สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2560

1 ม.ค. 61 ดีเดย์ราคาที่ดินรอบใหม่ สีลมครองแชมป์สูงสุด

1 ม.ค. 61 ดีเดย์ราคาที่ดินรอบใหม่ สีลมครองแชมป์สูงสุด 1 ล้านบาท/ตร.ว.

จากที่กรมธนารักษ์ได้ยกเลิกการใช้ราคาประเมินเป็นแบบรายบล็อก มาเป็นการประเมินแบบรายแปลง โดยได้ทยอยประเมินราคาที่ดินรายแปลงได้ 18.6 ล้านแปลง ต่อเนื่องจนถึงปี 2560 ได้ประเมินราคาส่วนที่เหลืออีก 13.4 ล้านแปลงจนครบ 32 ล้านแปลง โดยเตรียมประกาศราคาประเมินที่ดินปี 2561 ให้มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นราคาอ้างอิงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561

กรุงเทพฯ ทำเลสีลม แพงสุด 1 ล้านบาท/ตร.ว.
กรมธนารักษ์ ได้ประเมินราคาที่ดิน พบว่า ทำเลที่มีราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงสุดได้แก่ ทำเลสีลม ราคาตารางวาละ 1 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ ทำเลเพลินจิต ตารางวาละ 9 แสนบาท และทำเลสาทร เขตสาทร/บางรัก ตารางวาละ 7.52 แสนบาท และต่ำสุดในเขตบางขุนเทียน บริเวณคลองโล่ง-ชายทะเล ตารางวาละ 500 บาท บริเวณคลองพิทยาลงกรณ์-คลองโล่ง ตารางวาละ 800 บาท และทำเลหนองจอก ตารางวาละ 850 บาท

ต่างจังหวัด หาดใหญ่ แพงสุด 4 แสนบาท/ตร.ว.
ส่วนในต่างจังหวัด พบว่า ทำเลที่มีราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงสุดได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา บริเวณ ถ.ประชาธิปัตย์ ราคาตารางวาละ 4 แสนบาท และราคาต่ำสุด อยู่บริเวณโคกเจริญ จ.ลพบุรี ตารางวาละ 20 บาท อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตารางวาละ 2.5 แสนบาท และถนนเลียบหาดพัทยา จ.ชลบุรี ตารางวาละ 2.2 แสนบาท และต่ำสุดในเขต อ.กัลยาณิวัฒนา แม่แจ่ม อมก๋อย จ.เชียงใหม่, อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ตารางวาละ 25 บาท และ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก, อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ตารางวาละ 30 บาท

ที่ดินสีลมครองแชมป์สูงสุด 1 ล้านบาท/ตร.ว.

ที่ดินสีลมครองแชมป์สูงสุด 1 ล้านบาท/ตร.ว.

ลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านเตรียมพัฒนาที่ราชพัสดุ
ในปี 2561 ทางกรมธนารักษ์ยังมีแผนผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมในหลายโครงการบนพื้นที่ราชพัสดุ มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นล้านบาท อาทิ การพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตเป็นศูนย์กลางคมนาคม และคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ การพัฒนาที่ดินบริเวณศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดให้เอกชนร่วมประมูลเพื่อพัฒนาที่ราชพัสดุเขตเศรษฐกิจพิเศษ ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ตาก และนครพนม ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยจะเปิดประมูลไม่เกินไตรมาส 3 ปี 2561

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนการใช้ราคาประเมินแบบรายแปลงปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการแจ้งอาจจะมีการประกาศราคาประเมินมากกว่าหรือน้อยกว่า 32 ล้านแปลงก็ได้ โดยราคาประเมินที่ดินทั้งหมดจะรองรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2562

https://www.ddproperty.com


ขานรับผังกทม.ใหม่ ให้เอฟเออาร์15ต่อ1จุดตัด-สถานีร่วมรถไฟฟ้า

ผังกทม.เปย์ ไม่อั้น เพิ่มความหนาแน่นย่านใจกลางธุรกิจ ให้เอฟเออาร์ 15 ต่อ 1 แถมขยายรัศมีพัฒนา จาก 500 เมตร เป็น 1,000 เมตร จุดตัดรถไฟฟ้า
การใช้กลไกทางผังเมืองผลักการพัฒนาของดีเวลอปเปอร์อยู่ในวงล้อมรถไฟฟ้ากลางเมือง ด้วยโบนัสจูงใจสร้างเพิ่มได้เต็มพิกัด

รศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภาควิชาผังเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าทีมศึกษาการยกร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4 เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า พิจารณาขยายพื้นที่พัฒนารอบสถานีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จาก 500 เมตร เป็น 800 -1,000 เมตร เพื่อจูงใจเอกชนลงทุน โดยเน้นเฉพาะจุดตัดหรือสถานีร่วมรถไฟฟ้า ที่เปิดให้บริการแล้ว เนื่องจากเป็นสถานีใหญ่ที่มีคนมาใช้บริการเชื่อมต่อจำนวนมาก เหมือนกับต่างประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศในแถบยุโรป เป็นต้น ดังนั้นพื้นที่โดยรอบจึงต้องส่งเสริมให้มีการพัฒนาสูงสุด

หากจุดตัดไหน ยังเปิดไม่ทันการบังคับใช้ผังเมืองใหม่ ก็ต้องใช้เกณฑ์ที่ 500 เมตรและรอแก้ไขปรับปรุงผังครั้งในคราวต่อไป
โดยสถานีร่วมที่เปิดให้บริการปัจจุบันมี สถานีอโศก-สุขุมวิท, จตุจักร-หมอชิต, บางซื่อ-เตาปูน,พญาไท เป็นต้น แต่เงื่อนไขต้องเป็นไปตามสีผังการใช้ประโยชน์ที่ดินที่กำหนด และ ค่าเอฟเออาร์ (สัดส่วนอาคารรวมต่อพื้นที่ดิน) แต่รัศมีที่ขยายเพิ่มจะวัดจากพื้นที่ที่ติดแนวถนนและรถไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงที่ดินในซอย เนื่องจากเป็นอำนาจของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ควบคุมความสูงอาคารไม่เกิน 8 ชั้น
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
สำหรับสถานีร่วมในอนาคตที่อยู่ระหว่างก่อสร้างหากแล้วเสร็จก็สามารถพัฒนาได้ในรัศมีที่กำหนดเช่นกัน อาทิ สถานีบางหว้า จุดตัดของสายสีเขียวและสีนํ้าเงิน ปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายในพื้นที่รอบสถานีจำนวนมาก สถานีท่าพระ สถานีจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงินทั้ง 2 เส้นทาง สถานีห้าแยกลาดพร้าว/พหลโยธินจุดตัดของรถไฟใต้ดินกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) ที่ห้าแยกลาดพร้าว ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาเกิดขึ้นจำนวนมาก
ขณะที่นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า บริษัทที่ปรึกษาได้ สำรวจเส้นทางรถไฟฟ้า พบว่าตามหลักวิศวกรรมแต่ละสถานีห่างกันประมาณ 1-1.5 กิโลเมตร บางสถานี เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ถึง 1 กิโลเมตร หากสถานีร่วมสามารถพัฒนาตึกใหญ่เกิน 1 หมื่นตารางเมตรได้ภายในรัศมี 1,000 เมตรรอบสถานี ก็อาจขยายไปชนกับอีกสถานีได้ ขณะเดียวกันการวัดรัศมี 500-1,000 เมตร จะวัดแบบไหน เช่นวัดจากจุดกึ่งกลางสถานี หรือวัดจากเชิงบันไดสถานี
สำหรับผลการศึกษา ยังกำหนดให้เพิ่มสีการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพิ่มความหนาแน่นในการพัฒนาพื้นที่ ย่านธุรกิจใจกลางเมืองที่ไม่ใช่เกาะรัตนโกสินทร์ อาทิ สุขุมวิท สีลม สาทร พระราม 9 รัชดาภิเษก โดยเพิ่มค่าเอฟเออาร์ (สัดส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน) จาก 10 ต่อ 1 เป็น 15 ต่อ 1 สร้างได้ 15 เท่าของแปลงที่ดิน เพื่อต้องการเพิ่มความหนาแน่นในใจกลางเมือง แต่จะต้องมีพื้นที่เปิดโล่งอยู่แนวรถไฟฟ้า, จุดตัดรถไฟฟ้า ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ ขณะเดียวกันหากถนนซอย ที่อยู่ในรัศมีของสถานีรถไฟฟ้า หากมีเขตทางกว้างไม่ถึง 10 เมตร ก็ไม่สามารถสร้างตึกสูงได้ ซึ่งจะสร้างได้ตามที่ กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดคือ ไม่เกิน 8 ชั้น
“สมาคมฯเห็นด้วยกรณีการเพิ่มพื้นที่การพัฒนา แต่ปัญหาคือจะมีที่ดินเหลือให้พัฒนาหรือไม่ ขณะเดียวกันหากสร้างสูงมากหรือพื้นที่ขายมากเกินความต้องการ จะได้รับผลกระทบตามมา ซึ่งต้องพิจารณาส่วนนี้ด้วย ส่วนการศึกษาการโอนสิทธิ์เหนือหลังคา ต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่นายทุนไปเหมาพื้นที่เหนือหลังคาบนที่ดิน ซึ่งเป็นท้องนาชานกทม. แล้วไปสร้างตึกสูงใจกลางเมืองมองว่าไม่น่าจะทำแบบนั้น ขณะเดียวกันควรมีตัวกลางมาประเมินและทำหน้าที่ซื้อขายเหมือนต่างประเทศเพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดความเละเทะได้” นายพรนริศ กล่าว

