงินดอลลาร์ก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่โดยรวมสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใส ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยต่อเนื่องไม่มากนัก ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 106 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.8-106.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยต่ออีกไม่มาก ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซน 2,660 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BOK อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.25% เพื่อช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าและรักษาเสถียรภาพของค่าเงินวอนเกาหลี (KRW) ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้และเศรษฐกิจโดยรวมก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ BOK สามารถทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ในอนาคต
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจดูสงบลงได้บ้างในช่วงนี้ หลังอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บาส-เฟม” ตบเจ้าถิ่นนิ่มทะลุรอบสองแบดมินตันไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย

“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน เต็ง 8 ของรายการ ประเดิมสนามในศึกแบดมินตัน ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 ได้อย่างเฉียบขาด ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับเพื่อนร่วมชาติอย่าง “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบันลือกิจ กับ “กวางตุ้ง” ฟุ้งฟ้า กอปรธรรมกิจ

การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,350,000 บาท ที่เมืองลัคเนา ประเทศอินเดีย เมื่อวันพุธที่ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก

ประเภทคู่ผสม รอบแรก  “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 85 ของโลก หรือ ทันดรันกี้ เฮมะ นาเกนดรา บาบู กับ คานิกา กันวาล คู่มืออันดับ 404 ของโลกจากอินเดีย 

เกมนี้ บาส กับ เฟม  เล่นได้เหนือชั้นกว่า ตบเอาชนะไปได้แบบง่ายดาย 2 เกมรวด  21-15, 21-9 “บาส” เดชาพล กับ “เฟม” ศุภิสรา ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับเพื่อนร่วมชาติอย่าง  “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบันลือกิจ กับ “กวางตุ้ง” ฟุ้งฟ้า กอปรธรรมกิจ คู่มืออันดับ 172 ของโลก ที่เอาชนะ อายุช อการ์วาล กับ ชรุท มิชรา คู่มืออันดับ 191 ของโลกจากอินเดีย มาได้ 2-1 เกม 21-17 ,19-21 และ 21-17 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืองวางอันดับ 4 ของรายการ มืออันดับ 48 ของโลก แซงชนะ มานซี ซิงห์ มืออันดับ 179 ของโลกจากอินเดีย 2-1 เกม 13-21 , 21-14 ,21-17 “แครอท” พรพิชชา ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ อุนนาตี้ โฮดา มืออันดับ 70 ของโลกจากอินเดีย ที่เอาชนะ  “มินนี่” ธมนวรรณ นิธิอิทธิไกร มืออันดับ 80 ของโลก  มาได้ 2-0 เกม 21-12 ,21-16 

ประเภทชายคู่ รอบแรก “ต้นปี” เหนือดวง มังกรลอย กับ “หนึ่ง” ทรงพล แซ่ม้า คู่มืออันดับ 222 ของโลก แพ้ให้กับ อิชาน บัทนาการ์ กับ ชังการ์ ปราซัด อุดายากุมาร์ คู่มืออันดับ 152 ของโลกจากอินเดีย 1-2 เกม 17-21 ,24-22 , 18-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ทำอย่างไร ไม่ให้ “ไหลตาย”?

ทุกครั้งที่อ่านข่าวเจอ หรือแม้กระทั่งพบว่าคนที่รู้จักต้องเสียชีวิตด้วยการ “ไหลตาย” เป็นเรื่องที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเสียชีวิตฉับพลัน หรืออย่างที่ทุกคนทราบดีว่ามันคือ การนอนหลับแล้วก็เสียชีวิตไปเสียเฉยๆ ดูเหมือนจะเป็นการเสียชีวิตที่สบาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงต่างก็เศร้าเสียใจมากกว่าเดิม เพราะเป็นการจากไปอย่างกะทันหันเกินกว่าจะได้มีการสั่งเสียร่ำลากัน

ดูๆ ไปแล้ว อาการไหลตาย จู่ๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ จะมีวิธีป้องกันหรือไม่ มาดูกันค่ะ

ไหลตาย คืออะไร?

อาการไหลตาย หรือที่ใครหลายคนเข้าใจว่ามันคือโรค จริงๆ แล้วมันคืออาการของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ที่มีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ในบางรายอาจมีสุขภาพปกติ แข็งแรง แต่อยู่ๆ ก็กลับมีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก  รู้สึกอึดอัด เหนื่อยง่าย

วิธีป้องกันภาวะไหลตาย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในหัวใจมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เราสามารถป้องกันภาวะไหลตายได้ง่ายๆ ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงทีละข้อ

1. ลดความเครียด

หลายครั้งที่ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้าจากการใช้งานร่างกาย และสมองหนักจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก อ่านหนังหนังสือหนัก จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอสะสม อาจรวมถึงสารเคมีที่หลั่งออกมาจากอาการเครียด ที่เป็นสาเหตุทำให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรแบ่งเวลาให้ชัดเจน และอย่าลืมว่าไม่ว่าจะทำอะไร ร่างกายต้องแข็งแรงอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมเป็นอันขาด

