เอไอเอปักหมุด“AIA East Gatewayสำนักงานให้เช่าแห่งที่ 3”บูมทำเลทองบางนา
เอไอเอ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัวอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมพร้อมพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าแห่งใหม่ “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” (AIA East Gateway) ติดถนนบางนา-ตราด กม.4.5 ถือเป็นอสังหาฯแห่งที่ 3 ของเอไอเอ หลังประสบความสำเร็จจากอาคารสำนักงานให้เช่า2โครงการ
บางนาหนึ่งในทำเลศักยภาพโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ขยายการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟฟ้า ทางพิเศษ(ทางด่วน) สนามบินสุวรรณภูมิ อีกทั้งยังเป็นเกตเวย์เชื่อมโยงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีและเป็นเส้นทางสายหลักเชื่อมเข้ากรุงเทพฯชั้นในได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันได้รับความนิยมสูงจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ นักลงทุนชั้นนำทั้งไทยและต่างชาติปักหมุดขึ้นโครงการเป็นจำนวนมาก
นายโยฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องภายใต้วิสัยทัศน์ของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ต้องการขยายฐานการลงทุนเพิ่มในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือไปจากธุรกิจประกันชีวิตที่เป็นธุรกิจหลัก
เพื่อมีส่วนช่วยเป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย และตอบรับไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพของคนไทยในยุค Next Normal ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เอไอเอประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าระดับพรีเมียมไปแล้ว 2 โครงการ
โครงการ คือ อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ บนถนนรัชดาภิเษก และอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ย่านสาทร ปัจจุบันทั้ง 2 อาคารมีอัตราการเช่าสูงถึง 90% สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ในปีนี้เอไอเอเตรียมจะเปิดตัวอาคารสำนักงานให้เช่าระดับพรีเมียมแห่งที่ 3 “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ติดถนนบางนา-ตราด กม.4.5 ซึ่งจะช่วยรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคตของกลุ่มบริษัทและนักลงทุนชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ เอไอเอมองเห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจของย่านบางนา-ตราด ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะเป็นย่าน New CBD หรือศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ย่านกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก อีกทั้งยังสะดวกในด้านการคมนาคม และระบบขนส่งทางราง
ที่มีทั้งรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการกลางปีนี้ โดยที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีเอี่ยมประมาณ 350 เมตรเท่านั้น รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเส้นนี้สามารถพาคนเข้า-ออกตัวเมืองได้ง่ายมากขึ้น ตั้งแต่ลาดพร้าวจนถึงสำโรง และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าในอนาคตได้อีกหลายเส้นทาง อาทิ สายสีน้ำเงิน สายสีเทา สายสีส้ม สายสีชมพู Airport Rail Link และสายสีเขียว เป็นต้น
สำหรับอาคาร เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ เป็นอาคารสำนักงานสูง 33 ชั้น คิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 136,000 ตารางเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งตามแผนงานก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ โดยตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้สอยอาคารตามเกณฑ์มาตรฐานของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ WELL Building Standard ระดับโกลด์