http://www.bkkcitismart.com


เผยคนไทยมีหนี้เฉลี่ย 177,128 บาทต่อครัวเรือน

“สำนักงานสถิติแห่งชาติ” เผยคนไทยมีหนี้สินต่อรายได้เพิ่มขึ้น 6.6 เท่า เฉลี่ย 177,128 บาทต่อครัวเรือน ชี้หนี้นอกระบบครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานสถิติฯได้ทำสำรวจข้อมูลโดยวิธีการสำรวจตัวอย่างและสำมะโนประชากรประมาณ 26,000-80,000 ราย ในด้านต่างๆ โดยจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในช่วงครึ่งปีแรก 2560 จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สิน และทรัพย์สินของครัวเรือน ตลอดจนลักษณะที่อยู่อาศัย พบว่าครัวเรือนไทยทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ย 26,973 บาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 21,897 บาทต่อเดือน โดยรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี และส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเกือบทุกภาคและทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งอัตราการเพิ่มของรายได้อยู่ที่ 0.1% น้อยกว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 1.7% และมีแนวโน้มว่าผลสำรวจรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนไทยปี 2560 จะมีแนวโน้มใกล้เคียงตัวเลขในช่วงครึ่งปีแรก ในทางกลับกันพบว่าภาคครัวเรือนไทยมีการออมลดลง

โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีเงินออมเฉลี่ย 5,076 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นสัดส่วนเงินออมต่อรายได้ 18.8% และเมื่อเทียบหนี้สินต่อรายได้ของครัวเรือนในรอบ 11 ปี ตั้งแต่ปี 2550-2560 พบว่าหนี้สินต่อรายได้ในปี 2554 และ 2558 ต่ำสุดคือ 5.8 เท่าแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 6.6 เท่าในปี 2560 หรือเฉลี่ย 177,128 บาทต่อครัวเรือน โดยมีข้อสังเกตว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะมีค่าใช้จ่ายและหนี้สินสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ในส่วนของหนี้นอกระบบของครัวเรือนในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 6.2% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ 4.9% และมีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ 3.7%

