จี้ ธปท. ตรวจสอบ “แบงก์พาณิชย์” รับจำนองที่ดิน “เขากระโดง”
สร.รฟท.-ทนายอาสา จี้ ธปท. -ก.ล.ต. ตรวจสอบแบงก์พาณิชย์ รับจำนองที่ดิน “เขากระโดง” 137ไร่ พบหลายแบงก์ติดร่างแหอื้อ
ศึกที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กับกรมที่ดินกรณีออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินรถไฟ ที่กำลังฟ้องร้องเรื่องอยู่ในศาลปกครอง กำลังขยายวงลุกลามไปถึงสถาบันการเงิน
เมื่อนายสกลชัย ลิมป์สีสวรรค์ทนายความอาสาในฐานะแนวร่วมประชาชนและสหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.)ยื่นหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)
เพื่อขอให้ตรวจสอบและชี้แจงความโปร่งใสของธนาคารกรณีธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินซึ่งออกโฉนดโดยมิชอบเนื่องจากเป็นที่ดินของการรถไฟ
สำหรับหลักฐานที่แนวร่วมประชาชนและสหภาพการรถไฟฯ นำไปยื่นประกอบนั้น คือ สำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ดินเขากระโดง สำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 สำเนาคำวินิจฉัยของคระกรรมการกฤษฎีกา มติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ ซึ่งทุกหน่วยงานชี้ขาดตรงกันหมดแล้วว่า ที่ดินเขากระโดง เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ พร้อมแนบแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินพิพาท และสำเนาโฉนดที่ดินที่ธนาคารรับจำนองด้วย
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าธนาคารได้รับจำนองที่ดินในพื้นที่เขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ประมาณกว่า 137 ไร่ ประกอบด้วย
- ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวม 9 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 80 ไร่
- ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รวม 8 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่
- ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รับจำนองหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน รวม 2 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่
- ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รวม 3 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่
- ธนาคาร ออมสิน รวม 5 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่
- ธนาคาร อาคารสงเคราะห์ 3 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่
ล่าสุดนางสิริวิภา สุพรรณธเนศรองเลขาธิการปฎิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)มีหนังสือตอบกลับ ถึงนาย สกลชัย ลิมปสีสวรรค์
โดยมีข้อความระบุว่า ตามหนังสือลงวันที่ 25 มีนาคม 2565 ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) ตรวจสอบความโปร่งใสของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการรับจำนองที่ดินในพื้นที่เขากระโดง
ตำบลอิสาณ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นหลักประกันในการค้ำประกันสินเชื่อ ตามที่ได้พบว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยและเป็นพื้นที่พิพาท ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
โดยประเด็นร้องเรียนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ประสานงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าของผลการพิจารณา สำนักงาน ก.ล.ต.จะแจ้งให้ท่านทราบต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แสนสิริเปิดตัว “Demi สาธุ 49” ทาวน์โฮมหรู 18.9-35 ล้าน แค่ 72 หลัง
แสนสิริ เปิดตัวเรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ “DEMI Sathu49” มูลค่า 1,600 ล้านบาท แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากแสนสิริ เริ่ม 18.9-35 ลบ. ใกล้ CBD สุขุมวิท-สาทร-สีลม ดีไซน์โดดเด่นในแนวคิด “ชีวิตสมดุล” “ชีวิตเมือง” และ “ความสงบผ่อนคลาย” ตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ กับฟังก์ชันรองรับการอยู่อาศัยคนเมือง
26 เมษายน 2565 นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลักเซอรี่แนวราบไทยยังคงส่งสัญญาณบวกและแข็งแกร่ง อุปทานในกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังสูง โดยมีจำนวนหน่วยขายได้ 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขาย 72% ในปี 2564 ที่ผ่านมา
โดยบ้านราคาขาย 10 – 20 ล้านบาทมีดีมานต์มากที่สุด รองลงม่าราคา 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ แสนสิริมองเห็นแนวโน้มโอกาสเติบโตของตลาดลักเซอรี่แนวราบ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำตลาดอสังหาฯ ลักเซอรี่ จากประสบการณ์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 37 ปี และแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน พิสูจน์ความสำเร็จจากผลงานปิดการขาย บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, แบรนด์นาราสิริ และล่าสุด บู โมเดิร์น เรสซิเดนท์ ราคา 35.9 – 80 ล้านบาท หนึ่งใน Sansiri Luxury Collection ย่านโยธินพัฒนา ที่ปิดการขายภายใน 4 เดือน