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น” ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพ เพื่อสนับสนุนให้ผู้เช่าได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีระดับเวิลด์คลาส อาทิ AIA Vitality Zone ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับให้ผู้ใช้สอยภายในอาคารสามารถเข้ามาใช้ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพได้
นอกจากนี้ยังมีสวนผักออร์แกนิก (Urban Farming) ฟิตเนสเซ็นเตอร์ครบวงจร Trail Network Rooftop Running Track สระว่ายน้ำระบบเกลือ และ Co-Working Area พร้อมความสะดวกสบายด้วยที่จอดรถมากกว่า 1,500 คัน
ด้าน นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากศักยภาพและความโดดเด่นของอาคาร เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ รวมถึงทำเลที่ตั้งที่อยู่ในย่าน New CBD บนถนนบางนา-ตราด กม.4.5 ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่มีความโดดเด่น
ทั้งในเรื่องของความสูงภายในพื้นที่สำนักงานที่สูงถึง 3 เมตร มีดีไซน์ที่ล้ำสมัย โดยใช้เทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานตามมาตรฐานระดับสากล และคำนึงถึงคุณภาพของสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ค้าปลีก สวนพักผ่อน และสถานที่ออกกำลังกายให้กับคนที่ทำงานอยู่ในอาคารแห่งนี้ได้ใช้บริการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้เช่าที่มองหาพื้นที่สำนักงานที่มีคุณภาพ รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้สอยภายในอาคารด้วย”
สำหรับพื้นที่ใช้สอยของอาคารทั้งหมดมีประมาณ 70,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีก 5 ชั้น ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 20 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่รีเทลชั้น 1-3 มีทั้งร้านค้า ร้านกาแฟ และร้านสะดวกซื้อ พื้นที่ฟิตเนส และสระว่ายน้ำบนชั้น 4 และพื้นที่ Co-Working Space บนชั้น 4-5 ส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่าทั้งหมดประมาณ 60,000 ตารางเมตร จะตั้งอยู่บนชั้น 6 – 33 ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 85 ตางรางเมตร ไปจนถึงพื้นที่ขนาดใหญ่เต็มชั้น 2,270 ตางรางเมตร
โดยสามารถจัดสรรพื้นที่การทำงานได้หลายรูปแบบ นอกจากนี้ พื้นที่ระหว่างชั้นยังสามารถติดตั้งบันไดภายในออฟฟิศได้เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งาน เน้นความโปร่งโล่งด้วยความสูงตั้งแต่พื้นถึงเพดาน 3 เมตร ที่สำคัญไม่มีเสากั้นกลางพื้นที่เช่า ทำให้ใช้สอยพื้นที่ได้ทุกตารางเมตร โดยคิดอัตราค่าเช่าเปิดตัวที่ 700 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิด7ข้อกทม.นำร่องขยายเวลาชำระภาษีที่ดิน ถึง มิ.ย.2565
เปิด7ข้อกทม.นำร่องขยายเวลาชำระภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างถึง จากเดิมภายในเดือนเมษายน ให้ชำระได้ถึงเดือนมิถุนายน 2565
มีการประเมินกันว่า นอกจากประชาชนเจ้าของกิจการจะได้รับผลกระทบจากโควิด เศรษฐกิจซบเซาแล้ว ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ ซ้ำเติมค่าครองชีพเจ้าของที่ดินที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีดังกล่าว ส่งผลให้กรุงเทพมหานคร(กทม.)หนึ่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจึงมีนโยบายขยายเวลาชำระเงินสำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี2565ออกไป
ทั้งนี้เมื่อ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 นางสุธาทิพย์ สนเอี่ยม รองปลัดกรุงเทพมหานคร(กทม.) แจ้งว่า กทม.ได้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ดังนี้
1.ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกาศ พร้อมทั้งจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ผู้เสียภาษีแต่ละรายทราบ จากภายในเดือนมกราคม เป็นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565
2.ขยายกำหนดเวลาการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บและรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี จากก่อนวันที่ 16 มีนาคม เป็นก่อนวันที่ 16 เมษายน 2565
3.ขยายกำหนดเวลาการแจ้งการประเมินภาษี โดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี จากภายในเดือนมีนาคม เป็นภายในเดือนเมษายน 2565
4.ขยายกำหนดเวลาการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี จากภายในเดือนเมษายน เป็นภายในเดือนมิถุนายน 2565
5.ขยายกำหนดเวลาการผ่อนชำระภาษี ดังนี้ งวดที่ 1 จากภายในเดือนเมษายน เป็นภายในเดือนมิถุนายน 2565 งวดที่ 2 จากภายในเดือนพฤษภาคม เป็นภายในเดือนกรกฎาคม 2565 และงวดที่ 3 จากภายในเดือนมิถุนายน เป็นภายในเดือนสิงหาคม 2565
6.ขยายกำหนดเวลาการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ จากภายในเดือนพฤษภาคม เป็นภายในเดือนกรกฎาคม 2565
7.ขยายกำหนดเวลาการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขาทราบ จากภายในเดือนมิถุนายน เป็นภายในเดือนสิงหาคม 2565
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ กองรายได้ สำนักการคลัง โทร. 02-224-8266 หรือฝ่ายรายได้ สำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 32.45 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่อง
เงินบาทเปิดตลาด 32.45 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่อง กังวลสถานการณ์ยูเครนรุนแรง ให้กรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.45 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.40 บาท/ดอลลาร์ หลังนักลงทุนปิดรับความเสี่ยงหันมาถือครองดูอลลาร์จากความกังวลต่อสถานการณ์ยูเครนที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น
“บาทอ่อนค่าต่อเนื่องจากเย็นวานนี้ เพราะนักลงทุนปิดรับความเสี่ยง โดยตลาดจับตาดูสถานการณ์ยูเครนที่เกรงว่าอาจรุนแรงเกินกว่าการตอบโต้ทางการค้าและการลงทุน” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.30 – 32.50 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“ส.ว่ายน้ำ” พอใจผลงานนักกีฬาพบดาวรุ่งเเจ้งเกิดเพียบ ในรายการชิงเเชมป์ประเทศไทย
สมาคมกีฬาว่ายน้ำฯพอใจผลงานนักกีฬา ในรายการชิงเเชมป์ประเทศไทย รอบคัดเลือก พบดาวรุ่งเเจ้งเกิดเพียบ หวังเห็นพัฒนาการต่อยอดให้ถึงเส้นทางทีมชาติ
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อุปนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำเเห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเเข่งขันกีฬาว่ายน้ำชิงชนะเลิศเเห่งประเทศไทย ของภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ประจำปี2565 ที่เพิ่งจบไปว่า “รู้สึกดีใจกับพัฒนาการของนักกีฬาที่เข้าร่วมเเข่งขันในรายการนี้ โดยในเดือน ก.พ. ทางสมาคมฯ ได้เปิดโอกาสให้นักกีฬาในโซนภาคใต้ ,ภาคกลาง เเละภาคอีสาน ได้ลงทดสอบความสามารถเเละโชว์ศักยภาพทางกีฬาว่ายน้ำอย่างเต็มที่ หลังติดปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเเข่งขันต้องหยุดชะงัก เพื่อคัดเลือกผู้ที่ทำผลงานดีเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในช่วงเดือน เม.ย.”
พล.อ.ศิริชัย กล่าวต่อว่า” ในส่วนผลงานปรากฏว่า โซนภาคใต้ หรือภาค4 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา ระหว่างวันที่11-13ก.พ.65 มีนักกีฬาเข้าร่วม 245 คน พบว่าสโมสรสมาชิกสามารถพัฒนานักกีฬาจนทำลายสถิติหลายรายการ โดยเฉพาะนักกีฬาดาวรุ่ง อายุ 13-15ปี เเจ้งเกิดอย่างมากมาย ขณะที่โซนภาคกลาง 1 เเข่งขันที่มหาวิทยาลัยการกีฬาเเห่งชาติ จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่18-20ก.พ.65 นักกีฬาทั้ง454 คน จาก 57 สโมสรที่เข้าร่วม เเสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเเละสภาพร่างกายของนักกีฬาหน้าใหม่ที่เเข็งเเกร่ง”
เช่นเดียวกับโซนภาคอีสานหรือภาค 3 จัดขึ้นเป็นครั้งเเรกที่ จ.นครพนม โรงเรียนนครพนมวิทยาคม สร้างความตื่นตัวให้กับบรรดานักกีฬาเเละผู้ปกครอง รวมถึง 35 สโมสรสมาชิกเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นการเรียกกระเเสการเเข่งขันว่ายน้ำของภาคอีสานให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