“ในช่วงครึ่งปีแรกพบว่าครัวเรือนที่มีหนี้สินคิดเป็น 51% ของครัวเรือนทั้งประเทศ หรือคิดเป็น 11 ล้านครัวเรือน โดยมีจำนวนหนี้สินเฉลี่ย 177,128 บาทต่อครัวเรือน หรือประมาณ 6.6 เท่าของรายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในครัวเรือน แบ่งเป็น การใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค 40.3% ซื้อบ้านหรือซื้อที่ดิน 34% และหนี้เพื่อใช้ในการศึกษา 1.8% และการก่อหนี้เพื่อใช้ในการลงทุนและอื่นๆ แบ่งเป็น หนี้ใช้ทำการเกษตร 12.9% และใช้ทำธุรกิจ 10.5% โดยจะเห็นว่าสาเหตุการเป็นหนี้ส่วนใหญ่นำมาใช้ในครัวเรือน ซึ่งเป็นการก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” นายภุชพงค์ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com


วิทยาการยามะเร็งออกแบบรักษาเฉพาะคน

วิทยาการทางการแพทย์จุดความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็ง แพทย์ไทยในสหรัฐนำเสนอเทคนิคการตรวจรักษาระดับยีน ระบุผลจากโครงการถอดรหัสพันธุกรรมทำให้รู้ลึกระดับดีเอ็นเอส่วนบุคคล นำมาสู่การพัฒนายาส่วนบุคคลที่จำเพาะต่อยีนกลายพันธุ์

วิทยาการทางการแพทย์จุดความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็ง แพทย์ไทยในสหรัฐนำเสนอเทคนิคการตรวจรักษาระดับยีน ระบุผลจากโครงการถอดรหัสพันธุกรรมทำให้รู้ลึกระดับดีเอ็นเอส่วนบุคคล นำมาสู่การพัฒนายาส่วนบุคคลที่จำเพาะต่อยีนกลายพันธุ์ ด้านแพทย์รามาฯรับทุนวิจัย สวรส.และวช.ติดตามรูปแบบยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็งปอด เล็งสกัดสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรพัฒนายาต้านมะเร็ง

  “มะเร็ง” เป็นโรคที่มีอัตราการตายสูงสุดทั้งในไทยและทั่วโลก จึงเป็นโรคที่ทุกคนให้ความสำคัญ และศึกษาวิจัยเพื่อหาวิธีรักษาที่ดีที่สุด โดยเฉพาะยารักษาแบบพุ่งเป้าที่สามารถออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงน้อยลงและเกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษา ซึ่งยาแบบพุ่งเป้านี้เองได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการแพทย์แบบจำเพาะบุคคล

อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก ในประเทศไทยเองมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 6 หมื่นคนต่อปี ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรไทยมานับตั้งแต่ปี 2543 ในขณะที่ทั่วโลกมีรายงานการเสียชีวิตปีละเกือบ 8 ล้านคน โดยในกลุ่มผู้ชายพบมากสุดคือ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะที่กลุ่มผู้หญิงจะพบมะเร็งเต้านมและมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์มากที่สุด

รักษาด้วยยาเฉพาะบุคคล

นพ.พรชัย จงเลิศธรรม แพทย์ด้านมะเร็งวิทยาและประธานกรรมการด้านโรคมะเร็ง ณ MaryLanning Healthcare สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยวิธีมาตรฐาน จะเริ่มจากการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อประเมินว่า เป็นมะเร็งจริงหรือไม่ หากใช่ ก็ต้องประเมินวิธีรักษา ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด รังสีรักษา หรือยาเคมีบำบัด

แต่ปัจจุบันมีการตรวจในระดับยีนหรือโครโมโซมเพิ่มขึ้น ร่วมกับการให้ยาเฉพาะเจาะจงหรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต้านมะเร็งในระยะลุกลามหรือระยะที่ 4 ซึ่งเรียกว่า การแพทย์ยุคใหม่แบบการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized healthcare) เป็นผลพวงจากความรู้ด้านเซลล์ต้นกำเนิด โดยค้นพบว่าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงมีความน่าจะเป็นที่จะตอบสนองต่อยาและการรักษาแบบพุ่งเป้าได้ต่างกัน