2. ลดการทานอาหารเค็มจัด อาหารหมักดอง แอลกอฮอล์

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด รวมถึงอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง น้ำปลา หรือเหล้า เบียร์ ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือไหลตายได้เช่นกัน เพราะอาหารหมักดองมีสารไทรามีน ไปยับยั้งสารนอร์อะเปนเน็บฟิน หรือ อะเปนเน็บฟิน ซึ่งกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไปอุดกั้น ทำให้สารเคมีที่จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจให้ทำงานหยุดชั่วขณะหนึ่ง ทำให้หัวใจล้มเหลวได้ทันที

3. ดื่มน้ำก่อนนอน

ใครที่มีโรคประจำตัวอย่าง ไขมันอุดตันเส้นเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ ควรดื่มน้ำก่อนนอนเพื่อไม่ให้เลือดข้นหนืดจนเกินไป จนทำให้ลิ่มเลือดเข้าไปอุดกั้นการทำงานของหัวใจในการสูบฉีดของโลหิตได้

4. ตรวจการเต้นของหัวใจ

ใครที่มีประวัติครอบครัวเคยเสียชีวิตจากการไหลตาย หรือภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ควรเข้ารับการตรวจการเต้นของหัวใจทุกปี หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็วและแรงอย่างไม่มีสาเหตุ วูบ หรือหน้ามืดบ่อย อาจจะมาจากการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ หากตรวจพบตั้งแต่แรกๆ อาจได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

5. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ

กฎพื้นฐานของการป้องกันทุกโรค คือ การทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยกฎ 3 ข้อ คือ ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ สารอาหารครบครัน หรือจะเน้นอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจอย่าง ผลไม้ต่างๆ มะเขือเทศ ผักกวางตุ้ง ผักชี หัวใจหมู ข้าวโพด รากบัว กระชาย โหระพา โสม ลดอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง รวมถึงออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เท่านี้ก็ช่วยลดโอกาสในการเกิดภาวะไหลตายได้แล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มิตรเอิร์ธ (MitrEarth) แพลตฟอร์มความรู้ ชี้จุดเสี่ยง แจ้งเตือนภัยพิบัติ

นาทีที่มีข่าวน้ำสีโคลนไหลหลากเข้าท่วมหลายพื้นที่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พัดพาเอาบ้านและทรัพย์สินของผู้คนไปกับสายน้ำ ผู้ที่ชมภาพและการรายงานข่าวภัยพิบัตินี้เริ่มหวั่นวิตก มีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ

น้ำจำนวนมหาศาลเช่นนี้จะหลากไปทางไหน จะมาถึงชุมชนและบ้านของเราไหม? ฝนจะตกเพิ่มหรือเปล่า? น้ำเหนือจะลงมาถึงพื้นที่ในภาคกลางและกรุงเทพเมื่อไร? เราต้องเตรียมขนของขึ้นที่สูงได้แล้วหรือยัง?

ในช่วงที่ผู้คนสแกนหาข้อมูลความรู้เพื่อเตรียมรับน้ำและภัยพิบัติธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในแหล่งข้อมูลที่มีผู้สนใจเข้ามาอ่านและแชร์ข้อมูลคือ มิตรเอิร์ธ – Mitrearth ของศาสตราจารย์ ดร.สันติ ภัยหลบลี้ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นับตั้งแต่ปี 2562 ศ.ดร.สันติสร้างและเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ มิตรเอิร์ธ – Mitrearth ด้วยความตั้งใจที่จะแบ่งปันความรู้ทางธรณีวิทยา ข่าวสาร ประสบการณ์ด้านภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์โลก โดยมีจุดเด่นที่นวัตกรรมชุดแผนที่เชิงพิกัด ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพื้นที่ที่อยู่อาศัยว่ามีโอกาสเกิดเหตุภัยพิบัติอะไรได้บ้าง

“ภัยพิบัติเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ทั้งภัยพิบัติใหญ่ที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง หรือภัยพิบัติที่เล็กกว่าแต่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ทุกภัยพิบัติทำให้เราเสียหายเหมือนกัน เราควรเตรียมความพร้อมรับกับภัยทุกภัย การที่คนในสังคมมีความรู้ด้านธรณีวิทยาและภัยธรรมชาติจะมีส่วนช่วยในยามเกิดเหตุ การสื่อสารและเตือนภัยจะทำได้ดีขึ้น และลดความเสียหายและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น” อาจารย์สันติกล่าว

มิตรเอิร์ธ ธรณีวิทยา-เรื่องต้องรู้คู่มือรับภัยพิบัติ

ภูมิอากาศแปรปรวนและภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้คนในสังคมหันมาสนใจและติดตามข่าวสารสภาพอากาศมากขึ้น – พายุลูกใหม่จะเข้ามาเมื่อไร ความรุนแรงระดับใด น้ำทะเลหนุนวันใด ฯลฯ แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้ด้านภูมิอากาศคือความรู้ด้านธรณีวิทยา

“ส่วนหนึ่งที่ภัยพิบัติทุกวันนี้สร้างความเสียหายมากขึ้นเพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและภาวะทางเศรษฐกิจที่ผลักให้ชุมชนเมืองขยายตัวและเขยิบเข้าไปใกล้พื้นที่อ่อนไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น พื้นที่รอยเลื่อน หรือทางน้ำไหลผ่าน” อาจารย์สันติอธิบาย