พล.อ.ศิริชัย กล่าวอีกว่า “อย่างไรก็ตามทางสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ ต้องการเห็นพัฒนาการนักกีฬาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดเส้นทางสู่ทีมชาติในอนาคต หวังว่าหลังจากนี้หากมีการเปิดใช้สระว่ายน้ำได้ทั่วประเทศ ทุกคนจะกลับมาฝึกซ้อมเเละทำเวลาได้ดียิ่งขึ้น โดยมีรายการสำคัญรออยู่ในช่วงเดือนมี.ค. คือการเเข่งขันว่ายน้ำชิงชนะเลิศเเห่งประเทศไทย โซนกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่17-20 มี.ค. 65 เเละโซนภาคเหนือ หรือภาค 5 ที่ จ.อุตรดิตถ์ ระหว่าง18-20 มี.ค.65 เพื่อคัดตัวเเทนภาค ไปเเข่งขันในรอบชิงชนะเลิศใน เม.ย. ต่อไป”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 มะเร็งยอดฮิตในผู้ชาย-ผู้หญิง ครองแชมป์โรคร้ายคร่าชีวิตคนทั่วโลก
ปัญหาด้านสุขภาพกลายเป็นสิ่งที่หลายคนเกิดความกังวลเป็นอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน ท่ามกลางภาวะที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ทั้งโรคอุบัติเก่าโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น และกลายพันธ์อย่างรวดเร็วไม่เว้นแต่ละวัน จนตามแนวทางการรักษาหรือป้องกันกันไม่ทัน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ขณะเดียวกันโรคที่ไม่ติดต่ออย่าง “โรคมะเร็ง” ยังคงครองแชมป์โรคร้ายที่สร้างความกังวลกับผู้คนทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
ด้วยมีอัตราการเสียชีวิตสูง จากตัวเลขของ wordometers.info ประเมินว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งไปแล้ว 5.12 ล้านคน และซึ่งเมื่อย้อนกลับไปปี 2563 พบจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากถึง 10 ล้านคน จากการประเมินของ Globocan ในการเก็บข้อมูลจาก 185 ประเทศ ขณะที่ประเทศไทยหากไม่นับอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว โรคมะเร็งก็ยังคงครองแชมป์สาเหตุคร่าชีวิตประชากรไทยเป็นลำดับต้นๆ มานานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน
ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยังสะท้อนให้ตัวเลขเหตุคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เฉลี่ยสูงถึงวันละ 221 ราย หรือแตะ 80,665 รายต่อปี และเมื่อเจาะลึกลงไปในข้อมูลพบจำนวนผู้ป่วยรายใหม่จากมะเร็งเฉลี่ยถึงวันละ 336 ราย หรือ 122,757 รายต่อปี และกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน เมื่อดารานักแสดงและศิลปิน ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งในปัจจุบันบ่อยขึ้น
นายแพทย์ธนุตม์ ก้วยเจริญพานิชก์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางโรคมะเร็งแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ข้อมูลว่า เมื่อเปรียบเทียบอัตราผู้ป่วยมะเร็งในช่วงปีที่ผ่านมาแล้ว กลับพบว่าในแต่ละวันมีคนไทยเป็นผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งนั้นเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่นำพาตนเองเข้าใกล้มะเร็งแบบไม่รู้ตัว เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่จัด และเกิดภาวะความเครียดเป็นประจำ จากความกดดันด้านการงาน การเงิน และครอบครัว สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทุกคนมีโอกาสป่วยเป็นมะเร็ง และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามระดับใด ฉะนั้นการตั้งใจดูแลตัวเองเชิงป้องกันสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และสามารถการดูแลตัวเองเชิงรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะตามระยะของโรคมะเร็งจึงเป็นเรื่องที่ควรตระหนักและให้ความสำคัญ
5 มะเร็งยอดฮิตในผู้ชาย-ผู้หญิง
มะเร็งที่พบบ่อยสุดในคนไทย แบ่งเป็น มะเร็งในผู้ชายพบ เฉลี่ย169.3 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ติดอันดับที่ 15 ของเอเชีย โดย 5 อันดับแรกของมะเร็งในเพศชายคือ