ทั้งนี้ แพทย์จะใช้เทคนิคตัวชี้วัดทางชีวภาพ (ไบโอมาร์กเกอร์) ตรวจหาลักษณะจำเพาะของเซลล์มะเร็งที่อยู่ในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งแต่ละคน และเพื่อเลือกยาที่เหมาะสมที่สุด เทคนิคดังกล่าวสามารถทำได้ทั้งในระดับโปรตีนและดีเอ็นเอ ซึ่งในระดับดีเอ็นเอจะให้ข้อมูลที่ละเอียดและซับซ้อนมากกว่า เนื่องจากการเกิดโรคมะเร็งมีสาเหตุจากการกลายพันธุ์ของยีนในร่างกาย ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป

ความก้าวหน้าทางการศึกษาวิจัยทำให้เทคนิคไบโอมาร์กเกอร์พัฒนามากขึ้น ทั้งมีฐานข้อมูลครอบคลุมดีเอ็นเอส่วนใหญ่ที่มีการศึกษาว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วยการตรวจเพียงครั้งเดียว ช่วยลดปริมาณชิ้นเนื้อตัวอย่างที่ต้องเก็บจากคนไข้ ลดระยะเวลา และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจมากขึ้น จึงเปลี่ยนโฉมการตรวจรักษาไปสู่การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุการเกิดมะเร็งและรักษาแบบส่วนบุคคล เป็นเสมือนใบเบิกทางสู่การแพทย์เฉพาะบุคคลยุค 2.0 อย่างเต็มรูปแบบ

ปูทางสู่การค้นหายาใหม่

มะเร็งปอดเป็นโรคที่สำคัญ และเป็นสาเหตุการตายการตายอันดับ 1 ของมะเร็งทั้งหมด แต่ในแง่อุบัติการณ์พบมากเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มของโลก เป็นความท้าทายสำหรับนักวิจัยและแพทย์ที่จะหาวิธีรักษาชีวิตผู้ป่วย และเมื่อเทคโนโลยีเอ็นจีเอส (Next Generation Sequencing: NGS) ช่วยค้นหายีนกลายพันธุ์ เพื่อหายารักษาที่เหมาะสม

ผศ.พญ. ธัญนันท์ เรืองเวทย์วัฒนา อายุรแพทย์มะเร็ง โรงพยาบาลรามาธิบดี ใช้เทคโนโลยีเอ็นจีเอส วิเคราะห์ยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็งปอด พบไทยมียีนกลายพันธุ์ 2 ชนิดคือ BRAF และ CMet ที่มากกว่าประเทศอื่น เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่จะต่อยอดสู่การพัฒนายารักษามะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะการใช้สมุนไพรไทยเป็นสารออกฤทธิ์หลัก

“ในอดีตผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะแพร่กระจายมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก แต่ระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมานี้เราอยู่ในยุคที่การแพทย์พัฒนาไปอย่างมาก มียาเคมีบำบัดรุ่นใหม่ที่ได้ผลดีขึ้น แต่ก็มีผลข้างเคียงที่มากขึ้นตาม ทำให้วงการแพทย์พัฒนาการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เพื่อให้การรักษาดียิ่งขึ้น”

มะเร็งปอดแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (SCLC) พบมากในผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งไทยมีผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เพียง 15% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด และชนิดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (NSCLC) ที่มีผู้ป่วยไทยถึง 85% เป็นแม้จะไม่ได้สูบบุหรี่ ด้วยมียีนกลายพันธุ์ที่เปลี่ยนเซลล์ปกติเป็นเซลล์มะเร็ง