“เราจึงควรมีความรู้ด้านธรณีวิทยา เช่น พื้นที่ลุ่มต่ำ ระดับความสูง ทางไหลของน้ำ เพื่อจะได้รู้ว่าเรามีภัยพิบัติอะไรใกล้ตัวบ้าง เช่น หากเราอยู่แถวท่าน้ำนนทบุรีก็ควรรู้ว่าบ้านเราอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเท่าไร อยู่ใกล้ตลิ่งหรือไม่ อยู่โค้งไหน โค้งในหรือโค้งนอก”

เมื่อเอ่ยถึงภัยพิบัติทางธรณีวิทยา ผู้คนมักนึกถึงแผ่นดินไหวและแผ่นดินไหวใต้ทะเลที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ แต่อันที่จริง มีภัยพิบัติที่ใกล้ตัวกว่านั้น เกิดได้บ่อยและสร้างความเสียหายได้มาก

“ถ้าไม่นับคลื่นสึนามิ ดินโคลนไหลหลากเป็นภัยพิบัติเดียวที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตจำนวนมาก อย่างเหตุโศกนาฏกรรมดินโคลนไหลถล่มบ้านเรือนประชาชนในตำบลน้ำก้อ และตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ในปี 2544 มีผู้เสียชีวิตถึง 136 คน ภายในคืนเดียว!”

“สึนามิเป็นภัยพิบัติที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักที หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตเราอีกแล้วก็ได้ แต่เราอาจจะได้ประสบกับภัยพิบัติ “ดินโคลนไหลหลาก” ได้อีกในช่วงชีวิตนี้” อาจารย์สันติกล่าวและยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย

“หากบ้านเราอยู่ใกล้ภูเขาและมีธารน้ำที่ไหลออกมาจากภูเขา แล้วไหลผ่านหมู่บ้านเรา แสดงว่าหมู่บ้านของเราเสี่ยงมาก ๆ ต่อดินโคลนไหลหลาก ดังนั้น เมื่อไรที่มีฝนตกบนภูเขาที่อยู่ใกล้เรา และหากลำธารที่ไหลออกจากภูเขาใกล้บ้านเราหรือที่เราอยู่เริ่มมีสีชากาแฟ เราต้องอพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน”

อาจารย์สันติกล่าวว่า ภาครัฐควรมีสื่อหรือแหล่งข้อมูลให้คนได้รับรู้ เรียนรู้ และค้นคว้าเกี่ยวกับภัยพิบัติด้วยตัวเอง “ถ้าให้เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดก็ควรจะเพิ่ม “วิชาภัยพิบัติธรรมชาติ” หรือ “ภัยพิบัติท้องถิ่น” ในหลักสูตรการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมหรือมัธยม อย่างนี้ก็จะทำให้ทุกคนในสังคมได้ผ่านหูผ่านตาเรื่องเกี่ยวกับภัยธรรมชาติและการรับมือบ้าง”

นี่เองเป็นแรงผลักดันให้อาจารย์สันติสร้างแพลตฟอร์ม มิตรเอิร์ธ – Mitrearth ที่เป็นเสมือนห้องเรียนออนไลน์วิชาวิทยาศาสตร์โลกและภัยพิบัติธรรมชาติให้กับประชาชนทั่วไป นับตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน เพจมิตรเอิร์ธมีผู้สนใจติดตามกว่าสองแสนรายชื่อแล้ว และมีการอ้างอิงไปยังเพจสาธารณะอื่น ๆ ที่นำเสนอสาระเกี่ยวกับธรรมชาติและภัยพิบัติอีกหลายเพจ

มีอะไรบ้างในเพจและเว็บไซต์ “มิตรเอิร์ธ”

เว็บไซต์มิตรเอิร์ธ เป็นพื้นที่รวบรวมบทความและความรู้ที่น่าสนใจทั้งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เชื่อมโยงกับธรณีวิทยา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสนใจและงานอดิเรกของอาจารย์สันติ

นอกจากบทความแล้ว ในเว็บไซต์ยังมีแบบฝึกหัดแบบสำเร็จรูปที่คุณครูสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้และทำแบบทดสอบกับนักเรียน อาทิ แบบฝึกหัดแผ่นดินไหว ทะเลทราย มหาสมุทรและพื้นทะเล น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน ภูเขาไฟและหินอัคนี ฯลฯ

ส่วนเนื้อหาในเพจเฟซบุ๊ก มิตรเอิร์ธ เป็นการอัปเดตข้อมูลความรู้ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความสนใจของผู้คน มีทั้งส่วนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา ภัยพิบัติ และวิทยาศาสตร์โลก โดยข้อมูล สไลด์ แผนที่ และแบบฝึกหัดทั้งหมดที่อยู่บนแพลตฟอร์มออน์ไลน์ของมิตรเอิร์ธ อาจารย์สันติเปิดให้ประชาชนทั่วไปดาวน์โหลดและนำไปใช้ประโยชน์ได้