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งปอด
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ขณะที่มะเร็งในผู้หญิง จากสถิติพบป่วยเป็นมะเร็ง 151 คนต่อประชากร 1 แสนคน อยู่ในอันดับ 18 ของเอเชีย โดยโรคมะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิง
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
- มะเร็งปอด
วิธีป้องกันโรคมะเร็ง
พุทธภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา” หรือ “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” ยังคงเป็นประโยคที่เป็นจริงมาจนถึงปัจจุบัน เพราะคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ฉะนั้นทุกคนสามารถเริ่มปรับพฤติกรรม โดยคำนึงถึงการป้องกัน ให้ห่างไกลโรคมะเร็งด้วย 4 ข้อ ได้แก่
- ลด ละ เลิก สูบบุหรี่ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญ ลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง
- ออกกำลังกายให้มากขึ้น ครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็ง เต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
- หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวก ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้นเต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง เป็นต้น
สัญญาณอันตรายโรคมะเร็ง
นอกเหนือจากการป้องกันแล้ว การดูแลตนเอง หมั่นค่อยสังเกตความผิดปกติของร่างกายถือเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ควรหมั่นตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกายด้วยการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ นับเป็นตัวช่วยส่งสัญญาณล่วงหน้าของโรคมะเร็ง เพื่อให้เราสามารถตั้งหลักรับมือกับมะเร็งได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ได้แก่
- ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ย่อยยาก หรือขับถ่ายยากเป็นเวลานาน เช่น ท้องผูก
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ทางช่องคลอดหรือเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ
- มีแผลเรื้อรังไม่หายใน 3 สัปดาห์
- มีก้อนที่เต้านมหรือตามตัว ไฝโตขึ้น หรือเปลี่ยนสี
- ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
- ร่างกายทรุดโทรม น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
- ประสิทธิภาพการได้ยินลดลง หรือหูอื้อเรื้อรัง เป็นต้น
การตรวจจับสัญญาณเหล่านี้ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์การรักษามะเร็ง รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้เป็นปกติได้มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
How to ask for information ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการสอบถาม
วันนี้เรามีประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสอบถามข้อมูลมาฝากกันค่ะ
1. Can you tell me something about ___?
คุณช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ___หน่อยได้มั้ย?
2. What exactly is it?
มันคืออะไรเหรอ?
3. Do you know anything about___?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ___มั้ย?
4. I’d like to ask about ___.
ฉันอยากถามเกี่ยวกับ___
5. I wonder if you could give me some information about ___.
รบกวนคุณช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ___หน่อยได้มั้ย
6. May I ask you about ___?
ฉันข้อถามคุณเกี่ยวกับ___หน่อยได้มั้ย?
7. I’m interested in knowing more.
ฉันอยากรู้ข้อมูลมากกว่านี้
8. Do you have any idea about ___?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ___มั้ย?
9. What did you know about ___?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ___บ้างมั้ย?
10. Can you explain in detail for me?
คุณช่วยอธิบายรายละเอียดได้มั้ย?