ความก้าวหน้าในการรักษาเฉพาะเจาะจงนี้ ทำให้มียาที่จำเพาะต่อยีนกลายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) แล้ว 4 ชนิด คือ ยีนกลายพันธุ์ EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) ซึ่งเชื่อว่ามีบทบาทในการเติบโตของเซลล์มะเร็ง การกลายพันธุ์ของยีน EGFR เกิดขึ้นใน 10-15% ของผู้ป่วยในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และ 30-40% ของผู้ป่วยในเอเชีย, ยีน Anaplastic lymphoma kinase หรือ ALK ที่มีบทบาทในการเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ เมื่อมีการจัดเรียงใหม่ ยีน ALK อาจส่งผลให้เกิดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง, ยีน ROS1 และยีนกลายพันธุ์ BRAF

“การรักษาด้วยยามุ่งเป้าที่จะตรงไปที่เซลล์มะเร็งหรือยีนกลายพันธุ์นี้ จะใช้ในผู้ป่วยระยะลุกลาม หรือระยะที่ 4 ของโรค และต้องมีการตรวจทางพันธุกรรม หายีนกลายพันธุ์ที่แน่นอน เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษา และเลือกยามุ่งเป้าที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย”

นักวิจัยไทยสู้มะเร็งปอด

ผศ.พญ. ธัญนันท์ กล่าวว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีมีคณะทำงานที่ร่วมมือกันแบบสหสาขา ในรูปของ RLC Model (Ramathibodi Lung Cancer Consultant) ที่นอกจากดูแลคนไข้ร่วมกัน ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังทำงานวิจัยร่วมกัน ด้วยทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ง่ชาติ (วช.) เพื่อดูรูปแบบของยีนกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ ของผู้ป่วยมะเร็งปอดในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีเอ็นจีเอส (Next Generation Sequencing: NGS)

ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยไทยมียีนกลายพันธุ์ BRAF 10% ของผู้ป่วย มากกว่าประเทศอื่นๆ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4% ในขณะเดียวกัน ก็พบยีนกลายพันธุ์ CMet ที่ไทยมีมากกว่าประเทศอื่นเช่นกันที่ 5-6% นับเป็นความจำเพาะที่จะเอื้อในการวิจัยและพัฒนายาเพื่อรักษามะเร็งปอดของผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

“นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนายา (Excellent Center of Drug Development: ECDD) ในการศึกษาวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งของเราเอง ด้วยข้อมูลของโรคที่จำเพาะกับผู้ป่วยไทย เรายังมีสมุนไพรและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นยา รวมถึงความพร้อมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ โรงงานผลิตยา สถาบันวิจัย ที่หากเราเริ่มขยับและทำอย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งปอด มีชีวิตที่ยืนยาว คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีกด้วย” อายุรแพทย์มะเร็ง รพ.รามาธิบดี กล่าว

จุฬาฯระดมทุนวิจัย 2พันล.

นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ อยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาภูมิต้านมะเร็ง ภายใต้กรอบความเชื่อที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คาดว่าในปี 2561 อาจจะได้เห็นวัคซีนต้นแบบเพื่อการรักษา “ไม่ใช่” วัคซีนเพื่อการป้องกัน อีกทั้งวัคซีนตัวนี้จะใช้ได้กับเฉพาะบุคคลเท่านั้น เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ เบื้องต้นนำร่องศึกษาในกลุ่มยารักษามะเร็งสำไส้ และมะเร็งรังไข่

โครงการวิจัยนี้ต้องการงบสนับสนุน 2,000 ล้านบาทน่าจะดำเนินการต่อไปได้ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันที่จุฬาฯ สนับสนุน 160 ล้านบาท เป็นค่าครุภัณฑ์ 50% จึงเกิดแนวคิดระดมทุนขึ้นมาโดยเชิญผู้ประกอบรายใหญ่เข้ามาร่วมลงทุน หรือการบริจาคเงินสนับสนุนผ่านทางคณะแพทยศาสตร์เพื่อการวิจัยจะสามารถหักภาษีได้ 2เท่า (facebook.com/CUCancerIEC)

http://www.bangkokbiznews.com


5 ข้อดีของ ‘กาแฟ’ ประโยชน์ดีๆ ต่อร่างกายและสมอง ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เพื่อนๆ ชาวเว็บมีใครชอบดื่ม กาแฟ กันบ้างหรือเปล่าคะ? แล้วรู้กันหรือไม่ว่า นอกจากกลิ่นหอมๆ และรสชาติขมกลมกล่อมแล้วของมันแล้ว กาแฟยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วยนะคะ