นอกจากนี้ อาจารย์สันติยังรวบรวมความรู้ในรูปแบบเอกสาร e-book (ฟรี) โดยสรุปเนื้อหาและแบบฝึกหัดในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โลก (Earth Science) อาทิ เอกภพและโลก ธรณีแปรสัณฐาน โครงสร้างภายในโลก น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน แผ่นดินไหว ธารน้ำแข็ง ทะเลทราย ฯลฯ เพื่อมอบให้กับคุณครูสำหรับเป็นสื่อการเรียนการสอน และประชาชนที่สนใจศึกษาเรียนรู้ในด้านวิทยาศาสตร์โลก

แผนที่ (ฉบับมิตรเอิร์ธ) กับการแจ้งเตือนภัยพิบัติ

สิ่งที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ “มิตรเอิร์ธ” ที่ผู้คนมักอ้างอิงและใช้ประโยชน์คือ “แผนที่ GIS” นวัตกรรมชุดข้อมูลภูมิประเทศ “แผนที่ชุดข้อมูลภูมิประเทศเป็นข้อมูลจริงทางธรณีวิทยา สามารถบอกพิกัดความสูง-ต่ำของพื้นที่ ให้คนในพื้นที่ได้รู้ว่าพื้นที่ที่เขาอยู่อาศัยเป็นพื้นที่สูงหรือต่ำ หรือเป็นพื้นที่อ่อนไหว ที่อาจจะเกิดภัยพิบัติ”

อาจารย์สันติเล่าว่า แผนที่นี้เกิดจากการนำเข้าข้อมูลภูมิประเทศเชิงพิกัดจากดาวเทียมที่มีเผยแพร่ทั่วโลก และใช้เครื่องมือ GIS (geographic information system) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ออกมาเป็นชุดข้อมูลภูมิประเทศของประเทศไทยครบทั้ง 77 จังหวัดอย่างละเอียด ซึ่งคนในแต่ละจังหวัดสามารถดาวน์โหลดข้อมูลของพื้นที่ตนเองมาเรียนรู้ ทำความเข้าใจได้อย่างรอบด้าน ทั้งด้านพื้นที่ แหล่งน้ำ

“ในการเตรียมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ การให้ข้อมูลความจริงที่สามารถเช็กและตรวจสอบได้ทางกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ และการที่นักวิชาการหรือนักธรณีวิทยาจะสื่อสารว่าจะเกิดภัยพิบัติ นั่นหมายความว่า เขาต้องมีข้อมูลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องครบทุกด้าน เนื่องจากต้องคำนึงถึงความเสียหายที่ตามมาหากภัยไม่เกิด ดังนั้น ข้อมูลที่เผยแพร่บนเพจเป็นการให้ข้อมูลความจริงทางธรณีวิทยา”

ที่ผ่านมา แผนที่ในเว็บไซต์และเพจถูกนำไปใช้ประกอบการวางแผนรับมือภัยพิบัติและกระจายไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพจสาธารณะอื่น ๆ เพื่อการเตือนภัยและเตรียมแผนรับมือ

“เวลาที่มีข่าวสถานการณ์ภัยพิบัติ ผมจะดึงเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น ทำเป็นแผนที่ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ปรับสเกลให้มองเห็นชัด นำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด และพร้อมใช้งานที่เหมาะกับภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ดินถล่ม แยกเป็นชุด ๆ เพื่อแจ้งเตือนคนในพื้นที่สามารถนำไปแชร์ต่อหรือนำข้อมูลไปใช้ในการเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิผล”

อาจารย์สันติเล่าถึงการใช้แผนที่โดยยกกรณีน้ำท่วมที่จังหวัดน่านและเชียงรายว่า “ผมทำข้อมูลภูมิประเทศของจังหวัดน่านและเชียงรายมาเผยแพร่ว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่อ่อนไหว พื้นที่ใดเป็นทางน้ำไหลผ่านหรือร่องน้ำลึก โดยดูเทียบกับปริมาณน้ำฝน 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้คนเกิดความตระหนักและเตรียมรับมือกับมวลน้ำที่กำลังมา”

ล่าสุด แผนที่ GIS ของมิตรเอิร์ธยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Digital​ War Room แพลตฟอร์มจุฬาฯ ฝ่าพิบัติ นวัตกรรมทำนายพื้นที่น้ำท่วมและแนวดินถล่มจากอุทกภัย อันเป็นดำริของอธิการบดี จุฬาฯ ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ที่อยากให้จุฬาฯ ช่วยสังคมในเรื่องการเตือนภัยพิบัติ ไม่ใช่แค่เฉพาะบริจาคหรือนำของไปให้ผู้ประสบภัย

อาจารย์สันติกล่าวถึงบทบาทในโครงการนี้ว่า “อาจารย์คณะครุศาสตร์มีความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสาร และเทคโนโลยีการศึกษา ที่สามารถทำระบบแพลตฟอร์มได้ แต่ไม่มี materials ในการเตือนภัย ซึ่งผมมี ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลร่องน้ำ หรืออื่น ๆ ที่ใช้เตือนภัย เราจึงร่วมมือกัน โดยผมเป็นฝ่ายสนับสนุนข้อมูลให้ทีมอาจารย์คณะครุฯ นำข้อมูลไปขึ้นบนแพลตฟอร์ม และเมื่อเกิดภัยพิบัติ ผมจะช่วยนำเสนอและบอกเล่าสถานการณ์แบบใกล้เคียงเรียลไทม์มากที่สุด เพื่อเตือนภัยระหว่างที่เกิดภัย และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น”

มิตรเอิร์ธ บรรเทาภัยพิบัติทุกมิติ

เมื่อมีการถามถึงโอกาสที่จะนำ AI (Artificial Intelligence) มาใช้ในการพยากรณ์ภัยพิบัติในอนาคต อาจารย์สันติกล่าวว่ายังไม่เหมาะและประเทศไทยอาจยังไม่พร้อม

“ภัยธรรมชาติมีความซับซ้อน และ AI ยังอยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้ ยังไม่มีการนำเข้าข้อมูลประสบการณ์ภัยพิบัติที่มากพอ ซึ่งหาก AI พยากรณ์พลาด ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะฉะนั้นในบริบทประเทศไทย เรายังไม่พร้อมที่จะฝากชีวิตไว้กับ AI”

ทุกวันนี้ อาจารย์สันติยังคงตั้งใจเป็นแอดมินเพจด้วยตัวเอง ได้ตอบข้อคำถามและรับฟังข้อคิดเห็นคอมเมนต์จากคนในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งเป็นข้อมูลประกอบที่ดีในการทำวิจัยและทำให้เข้าใจภัยพิบัติมากขึ้นด้วย

“ที่ผ่านมา มีทั้งคนในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ เข้ามาแชร์ข้อมูลจากทางเพจไป หากเขาสงสัยหรือไม่เข้าใจตรงจุดไหน เขาก็จะส่งข้อความมาสอบถาม บางครั้งก็แจ้งข่าวสถานการณ์ ซึ่งทำให้ได้รายละเอียดข้อมูลจริงมาปรับการแสดงผลข้อมูลพื้นที่ทำให้เห็นภาพภูมิประเทศหน้างานจริงว่า ขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

“ในฐานะนักวิจัยและนักธรณีวิทยา ผมตั้งใจจะใช้เครื่องมือ GIS ในการพัฒนาและสร้างสรรค์ชุดข้อมูลภูมิประเทศในมิติอื่น ๆ เพื่อบรรเทาภัยพิบัติเพิ่มให้ครบทุกมิติ เช่น แนวร่องน้ำไหล แนวร่องน้ำที่มีถนนกั้นน้ำที่เสี่ยงถนนขาด จุดอพยพได้ จุดเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง และพัฒนาสเกลของชุดข้อมูลให้ละเอียดขึ้นในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด และพัฒนารูปแบบการนำเสนอให้มันย่อยง่าย ดูง่ายขึ้น รวมไปถึงให้ข้อมูลควรรู้สำหรับรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ”

แม้ว่าขณะนี้ภัยพิบัติทางภาคเหนือ อีสาน กลาง และภาคใต้ดูจะคลี่คลายไปบ้างแล้ว แต่ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้เสมอและแนวโน้มดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่เราทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจด้านธรณีวิทยา รู้จักภูมิศาสตร์ท้องถิ่น แหล่งน้ำ ระดับความสูงต่ำของพื้นที่ ฯลฯ ความรู้เหล่านี้เป็นหนทางให้เรารับมือภัยพิบัติล่วงหน้า และแม้เราจะไม่ได้เรียนเรื่องนี้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมาก่อน แต่เวลานี้ เรามี “มิตรเอิร์ธ”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


8 ทริคพรีเซนต์งานภาษาอังกฤษให้ปัง มัดใจคนฟังแบบอยู่หมัด!

ต้องพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษ แบบนี้จะทำยังไงดีให้การพรีเซนต์ออกมาเป๊ะปังกันนะ หลายคนน่าจะกังวลใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ไม่ต้องกังวลใจไป วอลล์สตรีทอิงลิช มีทริคดีๆ มากฝาก

เตรียมร่างกายตัวเองให้พร้อม!

การพรีเซนต์งาน สิ่งสำคัญอย่างแรกนอกเหนือจากเนื้อหาที่เราต้องการจะพรีเซนต์ คือการเตรียมร่างกายให้พร้อมเสมอก่อนวันพรีเซนต์ ตั้งแต่การนอนหลับให้เพียงพอ การดูแลร่างกายให้แข็งแรงไม่ป่วยไข้ก่อนการพรีเซนต์ การแต่งกายให้ดูดี เหมาะสม ก็สำคัญ 

แน่นอนว่าในฐานะของการเป็นผู้นำเสนอ บุคลิกภาพของเราจะต้องดูดี เสียงที่ใช้ต้องพรีเซนต์ก็ดัง ฟังชัด ไม่พูดช้า หรือเร็วไป และที่ขาดไม่ได้ก็คือการใช้ “ภาษากาย” หรือว่า “Body language” ให้เหมาะสม เช่น การผายมือไปที่สไลด์ การยืนตัวตรงปลายเท้าแยกออกจากกันและ Eye contact (การสบตา) ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำเสนอควรมี เราควรมองผู้ฟังของเราหลายๆคนเป็นครั้งคราว อย่าจ้องเสียจนคนฟังรู้สึกเกร็งล่ะ

สำหรับใครที่กลัวว่าจะแสดงท่าทางแปลกๆ หรือไม่รู้จะเอามือไม้ไปว่าที่ไหน อาจจะลองพูดกับตัวเองหน้ากระจกดูก่อนก็ได้นะ