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ชมภาพแรกของดีไซน์ Samsung Galaxy Book Pro 360 2 ก่อนการเปิดตัวไม่นานเกินรอ
อีกไม่นานแล้ว Samsung จะเปิดตัวกลุ่มของ Galaxy Laptop ในงาน MWC 2022 โดนล่าสุดมีภาพ Render ไม่เป็นทางการแต่ก็ใกล้ความจริงมาพอสมควรกับ Galaxy Book Pro 360 รุ่นที่ 2 ออกมาโดยฝีมือของ @Onleaks และ GizNext
ซึ่งภาพที่เห็นคือคอมพิวเตอร์สีส้มและสีออกชมพูที่ดูคล้ายกับ Galaxy Book Pro 360 ตัวเดิมแต่สังเกว่ารุ่นใหม่จะมี Number Pad ซึ่งเป็นไปได้วส่ารุ่นใหม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 15.6 นิ้ว แต่ว่าขุมพลังนั้นคาดว่าจะเปลี่ยนไป ซึ่งยะงไม่ระบุว่าใช้อะไร
ช่องเสียบต่างๆ นั้นการขยายเพิ่มขึ้น คาดว่ารอรงรับการใส่ SD Card ได้แล้วและสามารถพับได้แบบ 360 องศาเหมือนเดิม แถมยังรองรับปากกา S Pen ได้เช่นเคย นอกจากนี้สีที่ดูแล้วอาจจะเป็นชื่อว่า Burgundy Red ซึ่งสีเข้มกว่าปีที่แล้วมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ต้องรอติดตามการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 ประโยชน์ ‘เคล’ ราชินีผักใบเขียวที่สาย ‘สุขภาพ’ ต้องรู้จัก
“เคล” หรือ “คะน้าใบหยัก” เป็นผักใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จนเรียกได้ว่าเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” สารพัดประโยชน์ช่วยเสริมสร้าง “สุขภาพดี” หนุ่มสาวสายเฮลตี้ต้องหามากินด่วนๆ
อีกหนึ่งอาหาร “สุขภาพ” ที่กำลังมาแรงในปี 2020 คงหนีไม่พ้นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจาก “เคล” (Kale) หรือ “คะน้าใบหยัก” โดยพบว่าในช่วง 1-2 ปีมานี้ มีโปรดักส์อาหารเสริมจากผักเคลออกวางจำหน่ายตามท้องตลาดจำนวนมากในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เคลแคปซูล, เคลพาวเดอร์, เคลอบกรอบ(Chips), สมูทตี้เคล ฯลฯ
สำหรับคนไทยคงคุ้นเคยกับ ‘ผักคะน้า’ กันอยู่แล้วในเมนูอาหารไทยทั่วไป แต่สำหรับ “เคล” เป็นคะน้าที่มีหน้าตาแตกต่างออกไป ด้วยขอบใบที่มีลักษณะหยิกหยักไปมา และเป็นพืชที่เน้นกินใบเป็นหลัก
ว่าแต่.. เจ้าผักใบเขียวเข้มชนิดนี้มีประโยชน์อย่างไร? และทำไม “เคล” จึงถูกเรียกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดของหนุ่มสาวสายสุขภาพในยุคนี้? กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนหาคำตอบไปพร้อมกัน
- “เคล” หรือ “คะน้าใบหยัก” มาจากที่ไหน?
“เคล” เป็นผักที่มีตระกูลเดียวกับ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และบร็อคโคลี ผักเคลมีหลากหลายสายพันธุ์ ใบอาจมีได้ตั้งแต่สีเขียว สีม่วง ขอบใบเรียบหรือขอบใบเป็นลอน แต่ที่เป็นที่พบมากที่สุดคือ เคลใบหยักสีเขียวเข้มและมีลำต้นที่แข็งเป็นเส้นๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ทำไม ‘อะโวคาโด’ เป็นสุดยอดซูเปอร์ฟู้ดของสาย ‘สุขภาพ’
ผักเคลมีต้นกำเนิดในแถบประเทศเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกและเอเชียไมเนอร์ ซึ่งได้รับการเพาะปลูกเพื่อเป็นอาหารตั้งแต่ปี 2000 ก่อนคริสตศักราช ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช คะน้าใบหยิกและคะน้าใบแบนถูกพบในประเทศกรีซ ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า ‘คะน้าซาเบลเลียน’ ถือเป็นบรรพบุรุษของคะน้าสมัยใหม่
จากนั้นผักเคลได้แพร่กระจายออกไปทั่วยุโรปในศตวรรษที่ 13 และยังพบบันทึกของชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 14 เขียนถึงผักเคลประเภทต่างๆ อีกทั้งพบผักเคลบางสายพันธุ์มาจากประเทศรัสเซียด้วย ต่อมาผักเคลถูกนำเข้ามาในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาโดยพ่อค้าชาวรัสเซียในศตวรรษที่ 19 จากนั้นผักเคลก็ถูกแพร่ขยายไปสู่โครเอเชีย มีการปลูกผักเคลกันอย่างแพร่หลายในโครเอเชียเพราะปลูกง่ายและราคาไม่แพง จากนั้นมันเป็นที่นิยมมากขึ้นในฐานะผักที่กินได้ในช่วงปี ค.ศ. 1990 เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- “เคล” ในปี 2020 ซูเปอร์ฟู้ดยอดฮิต!