วันนี้ ในบ้าน จะพาทุกคนไปชม 5 ประโยชน์ของกาแฟ ที่ส่งผลต่อร่างกายของผู้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลดอาการปวดศีรษะ ลดน้ำหนัก หรือช่วยกระตุ้นความจำ ใครที่ชื่นชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ต้องตามไปดูเลยค่ะ

1. บรรเทาอาการปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะทั่วไปหรือปวดไมเกรน สามารถแก้ไก้โดยการดื่มกาแฟดำ เนื่องจากในกาแฟจะมีสารคาเฟอีน ที่มีประสิทธิภาพในการทำลายความเจ็บปวดที่ขึ้นสูงถึง 40%

2. ลดน้ำหนัก

เมื่อฮอโมน Leptin ที่อยู่ในร่างกายเรามีระดับต่ำลง ไขมันก็จะเริ่มก่อตัว ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่กาแฟ มันจะทำหน้าที่เพิ่มฮอโมน Leptin ขึ้นมา ที่เมื่อเราดื่มเข้าไปแล้ว มันก็จะเข้าไปสลายไขมัน ทำให้หนักตัวของเราลดลง

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง

กาแฟจะเข้าไปกระตุ้นสมาธิ ความสนใจ และความตื่นตัวในร่างกาย ยิ่งถ้าเราเติมน้ำตาลลงไปด้วย กลูโคสและคาเฟอีนจะทำปฏิกิริยาร่วมกัน ช่วยเสริมให้สมองเรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ข้อควรระวังคือ ไม่ควรดื่มกาแฟเวลาท้องว่าง เพราะมันอาจจะส่งผลให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้นะคะ

4. เพิ่มความดันโลหิต

ใครที่มีความดันโลหิตต่ำ ลองหันมาดื่มกาแฟดูสิคะ เพราะกาแฟจะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของชีพจร ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีมากขึ้น

หมายเหตุ ข้อนี้อาจจะไม่มีเหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคหัวใจ หรือเป็นความดันโลหิตสูงนะคะ

5. กระตุ้นความจำ

นอกจากกาแฟจะช่วยปรับอารมร์ของเราให้คงที่แล้ว มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจำด้วยนะคะ แต่มันก็เป็นแค่เพียงชั่วระยะเวาสั้นๆ เท่านั้น แต่ในบางสถานการณ์มันก็สามารถยืดระยะเวลาความจำของเราได้นานถึง 1 ชั่วโมงเลยล่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์จริงๆ ก็ควรจะเป็นกาแฟเพียวๆ ไม่เติมน้ำตาลหรือนมนะคะ

www.naibann.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 22/12/2560​

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,550.00 19,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,266.00 19,192.56 20,150.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,139.40 17,273.30 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 570.00 8,641.20 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 443.00 6,715.88 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,312.00 19,889.92 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  22/12/2560

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 27.85 27.85 27.85 35.41 27.85
27.85
27.85
27.85
27.85
แก๊สโซฮอล E-20
25.34
25.34
25.34
25.34
25.34
25.34
25.34
25.34
25.34
แก๊สโซฮอล E-85 20.64 20.64 20.64 20.64
แก๊สโซฮอล 91 27.58 27.58 27.58 27.58 27.58 27.98 27.58 27.58 27.58 27.58
เบนซิน 95 34.96 35.41 35.46 34.96 34.96 34.96
ดีเซลหมุนเร็ว 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 29.79 29.79 29.79 29.79 29.79
มีผลตั้งแต่ 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00 21 Dec 05:00

 

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า