ขณะที่บ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ระดับราคา 8 – 20 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามปิดการขายรวด 5 โครงการ ทำให้แสนสิริ มียอดขายจากโครงการเซกเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่รวมถึง 11,000 ล้านบาท ยอดโอนรวม 8,900 ล้านบาท และ Sold Out รวมทั้งสิ้น 8 โครงการในปีที่ผ่านมา
ในปีนี้ แสนสิริสานต่อความสำเร็จในผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ รวมทั้งตอกย้ำผู้นำ Taste-Maker Brand ด้วยการเปิดตัว DEMI (เดมี) ลักซ์ชัวรี เรสซิเดนซ์แนวคิดใหม่ แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากแสนสิริ ที่พัฒนาจาก YOU-Centric
ภายใต้แนวคิด “YOU Are Made For Life” ที่มี “คุณ” ทุกคนเป็นศูนย์กลาง ในการพัฒนาโครงการที่คิดมาจากความต้องการของลูกค้า สะท้อนสู่ ฟังก์ชันและงานดีไซน์ที่โดดเด่น เพราะบ้าน ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ พื้นที่ แห่งความสุขและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณค่า ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Space of Home” และ “The Convenience and Modern Lifestyle” ตอบทุกความต้องการของคนรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตทุกด้านได้อย่างสมดุล หลงใหลชีวิตเมือง สะท้อนรสนิยมโดดเด่นไม่เหมือนใคร การพัฒนาโครงการ DEMI ไม่จำกัดว่าจะเป็นโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านเดี่ยว
โดยจะต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ Private Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูง จำกัดจำนวนยูนิตไม่เกิน 100 หลังในแต่ละโครงการ บนที่ดินและทำเลที่เป็น Rare item ดีไซน์และฟังก์ชันโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่ง Customize ให้เหมาะกับในแต่ละทำเลและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า
เจาะกลุ่ม Young Successor ที่ใช้ชีวิตแบบคนเมือง (Urban Lifestyle) และประสบความสำเร็จเร็ว เปิดขายในระดับราคา 15 – 28 ล้านบาท บนโลเคชั่นที่เน้นทำเลเมืองที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง CBD ได้อย่างง่ายดาย โดยทำเลแรก สาธุประดิษฐ์ พร้อมเล็งเปิดตัวในทำเลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
“แสนสิริ เห็นโอกาสที่เติบโตของตลาดลักเซอรี่แนวราบที่มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ Young Successor ที่ไม่ได้มีความเปราะบางเรื่องราคา เนื่องจากตัดสินซื้อบ้านเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต จึงพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้น ภายใต้ชื่อ “DEMI” เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ที่ยังมีอยู่ในตลาด รวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันที่ใช้ชีวิตแบบ Social Distancing ทำให้คนต้องการบ้านที่มีพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่ยังคงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เมืองที่คุ้นเคยและสะดวกสบาย”
“คนรุ่นใหม่ ต้องการใช้พื้นที่สำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ต้องการพื้นที่ ที่สามารถตอบโจทย์ไฟล์สไตล์การใช้วิตที่หลากหลาย ขณะที่แสนสิริมีบ้านเดี่ยว เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ระดับราคา 12-25 ล้านบาท ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย
รวมถึงได้รับการตอบรับที่ดีอยู่แล้ว จึงเห็นช่องว่างทางการตลาดสำหรับที่อยู่อาศัย Luxury Residence เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่ม Young Successor ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมืองเดินทางสะดวกไม่ไกลจาก CBD เพราะยังคุ้นชินกับการชีวิตในเมือง แต่ก็ไม่ได้อยากอยู่คอนโด มองหา space ที่มากขึ้น” ” นายอาณัติ กล่าว
รายละเอียดโครงการแรก DEMI SATHU 49 (เดมี สาธุ 49)” มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ทาวน์โฮม ท่ามกลาง Exclusive Community เพียงจำนวน 72 ยูนิต ราคา 18.9 – 35 ล้านบาท เปิดชมโครงการครั้งแรก 1 พฤษภาคม 2565 นี้ ตั้งเป้าปิดการขายภายในสิ้นปี 2565 นี้ โดยเฟสแรกมียูนิตสร้างเสร็จพร้อมโอน 16 ยูนิต
สำหรับแบบบ้านมีให้เลือก 2 แบบบ้าน คือ DEMI 6 กว้าง 6 เมตร 3 ชั้นครึ่ง 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 212 – 215 ตรม. ที่ดินเริ่มต้น 23 ตรว.