มาถึงในยุคนี้ “เคล” ถูกขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งผักสีเขียวทั้งมวล (Queen Of Greens) และได้รับการยอมรับว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลากหลาย เมื่อเทียบกับผักประเภทอื่นๆ ในปริมาณที่เท่ากัน
โดยผักเคลต้มสุก 1 ถ้วยหรือประมาณ 118 กรัม มีสารอาหารมากมาย เช่น โปรตีน, แคลเซียม, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ธาตุเหล็ก, วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินเค, วิตามินบี1 บี2 บี3, ไฟเบอร์ และที่โดดเด่นสุดๆ คือมีสารลูทีนและซีแซนทีน ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยดูแลดวงตาได้อย่างดี
นอกจากนี้ “เคล” ยังเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ และด้วยความที่มันเป็นผักที่มีสารอาหารหลากหลาย การกินผักเคลให้มากขึ้นจึงเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณสารอาหารให้ร่างกาย
- 10 ประโยชน์จาก “เคล” ที่คนรักสุขภาพต้องรู้
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ผักเคล เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย หากรับประทานเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้
1. เคลมีไฟเบอร์สูง ช่วยลดความเสี่ยง “โรคเบาหวาน”
สมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน แนะนำให้บริโภคอาหารในกลุ่มที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กากใยไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระสูง เนื่องจากมีหลักฐานทางการแพทย์พบว่าอาหารในกลุ่มนี้ช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้
โดยเฉพาะผักที่มีไฟเบอร์สูงก็ยิ่งมีประโยชน์ในแง่ของการป้องกันโรคเบาหวานมากขึ้น มีการศึกษาวิจัยในปี 2018 ชิ้นหนึ่งระบุว่าผู้ที่บริโภคใยอาหารในปริมาณสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยหรือไม่บริโภคเลย นอกจากนี้การบริโภคผักไฟเบอร์สูงยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
2. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันสูง
จากการศึกษาขององค์กร Cochrane เมื่อปี 2559 พบว่าการบริโภคอาหารไฟเบอร์สูงส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดลดลง และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ผู้ที่บริโภคกากใยไฟเบอร์มากขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีระดับคอเลสเตอรอลชนิด “ไม่ดี” (LDL) ลดลง
(Cochrane เป็นองค์กรอิสระที่ไม่ได้แสวงหากำไร มีหน้าที่สร้างฐานความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลการรักษาผู้ป่วยจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งผลิตและเผยแพร่งานวิจัยเชิงสังเคราะห์ Healthcare intervention และสนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์ด้าน Clinical trials)
3. เคลมีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยปกป้องดวงตา
ผักเคลมีสารสำคัญอย่างลูทีนและซีแซนทีนในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่พบมากในผักเคลหรือคะน้าใบหยัก เป็นสารสำคัญทรงพลังที่ช่วยปกป้องดวงตา ไม่ให้สายตาแย่ลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารลูทีนและซีแซนทีนเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อกระจกได้
4. เคลมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็ง
ผักเคลมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และซีลีเนียม ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง มีผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นพบว่าคนที่รับประทานผักที่มีวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่างๆ เพราะสารเหล่านี้จะช่วยป้องกันความผิดปกติและการอักเสบต่างๆ ของเซลล์ในร่างกายได้
5. เคลมีคลอโรฟิลล์สูง ช่วยดักจับสารก่อมะเร็ง
ผักเคลมีคลอโรฟิลล์สูง ซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึม “เอมีนเฮเทอโรไซคลิก” หรือสารก่อมะเร็งจากอาหารประเภทปิ้งย่างได้ จริงๆ แล้วร่างกายมนุษย์ไม่สามารถดูดซึมคลอโรฟิลล์ได้มากนัก แต่คลอโรฟิลล์สามารถดักจับกับสารก่อมะเร็งเหล่านี้และป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ ด้วยวิธีนี้ผักเคลจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลงได้
6. ผักเคลมีโพแทสเซียม ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association : AHA) มีคำแนะนำผู้คนให้บริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมมากขึ้น เนื่องจากโพแทสเซียมสามารถลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง ของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยผักเคลก็เป็นผักอีกชนิดที่มีสารโพแทสเซียมอยู่ค่อนข้างมากเช่นกัน
7. เคลอาจช่วยลดน้ำหนักได้ดีขึ้น
ผักเคลมีคุณสมบัติหลายประการที่เป็นมิตรต่อการ “ลดน้ำหนัก“ นั่นคือ แคลอรี่ต่ำมาก มีไฟเบอร์ และมีน้ำปริมาณมาก แม้จะกินเยอะชามใหญ่ก็ไม่ทำให้อ้วนแถมยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน การรับประทานผักที่มีพลังงานต่ำแบบนี้จึงช่วยลดน้ำหนักได้
8. มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวหนังและเส้นผม
ผักเคลอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนที่ดีซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอตามที่ต้องการ โดยเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการบำรุงรักษาเนื้อเยื่อของร่างกายทั้งหมด รวมถึงผิวหนังและเส้นผม
9. เคลเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ดี
ผักเคลเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ดีที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับเพียงพอในแต่ละวัน โดยแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายพบว่ามีอยู่ในผักเคลเกือบครบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น “แคลเซียม” สำคัญต่อสุขภาพกระดูกและฟัน, มีแมกนีเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคหัวใจได้ มีสารออกซาเลตต่ำ ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุได้ดี (ผักบางชนิดมีออกซาเลตสูง ซึ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุไม่ได้)
10. ไม่ควรกิน “เคล” มากเกินไป
แม้เคลจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ไม่ควรรับประทานจนเกินความพอดี เพราะหากบริโภคมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ หากคุณมีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำหรือที่เรียกว่าไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าสามารถบริโภคผักเคลได้มากน้อยแค่ไหนจึงจะพอดีและไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/02/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,050.00 | 29,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,882.00 | 28,531.12 | 29,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,693.80 | 25,678.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,505.60 | 22,824.90 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 847.00 | 12,840.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 659.00 | 9,990.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,950.00 | 29,562.00 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/02/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 | 35.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.64 | 34.64 | 34.64 | 34.64 | 34.64 | – | 34.64 | 34.64 | 34.64 | 34.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.94 | 27.94 | – | – | – | – | – | – | – | 27.94 |
เบนซิน 95 | 43.16 | – | – | – | 43.61 | – | 43.66 | 43.66 | – | 43.16 |
ดีเซล B7 | 27.94 | 27.94 | 28.94 | 28.34 | 28.44 | 27.94 | 28.34 | 28.24 | 28.34 | 27.94 |
ดีเซล | 27.94 | 27.94 | 28.94 | 28.34 | 28.44 | 27.94 | 28.34 | 28.24 | 28.34 | 27.94 |
ดีเซล B20 | 27.94 | 27.94 | 28.94 | – | 28.44 | – | 28.34 | 28.24 | – | 27.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 33.96 | 33.96 | 35.39 | 34.86 | 35.19 | – | – | – | – | 33.96 |
แก๊ส NGV | – | – | – | – | – | – | – | – | – | – |