สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2560

สูตรรอดอสังหาฯแนะแตกเซ็กเมนท์เลี่ยงชนรายใหญ่

นักพัฒนาอสังหาฯ ประเมินทิศทางอสังหาฯยังมีแนวโน้มเติบโต เชื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน “รถไฟฟ้า-อีอีซี” ดันการเติบโตตลาดอสังหาฯอีกระลอก ขณะอสังหาฯรายย่อย แนะปรับตัวเลี่ยงชนทำเลกับรายใหญ่ แตกเซ็กเมนท์ หาช่องว่างตลาด
ในงานเปิดหลักสูตรสำหรับพัฒนานักอสังหาริมทรัพย์ “The NEXTReal”รุ่นที่4 ได้เปิดเวทีเสวนา “การปรับตัวของธุรกิจอสังหาฯ และอนาคตไทย -อสังหาฯโลก” โดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดอสังหาฯยังมีโอกาสการเติบโตตามโครงการลงทุนรัฐ
นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งหลักสูตร The NEXT Real กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ส่วนตัวยังมองว่าขยายตัวได้ สถานการณ์ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนคิด ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นจนเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจอสังหาฯ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาพื้นฐานธุรกิจอสังหาฯ ที่ต้องเร่งแก้คือ ขั้นตอนการขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ที่ยังคงล่าช้า และปัญหาธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าอสังหาฯ เมื่อยอดการปฏิเสธสินเชื่อสูง จึงส่งผลกระทบต่อยอดขายอสังหาฯตามมา
“บริหารต้นทุน”กุญแจสำเร็จ
ทั้งนี้ มองว่าการปรับตัวที่สำคัญในสภาพตลาดเช่นนี้ คือ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ Gross Margin (ผลต่างรายได้หักต้นทุนดำเนินการ) สูงขึ้น ซึ่งอาจแก้ไขได้ด้วยนำระบบไอทีมาช่วย ซึ่งความแตกต่างกันนี้ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯแต่ละรายมีผลการดำเนินงาน และอำนาจต่อรองในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ต่างกัน
สำหรับตัวอย่างประสบการณ์ของเขา เมื่อ 20 ปีก่อนได้ขยายการลงทุนไปในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Country) เช่น ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการลงทุนเองและให้คนท้องถิ่นบริหาร ปัจจัยค่าเงินบาทต่างๆ ซึ่งช่วงนั้นลงทุนไปมากแล้วก็ขาดทุนหมด ต่อมาก็มาลงทุนอสังหาฯในสหรัฐ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้ผู้เช่า เช่น ฟรี wi-fi และปรับเรื่องค่าเช่า ก็ทำให้ผู้เช่าพึงพอใจ สามารถสร้างกำไรได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
ส่วนในยุโรปมีคนไทยไปลงทุนอสังหาฯกันมาก เช่น ในอังกฤษ ตอนนี้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่า คนที่เข้าไปลงทุนก่อนไม่ได้กำไรดีเท่าที่ควร แต่ยังมองว่าอังกฤษยังเป็นตลาดน่าสนใจ เพราะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และศูนย์กลางทางการศึกษา คนจีน อินเดียส่งบุตรหลานไปเรียนกันมาก อย่างไรก็ดี อยากแนะนำว่าหากตลาดประเทศไหนที่กฏกติกาไม่ชัดเจนไม่ควรเข้าไปดำเนินงานในตลาดนั้น
ลงทุนตามเมกะโปรเจค
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ออริจิ้นทำธุรกิจมาเป็นปีที่ 9 พบปัญหามาตลอดและค่อยๆแก้ไขปัญหา สินค้าในโครงการก็ไปได้ สำหรับปัญหาเศรษฐกิจในช่วง8 -10ปีที่ผ่านมา ที่หลายคนกังวลกันคือกำลังซื้อผู้บริโภค แต่บริษัทสามารถผ่านปัญหานี้มาได้
ทั้งนี้ กุญแจสู่ความสำเร็จ คือ พัฒนาโครงการไปตามโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมถึงตามไปยังโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งช่วงนี้มีกระแสข่าวดีมาก ธุรกิจอสังหาฯก็ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยเหล่านี้เป็นลำดับต้นๆ
“บริษัทเติบโตมาจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเมื่อโครงการรถไฟฟ้าไปทางไหนบริษัทก็จะไปทำโครงการเจาะบริเวณนั้น ซึ่งโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาด”
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้บริษัทเติบโตมาจากการบริหารในหลายรูปแบบ ทั้งการระดมเงินทุน การซื้อที่ดินที่ต้นทุนไม่สูงมาก รวมถึงการลงทุนต่างๆโดยใช้เงินทุนจากในประเทศ รวมไปถึงการขยายรายได้จากอสังหาฯที่มีรายได้ประจำ ในปัจจุบันบริษัทมี Gross Margin สูง40%และกำไรสุทธิอยู่ที่20% โดยในขณะนี้ ออริจิ้นฯ มีอันดับมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงเป็นลำดับที่5 -6ของตลาด
แตกเซ็กเมนท์-หาความต่าง
นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งกิจเรียลเอสเตท จำกัด (อาร์เค) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะแบ่งอสังหาฯแนวราบเป็น โฮมออฟฟิศ ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว โดยแต่ละโปรดักท์ก็แยกเซ็กเมนท์ชัดเจน สามารถหามูลค่าในช่องว่างแต่ละทำเลได้ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งจนทำให้ยอดขายของบริษัทไม่ลดลง ทั้งยังได้ปรับโปรโมชั่นต่างๆให้สอดรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เช่น ข้อเสนอบ้านพร้อมอยู่ สำหรับการปล่อยสินเชื่อ ทางโครงการของบริษัทคัดกรองลูกค้าที่ไม่เคยมีหนี้เสียให้ธนาคาร ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารค่อนข้างมาก
“วันนี้วงการอสังหาฯเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน แพลตฟอร์มต่างๆที่บริษัทต้องนำมาใช้คือ เซอร์วิส ที่จะเป็นมากกว่าการซื้อขายอสังหาฯ เช่น บริการเสริม อำนวยความสะดวกลูกบ้าน เช่น ล้างรถ ตัดหญ้า”
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และเขียว เป็นสายหลักที่น่าจะสร้างการเติบโตให้ตลาดอสังหาฯ โดยมองว่าความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอยู่ที่ การมองหาความต้องการที่หลากหลาย รวมถึงมองการเลือกทำเลที่เลี่ยงการแข่งขันกับรายใหญ่ ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายงานไปในแนวราบ รวมถึงรายได้หมุนเวียนอื่นๆเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ควบคู่กับการพัฒนาคอนโดฯในเมือง