และ DEMI 8 กว้าง 8 เมตร 3 ชั้นครึ่ง พร้อม Panoramic Rooftop 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 300 ตรม. ที่ดินเริ่มต้น 31 ตรว. ดีไซน์ภายใต้แนวคิด “ชีวิตสมดุล” ระหว่าง “ชีวิตเมือง” และ “ความสงบผ่อนคลาย” พร้อมฟังก์ชันการออกแบบผสานการใช้ชีวิตแบบไลฟ์สไตล์คนเมือง ให้ธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพักผ่อน ด้วยแนวคิดการออกแบบที่นำ Ventilation Design หลักการดีไซน์บ้านเย็น ถ่ายเทอากาศเพื่อทำให้คุณภาพอากาศภายในบ้านดีขึ้นตามวิธีธรรมชาติ (Cross Ventilation)
และฟังก์ชันตอบโจทย์การอยู่อาศัยกลุ่ม Urban Lifestyle ที่หลงใหลชีวิตเมือง โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Duplex Master Bedroom เพดานสูงกว่า 5.65 เมตร พร้อมส่วนอเนกประสงค์ ชั้นลอยภายในห้องนอน ในแบบบ้าน DEMI 6 ซึ่งเหมือนยกรูปแบบ Duplex Condominium มาไว้ในทาวน์โฮม Double Volume Living เพดานสูงกว่า 5 เมตร
พร้อมกระจกบานสูงในส่วนรับแขกของแบบบ้าน DEMI 8 สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัวใหญ่ Penthouse Master Bedroom ห้องนอนใหญ่เต็ม Floor ในแบบบ้าน DEMI 8 พร้อม WALK-IN CLOSET และ ห้องน้ำที่รองรับอ่างล้างหน้า His-Her ,Bathtub และ Automatic Toilet
Panoramic Rooftop พื้นที่ชั้นบนสุดภายในบ้าน DEMI 8 ซึ่งเป็นไฮไบต์ในการชมวิวเมือง และสามารถใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ พร้อมติดตั้งลิฟต์ภายในบ้าน DEMI 8 ทุกหลัง จอดรถสูงสุด 3 คัน และสายไฟลงดิน
โครงการยังมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่คลับเฮาส์ Co-Working Space ฟิตเนส ห้องโยคะ และสระว่ายน้ำ พร้อม Jogging Track ในสวนสีเขียวรองรับการพักผ่อนและการออกกำลังกาย Double Gate Security System ดูแลความปลอดภัย และ LIV-24 ดูแลความปลอดภัยภายใต้มาตรฐานแสนสิริ
DEMI SATHU 49 (เดมี สาธุ 49) ตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นที่เชื่อมต่อสู่ สุขุมวิท สาทร สีลมได้ภายใน 10-15 นาที ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วน ถึง 5 จุด ทั้งทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร และทางด่วนศรีรัช ที่เชื่อมสู่กรุงเทพฯ โซนตะวันตกและตะวันออก สะดวกสบายใกล้โรงเรียนชั้นนำ
อาทิ โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจ กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ โรงเรียนนานาชาติเรนทรี โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ และโรงเรียนนานาชาติสาทรใหม่ รวมถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสวนป่าเบญจกิตติ เดมี สาธุ 49 นับว่าตั้งอยู่บนที่ดิน Rare Item
นายอาณัติกล่าวว่า การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบทำได้ยาก เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้เมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และยังเป็นทำเลที่ราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตสูง จากราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ฉบับล่าสุด ราคาประเมินที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ คือ ถนนสีลม อยู่ที่ 700,000 – 1,000,000 บาท/ตารางวา อัตราเติบโตเฉลี่ย ในช่วง 4 ปี อยู่ที่ 22% และราคาประเมินที่ดินทำเลถนนสาทร อยู่ที่ 600,000 บาท/ตารางวา
อัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วง 4 ปี อยู่ที่ 26% ขณะที่ราคาที่ดินในทำเล สาธุฯ – พระราม 3 นั้น มีอัตราการเติบโตพุ่งสูงกว่าราคาที่ดินในโซน CBD โดยอยู่ระหว่าง 37 – 57% เฉลี่ยอยู่ที่ 45% ในขณะที่ราคาที่ดินทำเลถนน สาธุประดิษฐ์ ล่าสุด อยู่ที่ 250,000 บาท ต่อตารางวา เพิ่มขึ้นถึง 57% ในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้นถึง 284% ในเวลา 12 ปี
นอกจากนี้ DEMI SATHU49 ยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แบบในการอยู่อาศัย ทั้งเพื่อลดความร้อนภายในบ้าน ใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ประกอบกับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อาทิ กระจก Euro Grey ป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในบ้าน ถนอมสายตาและช่วยป้องกันการมองเห็นจากภายนอก
เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย Digotal Doorlock ป้องกันการโจรกรรม รวมถึงระบบล็อกอัตโนมัติ ระบบสัญญาณกันขโมยและระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัยผ่าน Mobile พร้อม Sky Light ช่องแสงธรรมชาติชั้นบนสุด บริเวณบันได ประหยัดพลังงานในช่วงเวลากลางวัน และ EV Charger ติดตั้งในบ้านทุกหลัง รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
“เรา เชื่อมั่นว่า “เดมี” จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ตรงใจกลุ่มลูกค้า ที่ประสบความสำเร็จ จากความเชื่อมั่นในแบรนด์ แสนสิริ จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 37 ปี ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงลูกค้าในทุกระดับราคา ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาฯลักซ์ชัวรี่ และแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน และสร้างยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ได้ 24,000 ล้านบาท และยอดโอนโครงการแนวราบ 22,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอาณัติกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
อ่อนค่าสุดรอบ5ปี! เงินบาทเปิดตลาดแตะ34.30 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทเปิดตลาด 34.30 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดรอบ 5 ปีตามตลาดโลก หลังดอลลาร์แข็งค่าเก็งเฟดขึ้นดอกเบี้ย
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 34.30 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 34.23 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดโลก เนื่องจากนักลงทุนหันมาถือครองดอลลาร์และเยน เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากมาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19
ส่วนปัจจัยเรื่องยอดส่งออกเดือน มี.ค.65 ที่กระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามีมูลค่าสูงสุดในรอบ 30 ปีไม่มีผลต่อค่าเงินบาทเนื่องจากมาจากการส่งออกทองคำ
“บาทอ่อนค่าตามทิศทางตลาดโลก หลังดอลลาร์แข็งค่าจากความกังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย และเศรษฐกิจจีนชะลอตัวโดยเงินบาทยังทำนิวไฮในรอบ 5 ปีต่อเนื่อง” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 34.20 – 34.40 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“สุธาสินี” สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นไทยคนแรกที่คว้าแชมป์เทเบิลเทนนิสลีก ออสเตรีย
“หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร มืออันดับ 27 ของโลกของไทย สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์เทเบิลเทนนิส ลีก ประเทศออสเตรียเป็นครั้งแรก หลังระเบิดฟอร์มเก่งพา Linz AG Froschberg สโมสรต้นสังกัด เอาชนะ NanoTech Villach ทีมคู่ปรับไปสกอร์ 4-0 คู่
เกมในรอบชิงชนะเลิศ “หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญ โดยสามารถเก็บ 2 คะแนน ในแต้มที่ 3 และ 4 ช่วยให้ทีมคว้าชัยมาได้ จากการลงแข่งในประเภทหญิงเดี่ยว “หญิง” เอาชนะ Ida Jazbec ไปสกอร์ 3-0 เกม 11-9, 11-6 และ 11-7
ในประเภทหญิงคู่ “หญิง” สุธาสินี จับคู่กับ Sofia Polcanova เอาชนะ Ida Jazbec กับ Ivana Malobabic ไปด้วยสกอร์ 3-2 เกม 6-11, 11-4, 8-11, 11-6 และ 11- 6
ส่งผลให้ Linz AG Froschberg คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ลีก ประเทศออสเตรีย สมัยที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมกันนี้ “หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร ยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นไทยคนแรกที่คว้าแชมป์ลีกบุนเดสลีกาอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 สัญญาณอันตราย เสี่ยง “หูตึง”
4 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าเราอาจกำลังเสี่ยงภาวะ “หูตึง”
อ.พญ.นวลวรรณ ลีลาภัทรพันธุ์ แพทย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า อาการหูตึง คือ ภาวะที่มีความสามารถในการรับเสียง หรือการได้ยินเสียงลดลง
4 สัญญาณอันตราย เสี่ยง “หูตึง”
- ได้ยินคนรอบข้างพูดงึมงำ
- เข้าใจบทสนทนาลำบากเมื่ออยู่ในที่ที่มีเสียงงอแง
- หูอื้อ หูดับเฉียบพลัน
- คนรอบข้างต้องพูดเสียงดังขึ้นจึงจะได้ยิน
การป้องกันและดูแลไม่ให้หูตึง
- หลีกเลี่ยงพื้นที่เสียงดัง เสียงที่ดังกว่า 85 เดซิเบล อาจเป็นอันตรายต่อระบบการได้ยิน
- เปิดเพลงระดับที่พอได้ยินเสียง ขณะใช้หูฟัง ไม่ควรเปิดเพลงที่ดัง และนานเกินไป
- หลีกเลี่ยงการแคะหู อาจเสี่ยงต่อการเกิดแก้วหูทะลุ
- หากมีปัญหาการได้ยินลดลง ควรมาพบแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีใช้ “Used to”
วันนี้เรามาดูวิธีใช้ คำว่า “Used to” กันค่ะ หลายๆ คนคงทราบดีว่าคำนี้แปลเป็นไทยว่า “เคย” แล้ววิธีใช้ละเป็นยังไง เดี๋ยวเรามาดูกันเลย
วันนี้เรามาดูวิธีใช้ คำว่า “Used to” กันค่ะ หลายๆ คนคงทราบดีว่าคำนี้แปลเป็นไทยว่า “เคย” แล้ววิธีใช้ละเป็นยังไง เดี๋ยวเรามาดูกันเลย
1️⃣ เราใช้ “Used to” สำหรับบางสิ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำนอดีตแต่จะไม่เกิดอีกแล้ว
ตัวอย่างเช่น
I used to smoke a packet a day but I stopped two years ago.
=> ฉันเคยสูบบุหรี่วันละ 1 ซองแต่ฉันเลิกมาแล้ว 2 ปี
Ben used to travel a lot in his job but now, since his promotion, he doesn’t.
=> เบ็นเคยท่องเที่ยวบ่อยมากในงานของเขา แต่ตอนนี้ตั้งแต่เขาเลื่อนตำแหน่ง เขาก็ไม่ได้ไปท่องเที่ยวอีก
I used to drive to work but now I take the bus.
=> ฉันเคยขับรถไปทำงานแต่ตอนนี้ฉันใช้รถบัส
2️⃣ เราใช้ “Used to” สำหรับบางสิ่งซึ่งเป็นความจริงมาแล้วแต่ไม่ได้เป็นความจริงอีกต่อไป
There used to be a cinema in the town but now there isn’t.
=> เคยมีโรงหนังอยู่ที่เมืองนี้แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
.
She used to have really long hair but she’s had it all cut off.
=> เธอเคยมีผมที่ยาวแต่ตอนนี้เธอตัดผมของเธอออกทั้งหมดแล้ว
.
I didn’t use to like him but now I do.