จัดเรียงข้อมูลที่ควรจำไว้ใช้เสมอ

เรียกว่าเป็นหลักการพรีเซนต์สากลเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณพรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้ว อาจจทำให้หลายคนไม่มั่นใจ ตื่นเต้นเกินเหตุ กลายเป็นว่าตอนพรีเซนต์จริงพูดวกไปวนมา ดังนั้นการจัดเรียงข้อมูลจึงสำคัญมากๆ

การจัดเรียงข้อมูลที่ดี ไม่ใช่การยัดเนื้อหาทุกอย่างลงบนสไลด์ แต่เป็นการสร้างจุดสำคัญๆ เพื่อเรียงลำดับการนำเสนอ ว่า ใจความสำคัญในสไลด์นั่นๆ จะหมายถึงอะไร และในสไลด์ต่อไปเราจะพูดเรื่องอะไรบ้าง แล้วค่อยๆ อธิบายหัวข้อนั้นๆ แทน

หัดใช้ Presentation Aids

Presentation Aids นั้นแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ตัวช่วยในการนำเสนอ” ซึ่งเราจะนิยมใช้ PowerPoint หรือว่า Prezi กันเป็นส่วนใหญ่ แต่เราจะต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะว่าเจ้าพวกนี้มันเป็นเพียงตัวช่วยของเราเท่านั้น เราควรจะเป็นจุดเด่นที่สุดของการนำเสนอ นั่นคือเราควรจะเตรียมตัวมาให้พร้อม และใช้สายตามองคนดูมากกว่าที่จะมองสไลด์นะ

อย่างที่เราได้พูดไปในข้อที่แล้ว ในสไลด์อาจจะใส่หัวข้อหลักๆ ประเด็นสำคัญเอาไว้ช่วยเตือนความจำเราระหว่างพรีเซนต์มากกว่า

มีสคริปต์ไว้ไม่เสียหาย

ข้อมูลที่ใช้พรีเซนต์อาจจะเยอะ ในบางครั้งคนเราอาจจะจดจำได้ไม่หมด โดยเฉพาะเมื่อพรีเซนต์ด้วยภาษาอังกฤษ อาการตื่นเต้น ประหม่า อาจจะทำให้คุณหลงลืมข้อมูล คำศัพท์ได้  ดังนั้นการมีสคริปต์ถือไว้ติดตัวจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย และทางเลือกที่ดีมากๆ โดยเฉพาะการนำเสนอที่มากกว่า 5 นาที ขึ้นไป 

การมีสคริปต์ที่ดีนั้น ไม่ควรจะก้มหน้าก้มตาอ่าน วิธีที่ดีที่สุดคือเขียนเฉพาะคีย์เวิร์ดที่เราเห็นแล้วนึกได้ทันทีว่าเราจะพูดเกี่ยวกับอะไร เช่น อาจจะเขียนแค่ชื่อหัวข้อเอาไว้เพื่อกันลืม หรือ โน้ตคำศัพท์ยากๆ ศัพท์เฉพาะที่ลืมบ่อยๆ ระหว่างการพูดเอาไว้ เป็นต้น

ส่วนขนาดของสตริปต์ ที่แนะนำนั้น ควรมีขนาดประมาณนามบัตร เพราะถ้าหากใหญ่เกินไปเราจะดูไม่เป็นมืออาชีพ แต่ในกรณีที่ต้องพรีเซนต์นานๆ มีข้อมูลเยอะเกินกว่าจะอัดลงไปในแผ่นเดียวก็แนะนำว่าเราสามารถใช้หลายแผ่น ซ้อนๆ กันไว้ได้

สำคัญคืออย่าก้มหน้าอ่าน พยายามใช้เป็นแค่เครื่องมือเตือนความจำ เตือนประเด็นหลักๆ ศัพท์ที่ชอบลืมตอนพรีเซนต์ก็พอนะ

แนะนำตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

เตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมสคริปต์มาพร้อมที่จะพรีเซนต์แล้ว ขั้นแรกของการพรีเซนต์ให้ดี ให้ปัง คือ การแนะนำตัวให้น่าฟัง เพราะนี่คืออีกหนึ่งเสน่ห์และความสำคัญที่ผู้นำเสนอ ที่เราไม่ไม่ควรจะมองข้าม  ซึ่งนอกจากแนะนำตัวแล้ว เราก็ควรจะกล่าวทักทายและพูดถึงหัวข้อที่เราจะนำเสนอสักนิด โดยคุณอาจจะเริ่มต้นจากประโยคทักทายง่ายๆ 

ตัวอย่าง 

Good morning, I am…..(ชื่อ)…..,

Hello everyone, …..(ชื่อ)…..  is my name.  

Hello there, you can call me…..(ชื่อ)….. 

Nice to meet you here. I’m…..(ชื่อ)….. . 

On behalf of ….(ชื่อบริษัท)…..Company. I would like to welcome you here today. My name is …..(ชื่อ-นามสกุล)….. and I am …..(ตำแหน่งงาน)….. . 

(ในนามของบริษัท…. ดิฉัน/กระผม มีความยินดีต้องรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในวันนี้ ดิฉัน/กระผม ..ชื่อ.. ตำแหน่ง…)

Good morning/afternoon/evening ladies and gentlemen. My name is …..(ชื่อ-นามสกุล)…. .(สวัสดีท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย ดิฉัน/กระผม……)

และใช้ผสมกับตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้ เพื่อเริ่มต้นการพรีเซนต์ เปิดประเด้น หรือเปิดหัวข้อที่คุณต้องการจะพรีเซนต์ได้เลย

ตัวอย่างประโยค

Today I am here to talk to you about….. (วันนี้ ดิฉัน/ผม จะพูดเกี่ยวกับ…..)

As you all know, today I am going to talk to you about….. (อย่างที่ทุกคนทราบกันดี วันนี้ดิฉัน/ผมจะพูดถึงเรื่อง…..)

I would like to take this opportunity to talk to you about… (ดิฉัน/ผม ขอถือโอกาสนี้พูดเกี่ยวกับเรื่อง…..)

I am delighted to be here today to tell you about….. (ดิฉัน/ผม รู้สึกยินดีที่มาในวันนี้เพื่อที่จะพูดให้ท่านทั้งหลายฟังเกี่ยวกับ…..)

Today I would like to outline….. (วันนี้ดิฉัน/ผม อยากจะพูดถึงภาพคร่าวๆในเรื่อง…..)

หมั่นใช้ Signal Words และบอกผู้ฟังเสมอเมื่อเปลี่ยนหัวข้อ

หลังจากที่เราบอกคร่าวๆ แล้วว่าเราจะพูดเกี่ยวกับอะไร สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเราต้องบอกคนฟังทุกครั้งว่าเรากำลังจะเริ่มกันที่หัวข้อไหน หากจบหัวข้อนี้แล้วจะต้องเปลี่ยนหัวข้อก็ต้องโดยใช้ Signal Words หรือ Signal Sentences บอกผู้ฟังเสมอ เพื่อให้ผู้ฟังตามทัน และเข้าใจสิ่งที่เราจะพรีเซนต์

โดยคุณอาจจะใช้ประโยคเหล่านี้ในการเริ่มต้นหัวข้อ หรือเปลี่ยนหัวข้อ

ตัวอย่างประโยค

I’m going to start with…(ชื่อหัวข้อแรก)… (เราจะไปเริ่มกันที่หัวข้อ… กันก่อน นะครับ/นะคะ)

I’ve finished the first part and moving to the next one… (ตอนนี้เราจบส่วนแรกกันแล้ว และต่อไปจะเริ่มกันต่อที่หัวข้อ … )

Let’s go to the next point. (เอาล่ะ ไปหัวข้อต่อไปกันดีกว่า)

Now, we are moving to the new topic. (ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มกันที่หัวข้อใหม่)

Here is the new topic. (นี่คือหัวข้อใหม่)

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ อ้อ! ถ้าหากเรามีพรีเซนต์ที่มากกว่าหนึ่งคนและเรากำลังจะต้องส่งต่อการนำเสนอนี้ให้เพื่อนของเรา เราก็ควรจะบอกคนฟังด้วยประโยคเหล่านี้

I’ve done my part and I will pass it on to Ms./Mrs./Mr./… (นี่ก็ได้จบส่วนของ ผม/ดิฉันแล้ว ต่อไปจะเป็นส่วนของคุณ … นะครับ/นะคะ)

Ms./Mrs./Mr./… is going to take you to the next topic. (คุณ… จะเป็นคนมาพาคุณไปยังหัวข้อใหม่ นะครับ/นะคะ)

The next topic will be spoken by Ms./Mrs./Mr./… (หัวข้อต่อไป คุณ… จะเป็นผู้มาอธิบายนะครับ/นะคะ)

สรุปอีกครั้งให้ผู้ฟังเสมอ

สุดท้ายของการพรีดซนต์ สิ่งที่เราไม่ควรลืมเลยก็คือการสรุปนั่นเอง  สรุปนี้มีความสำคัญมากๆ เพราะจะทำให้คนฟังจำได้ทุกหัวข้อว่าเราพูดเรื่องอะไรไปบ้างแล้ว นอกจากนี้คนส่วนใหญ่นั้นจะจำส่วนสุดท้ายกันได้มากที่สุด 

To sum up… (สรุปคือ…)

So to summarise the main points of my talk… (สรุปประเด็นใหญ่ๆที่ดิฉัน/ผมพูดคือ…..)

Just a quick recap of my main points… (สรุปอย่างสั้นๆเกี่ยวกับประเด็นใหญ่ๆที่ดิฉัน/ผมพูดคือ….)

การสรุปที่ดีต้องกระชับ สั้น ได้ใจความ หรือเป็นการเรียงพูดถึงหัวข้อหลักๆ พร้อมส่วนเสริมอธิบายเพียงเล็กน้อยก็ได้ และหลังจากสรุปการพรีเซนต์แล้ว ถ้าจะปิดการพรีเซนต์ คุณอาจจะปิดท้ายด้วยประโยคว่า 

That brings the presentation to the end. Thank you for your attention. (การนำเสนอจบแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจฟังกัน นะคะ/นะครับ)

Thank you all for listening, it was a pleasure being here today. (ขอขอบคุณที่ทุกท่านตั้งใจฟัง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาในวันนี้ ค่ะ/ครับ)

อย่าลืมเปิดโอกาส และอนุญาตให้ผู้ฟังถาม

นอกเหนือจากการกล่าวปิด กล่าวสรุปแล้ว อย่าลืมทิ้งค้างให้ผู้ฟังเกิดความงงอยู่เพียงฝ่ายเดียว หลักการพรีเซนต์ที่ดีคุณควรเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ถามด้วย เพื่อจะได้อธิบายในส่วนที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยคุณอาจจะใช้ประโยคต่อไปนี้ก็ได้เมื่อจบการพรีเซนต์แล้ว

ตัวอย่างประโยค

Feel free to interrupt me if there’s anything you don’t understand. (คุณสามารถถามได้เสมอ ถ้าเกิดไม่เข้าใจตรงไหนระหว่างการบรรยาย นะคะ/นะครับ)

If you don’t mind, we’ll leave questions till the end. (หากคุณไม่ว่าอะไร เราขอตอบคำถามต่างๆ ในตอนท้าย นะครับ/นะคะ)

If anyone has any questions, I’ll be pleased to answer them. (หากใครมีคำถามอะไร ถามได้เลย นะคะ/นะครับ ยินดีตอบ ค่ะ/ครับ)

Does have anyone have any questions? (มีใครมีคำถามไหม ครับ/คะ?)

I will be happy to answer your questions now (ดิฉัน/ผม มีความยินดีที่จะตอบคำถามของพวกท่านในตอนนี้)

If you have any questions, please don’t hesitate to ask (ถ้ามีคำถาม กรุณาอย่าลังเลที่จะถาม นะครับ/นะคะ)

If you have any further questions, I will be happy to talk to you at the end. (ถ้ามีคำถามเพิ่มเติม ดิฉันยินดีที่จะพูดคุยกับทุกท่านหลังจากนี้ ครับ/ค่ะ)

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


ผัก 10 ชนิดที่พบยาฆ่าแมลง ตกค้างสูงที่สุด

ผักที่มียาฆ่าแมลงตกค้างสูง เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากบริโภคโดยไม่ได้ล้างอย่างถูกวิธี สารเคมีเหล่านี้อาจสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือแม้แต่มะเร็งในระยะยาว ดังนั้นการเลือกซื้อผักปลอดสารพิษและล้างผักอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันสารเคมีตกค้างเข้าสู่ร่างกาย

วิธีกินผัก เสี่ยงสารเคมีตกค้างในผัก

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงช่วงเทศกาลกินเจที่มีผักเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ว่าช่วงเทศกาลกินเจนี้ มีการจำหน่ายอาหารเจที่ปรุงจากผักเป็นจำนวนมาก จึงต้องเฝ้าระวังความสะอาดปลอดภัยของสารเคมีในผักให้มากขึ้น 

ปริมาณผักผลไม้ที่ควรกินต่อวัน

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้บริโภคผักผลไม้วันละ 5 ส่วน โดยเน้นผักมากกว่าผลไม้ เช่น

  • ผัก 3-4 ส่วน ผลไม้ 1-2 ส่วน

วิธีเลี่ยงผักที่มีสารเคมีตกค้างสูง

สำหรับผู้บริโภค ที่ปรุงอาหารเจกินเองในครอบครัว ช่วงนี้ไม่ควรกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างและเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย ๆ ค่อย ๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งในระยะยาว

ผักสดที่พบสารเคมีตกค้างสูง

ผักสด 10 ชนิด ที่จำหน่ายในท้องตลาด พบว่า มีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่สูง ได้แก่

  1. กวางตุ้ง
  2. คะน้า
  3. ถั่วฝักยาว
  4. พริก
  5. แตงกวา
  6. กะหล่ำปลี
  7. ผักกาดขาวปลี
  8. ผักบุ้งจีน
  9. มะเขือ
  10. ผักชี

วิธีล้างผักผลไม้ให้สะอาด ลดประมาณสารเคมีตกค้างในผัก

1. ล้างด้วยน้ำไหล

  • แช่ผักผลไม้ในน้ำเปล่านาน 15 นาที
  • ล้างด้วยน้ำไหลผ่าน พร้อมถูใบหรือเปลือกเพื่อขจัดคราบสกปรก

2. แช่น้ำส้มสายชู

  • ผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร
  • แช่ผักผลไม้ทิ้งไว้ 15 นาที
  • ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

3. ใช้เบคกิ้งโซดา (โซเดียมไบคาร์บอเนต)

  • ผสมเบคกิ้งโซดาครึ่งช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร
  • แช่ผักผลไม้ 15 นาที
  • ล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง

4. แช่น้ำผสมเกลือ

  • ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร
  • แช่ไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/11/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,800.0042,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,772.0042,023.5243,400.00
ทองรูปพรรณ 90%2,494.8037,821.17n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,217.6033,618.82n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,247.0018,904.52n/a
ทองรูปพรรณ 40%970.0014,705.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,873.0043,554.68n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/11/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3536.9536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.5835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.8434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8533.9933.9933.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.8449.8449.8444.94
เบนซิน 9544.6449.8145.1444.7944.64
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า