ที่มา bangkokbiznews.com


เอกชนลดเสี่ยงเบนเข็มธุรกิจเพิ่มสัดส่วนแนวราบ

เอกชนลดเสี่ยงเบนเข็มธุรกิจเพิ่มสัดส่วนแนวราบ

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่เติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวได้แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนก็ตาม ทำให้ความมั่นใจของประชาชนกลับมาดีขึ้นได้ ขณะที่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้ขยายตัวได้มากขึ้น และการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านนายไพโรจน์ วัฒนวโรดม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจ.เอส.พี พร๊อพเพอร์ตี้ (JSP) เปิดเผยถึงแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังว่า เตรียมจัดแคมเปญเพื่อระบายสต๊อกโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังเหลือขาย ภายใต้ชื่องาน JSP Outlet Grand Sale โดยจะนำโครงการคอนโดมิเนียมในมือกว่า 1 พันล้านบาท จำนวน 800 ยูนิต มาร่วมแคมเปญด้วยการมอบส่วนลดต่อยูนิตสูงสุด 15% พร้อมกับฟรีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการโอนที่คิดเป็นสัดส่วน 5.5% เพื่อเร่งระขายสินค้าที่มีอยู่และส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการดันรายได้ให้เข้าเป้าตามที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ 3 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่คาดว่าจะทำรายได้ราว 2.1 พันล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกกว่า 2 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 3.9 พันล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งใน 3.9 พันล้านบาทนั้น รับรู้รายได้ 2.9 พันล้านบาทในปีนี้ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 900 ล้านบาท และอีก 2 พันล้านบาทเป็นของแนวราบ

ส่วนในครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.11 พันล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 2 โครงการ คือ โครงการ J VILLA วงแหวน-บางใหญ่ และ โครงการ J City ติวานนท์-บางกระดี่ ส่วนคอนโดมิเนียมจะเปิดใหม่อีก 1 โครงการ คือ โครงการ J Condo พระราม 2 เป็นไปตามแผนปีนี้ที่วางแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 5 พันล้านบาท

J Grand 01

อย่างไรก็ดี ทางบริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากการที่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์มาเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาภายใน 2-3 เดือนหลังจากลูกค้าทำการจอง ประกอบกับ การปรับแบรนด์ใหม่เป็น J Series ที่ทำให้มีคววามน่าสนใจและมีความทันสมัยของแบรนด์มากขึ้น

J Grand 03 (1)

สำหรับปัญหาเรื่องของอัตราการปฏิเสธสินเชื่อนั้น ปัจจุบันลดลง เนื่องจากทางบริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ 10 แห่งจัดโปรโมชั่นและให้สินเชื่อกับลูกค้า 100-103% และบริษัทยังมีการทำการประเมินความสามารถในการกู้ (Pre-approve) ของลูกค้าร่วมกับธนาคารพาณิชย์ที่ลูกค้าเลือก ส่งผลให้ความเสี่ยงในแง่การปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าลดลง โดยปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบลดลงมาอยู่ที่ 15% จากปีก่อนที่เกือบ 30% และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมลดลงเป็น 30% จากปีก่อนที่ 40%

ที่มา ddproperty.com


‘ตะเคียนเตี้ย’ ขี่เสือเข้าสวน

ไปสูดกลิ่นดิน กลิ่นหญ้า แล้วแหงนหน้าชมต้นมะพร้าว ที่นี่…

เสน่ห์อย่างหนึ่งของจักรยานคือนักปั่นจะได้เปิดทุกประสาทสัมผัส ทั้งได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น และได้สัมผัส (บางครั้งยังได้รสชาติจากอะไรต่อมิอะไรที่ปลิวเข้าปากด้วย…ฮา) เมื่อทุกประสาทสัมผัสได้ใช้งาน เราก็ควรสรรหาสถานที่ดีๆ เคยได้ยินไหม You are what you eat แต่วันนี้คือ You are where you ride

แถบพัทยา ชลบุรี รู้ดีกันว่าเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักที่หนักหน่วงทั้งความเจริญและความวุ่นวาย แต่อีกซีกหนึ่งของย่านนี้ยังมีพื้นที่ของวิถีชีวิตที่ทุกวันนี้แม้โลกจะหมุนเร็วกว่าสัญญาณ 4G แค่ไหน ที่ตำบลตะเคียนเตี้ย อำเภอบางละมุง ก็ยังมีวิถีน่ารักๆ กับสถานที่น่ารักๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

ตำบลตะเคียนเตี้ยประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน ซึ่งพื้นที่กว่าครึ่งคือสวนมะพร้าวเพราะชาวสวนมะพร้าวคืออาชีพหลักดั้งเดิมของคนที่นี่ แต่อย่าคิดว่าสวนมะพร้าวกว้างใหญ่ไพศาลและร่มรื่นเขียวขจีเหล่านี้จะไร้ซึ่งปัญหา เพราะสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า หนอนหัวดำ คือศัตรูตัวฉกาจของมะพร้าว การกำจัดหนอนหัวดำมีหลายวิธี จะใช้สารเคมีก็ได้ แต่ชาวตะเคียนไม่ทำ เพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย พวกเขาจึงใช้วิธีธรรมชาติ คือ การปล่อยแตนเบียน

เพราะฉะนั้นนอกจากจะได้ปั่นจักรยานชมสวนและดูวิถีชีวิตชาวตะเคียนเตี้ยแล้ว ภารกิจกู้ชีพให้มะพร้าวด้วยแตนเบียน กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ด้วยความที่พื้นที่นี้เป็นทั้งสวนและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน แม้จะสวยและร่มรื่นแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะเข้ามาปั่นจักรยานเที่ยวเล่นตามอำเภอใจได้ ก่อนจะเข้ามาลัดเลาะเรือกสวน ควรติดต่อเข้ามาก่อนที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตะเคียนเตี้ย

โทร.08 5698 9732 จะมีเจ้าถิ่นพาปั่นเที่ยว รับรองไม่มีหลง และปลอดภัยไม่โดนข้อหาบุกรุกเคหะสถานแน่นอน

 

อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่นี่เน้นสวนมะพร้าว จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจึงเป็นสวนมะพร้าวแทบทั้งสิ้น เส้นทางมีทั้งลัดเลาะไปในสวน เป็นทางดิน กว้างบ้าง แคบบ้าง แต่ที่ต้องระวังเมื่อปั่นในสวนมะพร้าว คือ กะลามะพร้าว ถ้าเป็นกะลาคว่ำอยู่ให้ปั่นผ่านไปเลย อย่าเบี่ยงหลบเพราะยางจะแฉลบจนล้มได้

นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องระวังมากนัก จะมีก็แค่งู ซึ่งเป็นงูประจำสวนมะพร้าว แต่งูพวกนี้ไม่ชอบเสียงดัง จึงไม่ออกมาประจันหน้านักปั่น (ค่อนข้าง) แน่นอน

ปั่นสูดกลิ่นดิน ดมกลิ่นหญ้า แหงนหน้าดูมะพร้าวสูงชะลูด มาจนถึงสวนของลุงสาโรช จุดนี้นอกจากจะได้พักขา ยังได้เรียนรู้การทำน้ำมันมะพร้าวแบบโบราณประยุกต์ คือ นำมะพร้าวมาปอกเปลือก คั้นเป็นกะทิ แช่เย็นจนกะทิกับน้ำมันแยกชั้นกัน แล้วนำน้ำมันมาแช่แข็ง ควบคุมอุณหภูมิ ให้ละลายแยกเป็นน้ำ, น้ำมัน และกะทิอีกทีหนึ่ง ต้องอาศัยความอดทนมากทีเดียวกว่าจะได้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใสปิ๊งคุณภาพดี ของดีอีกอย่างของตะเคียนเตี้ย

นอกจากน้ำมันมะพร้าว ยังมีสารพัดของกินที่แปรรูปมาจากมะพร้าว เช่น ขนมข้าวเหนียวแดงกวนรสชาติหอมหวานจากน้ำตาลมะพร้าว ที่ใช่ว่าจะได้เห็นกรรมวิธีการกวนกันได้ง่ายๆ เพราะส่วนมากแล้วจะทำสำหรับงานบุญต่างๆ

หรือนี่เลย…ปั่นจักรยานมาเหนื่อยๆ จิบกาแฟยามบ่ายให้สดชื่น แกล้มกับกล้วยปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง ที่บอกเลยว่าไม่เหมือนที่ไหน เพราะที่นี่ใส่กะทิแทนนมลงในกาแฟ หลายคนที่ยังไม่เคยชิมอาจร้องยี้ แต่ถ้าได้ลิ้มลองจะต้องติดใจในความหอมมันอย่างที่นมให้ไม่ได้ พอกินกับกล้วยปิ้งและข้าวโพดปิ้งที่ชุ่มกะทิด้วย ช่างเป็นความสามัญขั้นเทพจริงๆ

พักจนหายเหนื่อย แล้วปั่นไปจอดจักรยานกันที่ป่าชุมชนกันดีกว่า แม้ที่นี่จะปั่นจักรยานไม่ได้ แต่เดินป่าชมธรรมชาติได้ ด้วยขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่โตนัก จึงเดินเที่ยวชมได้ค่อนข้างสบาย ในทางกลับกันที่ป่าผืนนี้กลับมีความหลากหลายทางชีวภาพไม่น้อยหน้าเขาใหญ่เลยทีเดียว ทั้งสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย พืชพรรณ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบก็มีให้เห็น หากเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงนกขับขานเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์ธรรมชาติด้วย

เที่ยวสวนมะพร้าวจนหนำใจ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องตอบแทนสถานที่แห่งนี้บ้าง กล่องแตนเบียนทีเราพกกันมากำลังเปิดออก ปลดปล่อยฝูงแตนเบียนตัวกระจิริดให้ไปพิชิตศัตรูพืชของต้นมะพร้าว

บางคนสงสัยว่าแตนเบียนกำจัดหนอนหัวดำอย่างไรทั้งที่ตัวแตนเบียนเล็กกว่าหลายเท่า ต้องบอกว่าเป็นการจู่โจมอย่างเหนือชั้น ราวกับม้าโทรจันหรือม้าเมืองทรอย ที่ทหารกรีกแสร้งล่าถอยแล้วปล่อยให้ทหารทรอยลากม้าไม้เข้าไปในเมือง ตกดึกทหารกรีกที่ซ่อนตัวในม้าไม้จึงออกมาเผาเมืองทรอยเป็นจุณ แตนเบียนก็เช่นกัน พวกมันจะเข้าไปไข่ในตัวหนอนหัวดำ เมื่อไข่ฟักหนอนหัวดำก็จะตาย…ช่างร้ายกาจอย่างล้ำลึกยิ่งนัก

          ก่อนจะกลับอยากให้ลองดื่มน้ำมะพร้าวสดๆ ของที่นี่ รับรองว่าจะลืมความเหน็ดเหนื่อยและระยะทางร่วม10 กิโลเมตรที่ปั่นจักรยานเที่ยวมาเป็นปลิดทิ้ง น้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจ รสชาติหวานกำลังดีโดยไม่มีสารให้ความหวานแต่อย่างใด เหมือนกับความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ตะเคียนเตี้ยยังผุดผ่องและน่าเที่ยวโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย

ที่มา bangkokbiznews.com


ดอกเบี้ยจากการเป็นหนี้ ไม่ใช่ฝันร้าย ขจัดได้ แค่วางแผนดี ๆ

ขึ้นชื่อว่า “ดอกเบี้ย” ใครได้ยินก็คงต้องเป็นกังวล และไม่ค่อยอยากจะมีค่าใช้จ่ายรายการนี้กันสักเท่าไหร่ แต่ด้วยภาระที่ต้องกินต้องใช้ ประกอบกับหลายครั้งยังไม่พร้อมที่จะจ่ายด้วยเงินสด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ ของใช้ และสิ่งอำนวยความสะดวก หลายคนจึงต้องพึ่งบริการสินเชื่อสถาบันการเงิน

ที่จริงการกู้ยืมเงิน ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียหมด สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องพิจารณาใช้ตามความจำเป็นของชีวิต และอีกเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ ต้องรู้จักวางแผนการเงินก่อนใช้ด้วย ทั้งนี้ หลักเกณฑ์สำคัญที่อยากแนะนำให้คุณผู้อ่านใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเงินทั้งก่อนและหลังการกู้ยืมเงิน ก็คือ

ก่อนกู้ยืมเงิน


  1. ตรวจสอบความจำเป็นของการใช้จ่ายเป็นลำดับแรกว่า เรามีความจำเป็นต้องใช้สินเชื่อนั้นจริงหรือไม่ เลื่อนความต้องการออกไปก่อนได้หรือเปล่า
  2. เมื่อพิจารณาแล้วว่า จำเป็นต้องใช้จ่าย และมีความจำเป็นต้องใช้สินเชื่อ ก็ให้ลองหาข้อมูลเปรียบเทียบสินเชื่อและดอกเบี้ยของแต่ละธนาคาร เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดและผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุด
  3. พิจารณาค่าผ่อนชำระโดยรวมให้ดีว่า อยู่ในเกณฑ์ที่เรารับไหว ไม่ทำให้สภาพคล่องเราเสียหาย หรือทำให้เงินขาดมือ ไม่พอกินพอใช้ในวันข้างหน้า ในขั้นตอนนี้ผมแนะนำให้ลองทำงบรายรับ-รายจ่าย ดูว่าถ้ามีรายการผ่อนเพิ่มขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร

หลังการกู้ยืมเงิน


  1. ผ่อนชำระคืนให้ตรงเวลา เพื่อลดปัญหาเรื่องของดอกเบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เรามีรายจ่ายสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้การชำระคืนตรงเวลายังช่วยรักษาเครดิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในครั้งต่อไปด้วย
  2. ถ้าสินเชื่อที่เรากู้ยืมเงินมา เป็นสินเชื่อประเภทลดต้นลดดอก ก็อาจพิจารณาวางแผนเพิ่มเงินค่างวด หรือที่นิยมเรียกกันว่า “โปะ” เงินเพิ่มจากเงื่อนไขการผ่อนที่ตกลงกันไว้ เพื่อให้หนี้หมดเร็วขึ้น และช่วยประหยัดดอกเบี้ยโดยรวมได้
  3. ในบางกรณี อาจพิจารณรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่ใช้ โดยการมองหาสินเชื่อที่มีเงื่อนไขดีกว่า มาปิดชำระหนี้เดิม และผ่อนชำระกับสินเชื่อใหม่ เพื่อลดภาระการผ่อน ซึ่งจะช่วยลดดอกเบี้ยได้อีกด้วย
  4. ควบคุมวงเงินหนี้ อย่าสร้างหนี้เพิ่มมากเกินไปจนเกินความสามารถในการผ่อนชำระ เพราะหลายครั้งที่เราคิดว่าผ่อนรายการละเล็กละน้อย ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรมาก สุดท้ายแล้วอาจทำให้มีภาระผ่อนสูงเกินไป และส่งผลกับสภาพคล่องในที่สุด
  5. เก็บเอกสารหลักฐานการชำระเงินไว้ให้เป็นระเบียบ ทั้งนี้เพื่อใช้ตรวจสอบกับทั้งทางสถาบันการเงินและกับข้อมูลเครดิตของตัวเอง

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ ในกรณีที่เราเริ่มมีปัญหา เริ่มจะผิดนัดชำระ ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามกำหนด ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม อย่าหนีปัญหา ให้หันหน้าเข้าสู้กับปัญหา โดยในเบื้องต้นให้ทำการพูดคุยเจรจากับทางสถาบันการเงินก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ควรปล่อยปละละเลยและทิ้งทุกอย่างไว้จนบานปลาย

ครั้งหนึ่งผมเคยให้คำปรึกษาแก้ปัญหาหนี้กับพนักงานประจำท่านหนึ่ง ซึ่งมีรายรับต่ำกว่ารายจ่ายอยู่หลายพันบาท หลังพยายามลดรายจ่ายอยู่นาน แต่ก็ลดอะไรไม่ได้อีก

หลังตรวจดูรายละเอียดหนี้ พบว่า ท่านนี้มีหนี้ทั้งในสถาบันการเงินและนอกระบบอยู่รวมกันหลายแสนบาท ผมจึงให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาทีละขั้น เริ่มจากคุมรายจ่าย เจรจากับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้แต่ละแห่ง (ขอลดดอกเบี้ย หรือผ่อนเฉพาะดอกเบี้ย รวมไปถึงการขอผ่อนผันการชำระชั่วคราว) ซึ่งสุดท้ายตกลงกับธนาคารเป็นผ่อนเฉพาะดอกเบี้ยชั่วคราวได้ทั้งหมด ซึ่งก็พอช่วยเรื่องสภาพคล่องได้ระดับหนึ่ง

จากนั้นก็เริ่มมองหาสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์รวมหนี้เป็นก้อนเดียว เปลี่ยนหนี้จากนอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนโหดมาอยู่ในระบบที่มีข้อเสนอที่ดีกว่า และช่วยลดภาระได้อย่างมาก เมื่อสภาพคล่องมากขึ้น ก็ให้นำสภาพคล่องส่วนเกินมาทยอยโปะหนี้ทีละน้อย

สุดท้ายมองหารายรับที่อาจจะมีเข้ามาในช่วงเวลาอันใกล้ เช่น โบนัส หรือคอมมิชชั่น แล้ววางแผนกันส่วนหนึ่งมาชำระหนี้ เพื่อลดมูลหนี้ลง และอาจหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระยะยาว

ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ และแก้ปัญหาไปทีละขั้น ก็สามารถผ่านปัญหาไปได้ในที่สุด

สำหรับหนี้ เวลาไม่เคยช่วยแก้ปัญหาอะไร หากปล่อยปัญหาทิ้งไว้ แถมเวลาที่ผ่านไป ยังอาจทำให้เราต้องเสียดอกเบี้ยค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามที่ตกลงทำสัญญากันไว้ตั้งแต่วันที่ขอสินเชื่ออีกด้วย จำไว้ว่า การเป็นหนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่การวางแผนและการบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ดีต่างหาก ที่จะนำปัญหาและความทุกข์ในระยะยาวมาให้

เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนกู้ยืม หาเงื่อนไขทางการเงินที่ดีที่สุดสำหรับความจำเป็นของเรา บริหารจัดการหนี้อย่างมีระบบและเป็นระเบียบ และหากเกิดปัญหา ก็หันหน้าเข้าแก้ไข อย่าปล่อยปละละเลย หนี้ไม่ใช่ปีศาจ ดอกเบี้ยไม่ใช่ฝันร้าย เราทุกคนสามารถขจัดมันได้ แค่วางแผนกันดี ๆ ครับ

ที่มา krungsri.com


ทำไมต้องใช้ Passive Voice?

[Verb to be + past participle] คือรูปประโยคของประโยคชนิดที่เรียกกันว่า Passive voice หรือที่ภาษาไทยเรียกว่ากรรมวาจก มีลักษณะคือเอากรรมของประโยคขึ้นก่อนเพื่อให้เป็นผู้ “ถูกกระทำ” นั่นเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น “The cat was bit.” (แมวถูกกัด) เป็นต้น – แต่ทำไมเราถึงต้องเขียนประโยค Passive voice ล่ะ ในเมื่อภาษาอังกฤษเองก็เขียนประโยค Active voice ได้นี่นา เอาล่ะ วันนี้ DailyEnglish จะมาเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องใช้ประโยคกรรมวาจกกันจ้า

whyusepassivevoice

ไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้กระทำ (ประธานของประโยค) เป็นใคร

ในบางกรณี เราไม่รู้จริงๆ ว่าประธานของประโยคนั้นเป็นใครหรือเป็นอะไร จึงต้องใช้ประโยคกรรมวาจกเพื่อละประธานของประโยค (ที่เราไม่รู้) ออกไป และพูดถึงกริยาที่เกิดขึ้นอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น หมาตัวหนึ่งถูกยิงมา เราวิ่งมาเจอมันแล้วต้องการจะบอกเล่าต่อ แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่าใครคือคนถือปืนมายิงเจ้าหมาตัวนี้กันแน่ เราจึงต้องพูดว่า

The dog was shot.
(หมาตัวนั้นถูกยิง)

แต่หากเรารู้ว่าผู้กระทำคือใครส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้เป็นกัตตุวาจก (Active voice) มากกว่า อย่างเช่นถ้าเรารู้ว่าไมเคิลคือคนที่ยิงหมาตัวนั้น เราก็จะพูดไปเลยโดยไม่ต้องละประธานว่า

Michael shot the dog.
(ไมเคิลยิงหมาตัวนั้น)

ไม่ต้องการระบุประธานของประโยค

การละประธานนั้นนอกเหนือจากสาเหตุว่าเราไม่รู้ว่าผู้กระทำเป็นใครแล้ว ยังละได้โดยจงใจเพื่อให้เห็นว่าเราต้องการเน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าจะเน้นว่าใครเป็นผู้กระทำหรือว่าพยายามจะเลี่ยงถึงการพูดถึงประธาน (ที่มีเพศ) เพื่อรักษาความเป็นกลาง

ในส่วนของการละประธานเพื่อที่จะเน้นการกระทำและผลนั้น จะยกตัวอย่างได้ เช่น หากพายุฝนเข้าแล้วทำให้รั้วบ้านเสียหาย แต่ผู้พูดและผู้รับสารเองก็รู้อยู่แล้วว่ามีพายุฝน ก็สามารถพูดว่า

The fence was destroyed
(รั้วถูกทำลาย)

โดยที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรทำให้ให้รั้วพังแต่ต้องการเน้นไปที่รั้วว่ามันพัง

ในส่วนของการใช้ประโยคกรรมวาจกเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงประธานอย่างจงใจนั้นพบได้ในงานเขียนประเภทวิชาการ เพราะงานประเภทนี้จะไม่นิยมเขียนด้วยการใช้คำสรรพนาม (I หรือ We) ได้ เนื่องจากจะทำให้งานดูไม่เป็นทางการ จึงต้องละประธานของประโยค และส่วนใหญ่ก็จะเขียนด้วยประโยคกรรมวาจกนี่เอง ยกตัวอย่างเช่น

The argument was proofed to be wrong.
(ข้อโต้แย้งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด)

เห็นไหมล่ะคะว่าจริง ๆ แล้วการใช้ passive voice เนี่ย มันก็มีจุดประสงค์หลัก ๆ ของมันอยู่ ถ้าอยากจะรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรจะใช้ประโยคชนิดนี้ ข้อควรปฏิบัติที่ดีที่สุดก็คือพยายามอ่านให้มาก อ่านสารหลาย ๆ ประเภท เพื่อที่เราจะได้สังเกตได้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ passive voice หรือ เมื่อไหร่ควรใช้ active voice นะคะ

ที่มา dailyenglish.in.th


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 20/06/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,000.00 20,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,296.00 19,647.36 20,600.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,166.40 17,682.62 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 583.00 8,838.28 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 454.00 6,882.64 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,343.00 20,359.88 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  20/06/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55
แก๊สโซฮอล E-20 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04
แก๊สโซฮอล E-85 19.24 19.24 19.24 19.24
แก๊สโซฮอล 91 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28
เบนซิน 95 32.66 33.51 33.11 33.16 32.66 32.66 32.66
ดีเซลหมุนเร็ว 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 26.89 27.57 27.57 27.57 27.57
มีผลตั้งแต่ 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00 16 Jun 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า