=>ฉันไม่เคยชอบเขาแต่ตอนนี้ฉันชอบเขาซะแล้ว
✏️ จงจับคู่อักษร A-B กับหมายเลข 1-2 เพื่อสร้างประโยคที่สมบูรณ์
A. I used to eat a lot of chocolate
(ฉันเคยกินช็อคโกแลตจำนวนมาก)
B. She used to play the piano
(เธอเคยเล่นเปียโนมาก่อน)
C. He used to take the train to work
(เขาเคยใช้รถไฟเพื่อไปทำงาน)
1. …. but now he drives (แต่ตอนนี้เขาขับรถ)
2. …. but now I am on a diet (แต่ตอนนี้ฉันลดน้ำหนัก)
3. …. but now she plays the guitar (แต่ตอนนี้เธอเล่นกีต้าร์)
ANSWER: เฉลยคำตอบ
A-2
B-3
C-1
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พลังงานสะอาดที่เป็น “แบตเตอรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก”
ส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ “ลัดดิงตัน” (Ludington) ตั้งอยู่ที่ยอดผาเหนือทะเลสาบมิชิแกน มีลักษณะคล้ายกับสระว่ายน้ำขนาดมหึมา โดยเทคโนลียีนี้มาจากแนวคิดที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งก็คือ การสูบน้ำจากทะเลสาบด้านล่าง กลับขึ้นไปที่อ่างเก็บน้ำด้านบน ก่อนจะปล่อยน้ำให้ไหลผ่านกังหันขนาดใหญ่ที่ด้านล่าง
และด้วยความจุของน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ โรงงาน “ลัดดิงตัน” จึงมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อแจกจ่ายให้ 1.6 ล้านครัวเรือนเพื่อใช้งานได้อย่างสบายๆ
หลายคนเปรียบโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับว่าเป็น “แบตเตอรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” เนื่องจากความสามารถในการผลิตพลังงานได้มหาศาลนั่นเอง
นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังถูกมองว่า เป็นคำตอบด้านพลังงานที่สำคัญในช่วงที่มีความพยายามเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีปริมาณแสงแดดหรือแรงลมที่จำกัด
เอริค กัสตัด (Eric Gustad) ผู้จัดการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ บริษัท Consumer Energy กล่าวว่า “ผมหวังว่า เราจะสร้างระบบนี้ให้ได้อีก 10 แห่ง”
อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่มีแผนที่จะขยายระบบดังกล่าวไปยังพื้นที่เเมืองแจ็คสัน รัฐมิชิแกน หลังจากประเด็นเรื่องอุปสรรคด้านสิ่งแวดล้อมและโลจิสติกส์ รวมต้นทุนการลงทุนที่คาดว่า น่าจะสูงถึงระดับหลายพันล้านส่งผลให้บริษัท Consumer Energy ตัดสินใจขายที่ดินใกล้ๆ ทะเลสาบที่เดิมวางแผนจะใช้เป็นที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ และหันมาปรับปรุงอัพเกรดโรงงานที่ร่วมเป็นเจ้าของกับบริษัท DTE Energy และมีการดำเนินงานอยู่แล้ว
กัสตัด ยอมรับว่า แผนการสร้างโรงงานแห่งใหม่นั้น “ไม่สมเหตุสมผลในแง่การเงิน” และว่า “ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง คงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นโรงงานใหม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้”
พลังงานไฟฟ้าสำรอง จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับในประเทศสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 93 โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าวยังก้าวตามไม่ทัน
ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับทั้งหมด 43 แห่ง และมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมแล้ว 22 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นปริมาณเดียวกับที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งในประเทศผลิตได้
ถึงกระนั้น นับตั้งแต่ปี 1995 มา มีการสร้างโรงงานแบบนี้ที่มีขนาดเล็กเพิ่มมาเพียง 1 แห่งเท่านั้น และในเวลานี้ ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ในบรรดาโครงการโรงไฟฟ้าแบบนี้ที่มีการวางแผนไว้กว่า 90 แห่งนั้น มีกี่แห่งสามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และกฎระเบียบด้านกำกับดูแลกิจการได้จริง
รายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการด้านพลังงานสหรัฐฯ (Federal Energy Regulatory Commission – FERC) ได้ออกใบอนุญาตให้ 3 โครงการไปแล้ว แต่ปรากฏว่า ยังไม่มีโครงการใดที่ลงมือก่อสร้างจริง
ยกอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งในรัฐมอนแทนาที่ได้รับใบอนุญาตไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ต้องจัดหาน้ำ-ไฟ รวมทั้งพื้นที่กักเก็บพลังงานให้ตัวเองก่อนที่จะเริ่มต้นการก่อสร้างได้จริง ขณะที่ ผู้พัฒนาโครงการอีกรายในรัฐออริกอนคาดว่า จะเริ่มต้นการก่อสร้างในปี 2023 นี้
แต่เมื่อลองมองไปดูที่ประเทศอื่นๆ จะพบว่า กำลังมีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับมากกว่า 60 แห่งในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในประเทศอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรป
มัลคอล์ม วูล์ฟ (Malcolm Woolf) ประธานสมาคม National Hydropower Association ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในสหรัฐฯ ระหว่างเข้าร่วมการให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า “กระบวนการขออนุญาตเป็นเรื่องที่วุ่นวายยุ่งยาก” โดยเขาชี้ว่า ขั้นตอนต่างๆ มีการเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงานมากจนเกินไป
ในประเด็นนี้ เซเลสต์ มิลเลอร์ (Celeste Miller) โฆษกของ FERC เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่า ทางคณะกรรมการจะออกใบอนุญาตให้กับโรงงานใหม่และต่ออายุให้กับโรงงานที่เคยได้ไปแล้วหลายแห่ง หน่วยงานทั้งในระดับชุมชน รัฐ และรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้องยังต้องเข้ามาจัดการในส่วนงานของตนด้วย เพราะ “แต่ละโครงการมีลักษณะเฉพาะ รวมถึงปัญหาที่แตกต่างกันออกไป”
ขณะนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าวกำลังทำการเคลื่อนไหวเพื่อขอให้รัฐออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนในรูปของภาษีการลงทุน คล้ายๆ กับที่เคยอนุมัติให้กับโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงแดดและพลังงานลม ซึ่งจริงๆ การลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจดังกล่าวอยู่ในแผน “Build Back Better” ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่แล้ว เพียงแต่ร่างกฎหมายนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภาคองเกรสอยู่
ทั้งนี้ แนวคิดโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1930 โดยส่วนมากถูกสร้างขึ้นจริงหลังจากนั้นเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินจากโรงงานนิวเคลียร์ที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อจำเป็น
ในขณะที่โรงไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การกักเก็บพลังงานสำรองจึงยังเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและน่าจะมีการขยายตัวได้ต่อไปในอนาคต โดยหน่วยงานด้านพลังงานหมุนเวียนอย่าง National Renewable Energy Laboratory (NREL) คาดว่า การกักเก็บพลังงานในสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะขยายตัวมากถึง 5 เท่า ภายในปี 2050
ในปีที่ผ่านมา เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม (Jennifer Granholm) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า “ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า (รัฐบาล)จะนำพลังงานสะอาดเข้าสู่โครงค่ายผลิตพลังงานไฟฟ้า และเราจะต้องอยู่ในระดับที่สามารถใช้งานพลังงานนี้ทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการได้”
ข้อมูลการวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัย Australian National University ที่ใช้คอมพิวเตอร์คำนวนหาพื้นที่ในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ แสดงให้เห็นว่า มีพื้นที่กว่า 600,000 แห่งทั่วโลกที่น่าจะเป็นที่ตั้งของโรงงานประเภทนี้ได้ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมถึงราว 32,000 จุด ซึ่งการคำนวณชี้ว่า จะสามารถช่วยกักเก็บพลังงานเพื่อแจกจ่ายทั่วโลกได้มากถึง 100 เท่า เมื่อเทียบกำลังระดับความต้องการพลังงานจริง
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ดังกล่าวไม่ได้พิจารณาถึงประเด็นที่ว่า พื้นที่นั้นๆ มีความเหมาะสมด้านสิ่งแวดล้อมหรือวัฒนธรรมที่จะใช้ในการก่อสร้างโครงการประเภทนี้ หรือจะนำไปสู่การคุ้มทุนทางธุรกิจหรือไม่
มีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจาก มหาวิทยาลัย Michigan Technological University ที่ชี้ว่า เหมืองร้างจำนวนหลายร้อยแห่งในสหรัฐฯ น่าจะสามารถถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับที่ว่านี้ได้ เนื่องจากโครงสร้างทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย แต่มีผู้ที่แย้งว่า ต้องมีการศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน เพราะมีกรณีอย่างเช่น โครงการที่อยู่ในี่เขตเอสเซกส์ของรัฐนิวยอ์กที่ต้องถูกสั่งพักไป หลังเกิดความกังวลเรื่องมลพิษทางน้ำ
นอกจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับที่เป็นการกักเก็บพลังงานแล้ว ยังมีเทคโนโลยีทางเลือกใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัท Quidnet ในรัฐเท็กซัส ที่พัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบบสูบน้ำกลับ ที่ใช้น้ำบาดาลมาไหลผ่านกังหันไฟฟ้า และบริษัท Energy Vault ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพจากประเทศสวิสเซอร์เลนด์ ที่ผลิตพลังงานโดยการใช้สายเคเบิลเหวี่ยงก้อนอิฐที่มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 35 ตันลงสู่ด้านล่าง เพื่อทำหน้าที่เหมือนเครื่องปั่นไฟ เป็นต้น
ท้ายสุด รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2016 ชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมีเครือข่ายโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ที่สามารถจัดเก็บพลังงานได้ราว 36 กิกะวัตต์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เอสซีจี ยกทัพนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการก่อสร้าง เสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบัน และสร้างสรรค์เมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นในอนาคต ภายใต้แนวคิด “SCG for Smart Living, Smart City” ในงานสถาปนิก’65
เอสซีจี พร้อมนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบันและเมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นในอนาคต ภายใต้แนวคิด “SCG for Smart Living, Smart City” ในงานสถาปนิก’65 ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2565 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ปรวรรณ มหัทธนะสุข Customer and Brand Management Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจีมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันด้านการอยู่อาศัยและการก่อสร้าง มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยงานสถาปนิก ‘65 ครั้งนี้ เราได้รวบรวมนวัตกรรมภายใต้แบรนด์ SCG และแบรนด์ในเครือมากมาย อาทิ CPAC เสือ COTTO และ SCG HOME มาจัดแสดงภายใต้แนวคิด “SCG for Smart Living, Smart City” ในมุมมองของปัจจุบันและอนาคต ที่เอสซีจีจะขอมีส่วนร่วมเพื่อช่วยให้การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตประจำวันในเมืองดีขึ้นได้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ ควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อม”
นอกจากนี้ เอสซีจียังจัดนิทรรศการ “Dwell Well อยู่ได้ อยู่ดี” ที่จัดแสดงนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์เมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นในอนาคต ผ่านหลายมุมมอง ได้แก่
- Smart Construction: นวัตกรรมการออกแบบและก่อสร้างรูปแบบใหม่ ที่ช่วยควบคุมเวลาและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการก่อสร้าง จาก CPAC BIM และ CPAC Low Rise Building Solution
- Energy Saving & Comfort Living: นวัตกรรมเพื่อบ้านเย็น และประหยัดพลังงาน อาทิ SCG Solar Roof Solutions ระบบหลังคาโซลาร์ เทคโนโลยีใหม่ ‘ระบบไฮบริด’ ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน SCG Active AIRflow System ระบบถ่ายเทและระบายอากาศ เพื่อบ้านอยู่สบาย SCG HVAC Air Scrubber ระบบบำบัดอากาศเสีย พร้อมลดภาระของระบบปรับอากาศ
- Convenience & Hygiene: เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยในยุค Now Normal กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Health& Clean จาก COTTO ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัย ห่างไกลเชื้อโรค เพื่อสุขภาวะที่ดีของทุกคนในครอบครัว
- Health & Wellness: โซลูชันที่ปรับคุณภาพอากาศในอาคาร ห่างไกลฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโรค อาทิ SCG Active AIR Quality ระบบปรับคุณภาพอากาศภายในบ้าน SCG Bi-ion ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ มีประสิทธิภาพจัดการเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสูงถึง 99% และกระเบื้องฟอกอากาศ COTTO AIR ION ช่วยดักจับฝุ่น พร้อมเพิ่มมวลอากาศสดชื่น ตลอด 24 ชั่วโมง
- ESG (Environmental, Social and Governance): แนวทางการดำเนินธุรกิจใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมชมนวัตกรรมที่ได้รับการรับรองฉลาก SCG Green Choice การันตีสินค้าที่ลดการใช้ทรัพยากรในการผลิต ลดการใช้พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และดีต่อสุขอนามัย
ภายในงาน ยังมีโปรโมชันจาก SCG HOME ให้ได้เลือกช้อปในราคาพิเศษ ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชม บูธเอสซีจี ในงานสถาปนิก’65 ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2565 เวลา 10:00 – 20:00 น.
ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี หรือเข้าชมงานในรูปแบบ Metaverse ได้ที่ SCGlivingverse.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: SCG Brand หรือ SCG HOME Contact Center โทร. 02-586-2222
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/04/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,800.00 | 30,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,995.00 | 30,244.20 | 31,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,795.50 | 27,219.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,596.00 | 24,195.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 898.00 | 13,613.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 698.00 | 10,581.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,067.00 | 31,335.72 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/04/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.74 | 37.74 | 37.74 | 37.74 | 37.74 | – | 37.74 | 37.74 | 37.74 | 37.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 31.04 | 31.04 | – | – | – | – | – | – | – | 31.04 |
เบนซิน 95 | 46.26 | – | – | – | 46.71 | – | 46.76 | 46.76 | – | 46.26 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 36.39 | 36.36 | 36.39 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |