ไตรมาส 2 บ้าน- คอนโดฯ ใหม่ ลุยเปิดขายคึก
ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 2 คึก ผู้พัฒนาฯ ลุยเปิด โครงการใหม่ ‘ลลิล’ ชูแบรนด์ แลนซีโอ จับผู้ซื้ออยู่จริง ด้าน ‘ศุภาลัย’ เจาะโซน ชัยพฤกษ์ ปั้นที่ดิน 14 ไร่ สู่ ‘ศุภาลัย เบลล่า ชัยพฤกษ์’ ขณะตลาดคอนโดฯร้อน แอสเซทไวส์ เปิด 2 โครงการ ส่วน เอ สเปซ เมกา คอนโดฯ จ่อเปิดชมให้ชมห้องจริง
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ระบุว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลงในปัจจุบัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งตลาดบ้านแนวราบและอาคารชุด โดยบ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมั่นใจ และพร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านป้อนสู่ตลาดในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าที่ 10-12 โครงการตลอดปี รวมมูลค่าประมาณ 7 – 8 พันล้านบาท
ล่าสุด เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ ได้แก่ ‘แลนซีโอ คริป 2 ปิ่นเกล้า-พระราม 5 ,แลนซีโอ คริป 2 รัตนาธิเบศร์-ท่าอิฐ และ ลลิลทาวน์ ชัยพฤกษ์-ไทรน้อย มูลค่ากว่า 2.2 พันล้านบาท เพื่อกวาดกำลังซื้อกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง
อีกทั้ง ล่าสุด บมจ.ศุภาลัย ยังประกาศเดินหน้าตามแผนเปิดโครงการใหม่ 4 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดจอง โครงการ “ศุภาลัย เบลล่า ชัยพฤกษ์” บนพื้นที่14 ไร่ มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท ในราคา 3.29 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ ยังเป็นเรื่องทำเล เจาะโซนราชพฤกษ์เชื่อมต่อชัยพฤกษ์ตัดใหม่ ฝั่งตะวันตก ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม ตอบโจทย์การเดินทางในทุกรูปแบบ
ส่วน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เพิ่งเปิดตัวโครงการใหม่ “เลค เลเจนด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” มูลค่า 6.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านแนวใหม่ริมทะเลสาบขนาด 100 ไร่ บนทำเล กิ่งแก้ว ร่วมกับพันธมิตรต่างชาติ ‘ฮ่องกง แลนด์’ หลังจากมองเห็นโอกาสของกลุ่มลูกค้าบ้านระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นในช่วง 2-3 ปีผ่านมา และยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีนี้
เช่นเดียวกับ ภาพตลาดคอนโดมิเนียม โดย นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอสเซทไวส์ ระบุว่า บริษัทยังมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ของตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งจากปัจจัยภายนอก สถานการณ์โควิด 19 ที่เริ่มคลี่คลาย และ ยอดจองภาพรวมของโครงการอื่นๆที่เปิดขายก่อนหน้า
จึงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์แอทโมซ (ATMOZ) ได้แก่ โครงการ “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” และโครงการ “แอทโมซ พอร์เทรต ศรีสมาน” มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,500 ล้านบาท
” ประเมินว่า ช่วงไตรมาส 2 นั้น ความต้องการที่อยู่อาศัยจะมีทิศทางเติบโตที่ดีขึ้น ทั้งจากการเปิดประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น และมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน”
ขณะอีกเคลื่อนไหวน่าจับตามอง หลังจากก่อนหน้า บมจ. เรียล แอสเสท เข้าเทกโอเวอร์โครงการ ‘เอ สเปซ เมกา คอนโดฯ’ ซึ่งเป็นโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง ล่าสุด นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ เผยว่า บริษัทฯพร้อมที่จะเดินหน้าตามแผนการลงทุน เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของตลาดผู้บริโภคทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ (บ้านเดี่ยว , บ้านแนวคิดใหม่ , ทาวน์โฮม) และแนวสูง (คอนโดมิเนียม)ให้ครอบคลุมทุก เซกเม้นท์ โดยจะเน้นทำเลที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง หนึ่งในนั้นคือพื้นที่กรุงเทพฝั่งตะวันออก โซนบางนา-ตราด
ทั้งนี้ เร็วๆนี้จะเปิดให้ชมห้องจริงและส่วนกลางครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ในราคาเริ่ม 1.79 ล้านบาท หรือเพียง 62,000 บาท/ตร.ม. เพื่อสร้างยอดขายเพิ่มเติม จาก 85% ที่ทำได้ก่อนหน้า
นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำศักยภาพทำเลย่านบางนาว่า บางนาเป็นยุทธศาสตร์ทำเลที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นพื้นที่เชื่อมโยงเส้นทางไปสู่พื้นที่ EEC ภาคตะวันออกของประเทศไทย (Eastern Economic Corridor เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯมีความเชื่อมั่นด้านกำลังซื้อในทำเลนี้มีการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง บางนาจึงกลายเป็นทำเลที่มีทั้งที่อยู่อาศัย, สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ศูนย์การค้าขนาดใหญ่, สนามกอล์ฟ, อาคารสำนักงาน และที่สำคัญ เป็นแหล่งรวมโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดด้านฐานะและกำลังซื้อที่ดีอย่างหนึ่ง อีกทั้งบนเส้นถนนบางนา-ตราด มีโครงการขนาดใหญ่ที่เป็น Magnet ทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขั้นเตรียมการซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท
นายณัฎฐา กล่าวอีกว่า โครงการคอนโดฯ บริเวณบางนาในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา จากเดิมมีราคาต่อตารางเมตรอยู่ที่ 60,000-80,000 บาท ปัจจุบันเริ่มมีคอนโดฯระดับราคา 100,000 บาทต่อตารางเมตรในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีโครงการมิกส์ยูส คอนโดฯ ระดับไฮเอ็นด์ที่ผสมผสาน Wellness Flagship ที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ ซึ่งมีระดับราคาสูง ตั้งแต่ประมาณ 160,000- 450,000 บาทต่อตารางเมตรเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันพบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางเป็นกลุ่มสินค้าที่น่าสนใจ ให้ผลตอบแทนจากราคาค่าเช่าสูงเมื่อเทียบกับราคาเสนอขาย หรือคิดเป็น Yield ที่ประมาณ 5% ซึ่งในอนาคตเมื่อโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทยอยเปิดให้บริการจะเป็นผลบวกต่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จ่อปรับ ‘ราคาบ้าน’ ครึ่งปีหลัง อสังหาฯแบกต้นทุน ‘เงินเฟ้อ’ อ่วม 7-10%
นับถอยหลัง สิ้น มิ.ย. ผู้พัฒนาฯ ประกาศปรับขึ้น ราคาบ้าน อย่างต่ำ 5% ตามเงินเฟ้อ หลังอ่วม ต้นทุน วัสดุก่อสร้าง เหล็ก ,ปูนซีเมนต์ ,กระเบื้อง และสีทาอาคาร ราคาพุ่ง ขณะ REIC ชี้ กนง.เสียงแตก จ่อปรับดอกเบี้ย อีกตัวแปรใหญ่ต้องจับตา
ตัวเลข ‘เงินเฟ้อ’ เดือน พ.ค. ที่พุ่งทั่วโลก รวมถึง ประเทศไทย 7.1% สูงที่สุดในรอบ 13 ปี จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ปัญหาการนำเข้า – ส่งออก ที่หยุดชะงักจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนผู้ผลิต ไม่สามารถแบกรับภาระที่สูงขึ้นได้ เพราะ ราคาน้ำมัน เป็นตัวแปรใหญ่นั้น กำลังเกิดผลกระทบอย่างชัดเจนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย
เมื่อผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย กำลังเผชิญความท้าทาย จากต้นทุนปรับตัวสูงสุด โดยเฉพาะ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง จนอาจฉุดภาพการฟื้นตัว ด้วยแนวโน้ม ‘ราคาบ้าน’ ที่แพงขึ้นตามเงา
ก่อสร้างกระอักต้นทุนวัสดุ
ล่าสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ EIC เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อ ที่พุ่งสูงขึ้นมาก กระทบต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยไทย จะเป็นแรงกดดันใหญ่ต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯไทย เพราะ ทั้งราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้าง รวมถึงต้นทุนแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
โดยเฉพาะ วัสดุก่อสร้าง 4 ประเภท ได้แก่
- เหล็ก ราคาเหล็กทรงยาว และทรงแบนไทย ปีนี้ มีแนวโน้มอยู่ที่ 30.2 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 19% และ 36.3 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 15% ตามลำดับ
- กระเบื้อง หลังการนำเข้าชะลอตัว จากเงินบาทอ่อนค่า และราคาสูงขึ้น จากค่าขนส่งที่แพง
- สีทาอาคาร โดยผู้ผลิตเผชิญกับราคาวัตถุดิบ จำพวกสารสี ส่งผลต่อราคา และ
- ปูนซีเมนต์ ราคาปีนี้ มีแนวโน้มสูงขึ้น 8% มาอยู่ที่ 1,753 บาท/ตัน
ส่อปรับราคาบ้านขึ้น 5%
สอดคล้อง การประเมินของค่ายใหญ่ นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ซึ่งระบุว่า ขณะนี้ภาคอสังหาฯ กำลังได้รับผลกระทบ เรื่องต้นทุนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานแพงขึ้น กดดันเกิด ภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ จนส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้าง แพงขึ้นมาก กว่าปี 2564 โดยผู้พัฒนาฯ บ้านแทบทุกระดับ ได้รับผลกระทบ ไม่แตกต่างกัน แบกรับต้นทุนสูงขึ้นราว 7-10% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาดว่า ช่วงครึ่งปีหลัง ตั้งแต่ สิ้น มิ.ย.เป็นต้นไป อาจจะได้เห็นภาพ ผู้พัฒนาฯ ประกาศปรับขึ้นราคาบ้านอย่างต่ำ 5% โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับบน ซึ่งยังเป็นตลาดที่ผู้ซื้อ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาจไม่กระทบมากนัก แต่เป็นห่วง บ้านราคาถูก หรือ กลุ่มบ้านหลังแรก ที่นอกจาก ลูกค้าจะเผชิญกับ การปฎิเสธสินเชื่อจากธนาคารแล้ว โอกาสการขอปรับขึ้นราคา อาจทำได้แบบมีข้อจำกัด เนื่องจากลูกค้ามีความอ่อนไหวต่อราคาสูง การขยับราคาบ้านขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจทำให้การซื้อ-ขาย หยุดชะงักได้ ฉะนั้น เป็นเรื่องหนักใจของผู้พัฒนาฯ อยู่เช่นกัน
“นาทีนี้ยังมั่นใจว่า ตลาดบ้านแพง บ้านลักชัวรี ยังไปได้อยู่ แม้มีปัญหาเรื่องต้นทุนการพัฒนาที่แพงขึ้นมา แต่โอกาสขอปรับขึ้นราคายังสามารถทำได้ ต่างจาก บ้านราคาถูก ที่ขณะนี้ ปัญหา รีเจ็กต์ แบงก์ปฎิเสธสินเชื่อยังสูง และผู้ซื้ออ่อนไหวต่อเรื่องราคา การปรับขึ้น5% จะเป็นปัญหาแน่นอน”
ปรับดอกเบี้ยฉุดคนซื้อบ้าน
ขณะความน่ากังวลของตลาดที่อยู่อาศัยไทย ในระยะข้างหน้านั้น ยังเกิดขึ้น จากกรณี ล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเสียงแตก ต่อการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ซึ่งคาดกันว่า ในการประชุมครั้งหน้า อาจมีความเป็นไปได้ ที่จะประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่ำ 0.25% เพื่อใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับปัญหา เงินเฟ้อ สูงที่สุดในรอบ 13 ปี
ทั้งนี้ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. (REIC) เผย ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า นอกจาก ราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น บวกกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้การก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยล่าช้า กระทบแผนการส่งมอบ มีผลต่อภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว และภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ท่ามกลางรายได้ฟื้นตัวช้า เป็นข้อจำกัดต่อ การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้ว แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในระยะข้างหน้าที่จะกดดันดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น อาจทำให้กระทบต่อตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่วางแผนจะซื้อบ้าน อาจชะลอระยะเวลาออกไปก่อน
ซึ่งผลที่ตามมา จากแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย จะเกิดขึ้นใน 2 ทิศทาง ได้แก่ ช่วงก่อนการประกาศขึ้น อาจทำให้การซื้อ-ขาย ตลาดที่อยู่อาศัยคึกคัก จากความพยายามรีบซื้อ ,รีบทำสัญญา ในกลุ่มซื้อใหม่ เพื่อต้องการเงื่อนไขเดิม ก่อนภาวะดังกล่าวจะแผ่วลง เพื่อรอดูสถานการณ์ ขณะ ภาพหลังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วนั้น (คาดอย่างต่ำปีนี้ กนง.จะขึ้นดอกเบียราว 50 สตางค์ ) ย่อมกระทบต่อผู้ที่ทำสัญญาซื้อก่อนหน้า เนื่องจากในระยะถัดๆไป จะต้องแบกภาระการจ่ายต่องวดเพิ่มขึ้น
“ มติของ กนง.ล่าสุด เสียงปริ่มแล้ว เพราะมีปัจจัยภายนอกกดดันสูง เป็นไปได้ที่อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ราวสัก 50 สตางค์ในปีนี้ ซึ่งหากขึ้นไประดับนั้นจริง อาจจะกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัย ทำให้ผู้ซื้อมีภาระเพิ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ก่อนหน้า คาดว่าทั้งปี 2565 จะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 170,843 หน่วย มูลค่ากว่า 5.94 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยปรับเป้าเงินเฟ้อไทยปี 65 ขึ้นเป็น 5.6%
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยปรับเป้าเงินเฟ้อไทยปี 65 ขึ้นเป็น 5.6% จับตา กนง. เตรียมขึ้นดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีหลัง รับการฟื้นตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง
นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2565 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ 5.9% และเดือนเมษายนที่ 4.7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดัชนีราคาผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นเป็น 2.3% จาก 2.0%ในเดือนเมษายน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยที่ 5.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% ด้านกลุ่มพลังงานและอาหารยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากอัตราการเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนที่ 29.7% ตามราคาน้ำมันดิบโลก และการปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีที่อยู่อาศัย ไฟฟ้า และน้ำประปา ปรับเพิ่มขึ้น 6.7% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนเมษายนที่ขยายตัว 1.0% เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อน ต้นทุนผันแปรทางไฟฟ้าที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นของราคาก๊าซหุงต้ม ด้านกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในเดือนพฤษภาคมได้ปรับขึ้นเป็น 6.2% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ส่วนใหญ่จากราคาเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการอื่น ๆ ทยอยปรับขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด เช่น กลุ่มการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ซิตี้ได้มีการปรับเพิ่มการประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 สูงขึ้นเป็น 5.6% จากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ที่ 4.3% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2566 จะมีค่าเฉลี่ยที่ 2.0% จากเดิม 1.3% โดยได้คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุด บวกกับการปรับการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบของทีมงานวิจัยด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของซิตี้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยในปี 2565 ซิตี้คาดว่าน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 89 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้) และในปี 2566 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 59 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้) นอกจากนี้ การปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็น 34 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อาจจะส่งผลให้มีการปรับราคาในระบบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากขึ้น จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นโดยเฉพาะภาคการขนส่ง และอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ มาตรการอื่น ๆ ของภาครัฐที่ออกมาในช่วงเดือนมีนาคมเผื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานจะเริ่มหมดอายุลง และอาจนำไปสู่การส่งผ่านของต้นทุนที่ไปยังผู้บริโภคมากขึ้น และความเสี่ยงต่อเงินเฟ้ออีกประการคือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 (อาจสูงถึง 5-10% หรือมากกว่าการปรับขึ้นในปี 2560 2561 และปี 2563 ที่ราว 3%)
นอกจากนี้ซิตี้ได้คาดการณ์ว่า กนง.มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% หลังจากเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นและกระจายไปมากกว่าที่คิด โดย กนง. มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักความสำคัญในด้านการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป หลังจากที่ได้ให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลักในช่วงก่อนหน้า แม้ว่า กนง. ได้ลงมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในเดือนมิถุนายน โดยไม่ได้ปรับขึ้นตามที่ซิตี้คาดไว้ แต่การส่งสัญญาณการปรับทิศทางนโยบายการเงินเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่สมาชิก กนง. สามท่านโหวตให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ รวมถึง กนง. ที่มองว่าความจำเป็นในการรักษาอัตรานโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์มีน้อยลง หลังเศรษฐกิจมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น ในขณะเดียวกัน กนง. ยังแสดงความเป็นห่วงด้านแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้นในช่วงข้างหน้า ซิตี้จึงคาดว่า กนง. จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิมที่ 0.50% เป็น 0.75% ในการประชุมครั้งหน้าในเดือนสิงหาคม เพื่อยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ และป้องกันการกระจายของแรงกดดันด้านราคาเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจของครัวเรือนและภาคธุรกิจเดือนพฤษภาคมต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าได้ปรับสูงเกินเป้าหมายนโยบายมาอยู่ที่ 3.1% และ 3.5% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ซิตี้มองว่า กนง. จะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้งในปีนี้ เนื่องจาก ธปท. ยังคงคาดการณ์ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโรคระบาดโควิดได้ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับปี 2566 ซิตี้คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สองครั้ง คือในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 3 ของปี โดยภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะมีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการปรับนโยบายเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบาย (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต นางสาวนลิน กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday
สัปดาห์แห่งการเชียร์!!! ลุ้นนักกีฬาไทยลุย 4 ศึกอีเว้นท์สำคัญ
วอลเลย์บอลเนชั่นส์ ลีก กลับมาแข่งกันอีกครั้ง หลังพักไปหนึ่งสัปดาห์ สาวไทยที่สร้างเซอร์ไพร์สในสัปดาห์แรก ยังต้องเจอกับงานหนักอีก 4 นัด ญี่ปุ่น จ่าฝูงที่เป็นทีมเดียวชนะรวด 4 นัด, สหรัฐฯ ทีมอันดับ 1 ของโลกและเป็นแชมป์โอลิมปิก 2020 รวมไปถึงโปแลนด์ และแคนาดา
โดยเกมแรกของทีมสาวไทย จะประเดิมพบกับ แคนาดา ในวันที่ 14 มิถุนายน เวลา 14.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่องวัน 31
ส่วนแบดมินตันสัปดาห์นี้บิ๊กอีเว้นท์ อินโดนีเซีย โอเพ่น เวิลด์ ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 นักแบดมินตันไทยชุดใหญ่อยู่กันพร้อมหน้า บาส-ปอป้อ หวังลบความผิดหวังที่พลาดตกรอบแรกในสัปดาห์ก่อน ขณะที่หญิงเดี่ยวของเรา “เมย์” รัชนก กับ “หมิว” พรปวีณ์ ถูกจับมาชนกันเองตั้งแต่รอบแรก มีถ่ายทอดสดทางช่องทรูวิชั่นส์ True Sport HD3
ฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ มีโปรแกรมพบกับ อุซเบกิสถาน ในศึกเอเชียน คัพ 2023 รอบคัดเลือก นัดสุดท้าย แน่นอนว่าทั้งสองทีมต่างต้องการชัยชนะเพื่อเข้ารอบสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม ส่วนผู้แพ้จะต้องไปลุ้นตำแหน่งรองแชมป์ดีสุด 5 กลุ่มเพื่อตามเข้ารอบไป หรือหากลงเอยด้วยเสมอ ก็จะแบ่งแต้มและกอดคอกันเข้ารอบ
ดังนั้นเกมที่ ทีมชาติไทย จะพบกับ อุซเบกิสถาน ในวันที่ 14 มิถุนายน 2565 เวลา 22.30 น. ที่ มาร์กาซีย์ สเตเดียม ประเทศอุซเบกิสถาน แฟนบอลชาวไทยห้ามพลาด ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 และ AIS PLAY
นอกจากนี้ยังมีลุ้นจาก “ก้อง-สมเกียรติ” นักบิดหนึ่งเดียวจากไทยในการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รุ่น “โมโต ทู” จาก “อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย” ที่เตรียมลงชิงชัยบนสังเวียน “ดอยท์ชลันด์ กรังปรีซ์” ที่สนาม แซ็คเซนริง ประเทศเยอรมัน แข่งขันกันระหว่างวันที่ 17-19 มิถุนายน ถ่ายทอดสดทางช่อง PPTV HD ในวันอาทิตย์ที่ 19
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จัก “รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม” (Ramsay Hunt Syndrome) โรคแทรกซ้อนจาก “งูสวัด”
โรคงูสวัด เป็นโรคที่หลายคนคุ้นเคย มีอาการคล้ายอีสุกอีใส และยังพบผู้ป่วยโรคนี้อยู่เรื่อยๆ ในทุกเพศทุกวัย แม้ว่างูสวัดจะเป็นโรคที่หายได้ ไม่มีอันตรายมาก แต่ในบางรายอาจมีโรคแทรกซ้อนที่น่ากังวลอยู่ หนึ่งในนั้นคือโรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม
โรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม คืออะไร
โรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม (Ramsay Hunt Syndrome) เป็นโรคซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากงูสวัดโดยตรง เกิดจากการที่เชื้อไวรัสเข้าไปจู่โจมเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดหู การได้ยินลดลง เวียนหัว บ้านหมุน ได้ยินเสียงหึ่งๆ เกิดตุ่มน้ำภายในหู เสียการรับรู้รสชาติอาหาร ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งเบี้ยว
โรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม รักษาด้วยยาต้านไวรัส และต้องรีบรักษาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการเพราะการรักษาตั้งแต่แรกๆ จะทำให้ได้รับผลการรักษาที่ดีกว่า หากช้ากว่านี้อาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม เป็นโรคที่เกิดจาก Varizella Zoster Virus ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใส ซึ่งคนที่เคยเป็นโรคนี้แล้วตัวไวรัสอาจจะยังอยู่ในร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดโรคได้หลายปี แต่เมื่อก่อโรคก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ทำให้เกิดโรค
อาการของโรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม
อาการของโรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม จะเริ่มต้นจากอาการอักเสบทั่วไป ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะที่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ในตำแหน่งบริเวณใบหูของข้างที่เกิดอาการ หรืออาจจะมีไข้ต่ำๆ รู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วยได้ หลังจากนั้นจะพบตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไวรัสชนิดนี้ เกิดขึ้นที่บริเวณใบหู โดยตุ่มน้ำจะทำให้รู้สึกแสบๆ คันๆ หรือแสบร้อนมากกว่าตุ่มคันทั่วๆ ไป
การอักเสบติดเชื้อดังกล่าวจะทำให้เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่ในการเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า หูชั้นใน และการรับรสบางส่วนเกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอัมพาตของใบหน้าครึ่งซีก หลับตาไม่สนิท ทำให้มีอาการเคืองตา หรือล้างหน้าแล้วแสบตาเนื่องจากน้ำสบู่เข้าตา เป็นต้น
นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตทำให้การพูด การออกเสียง การดื่มน้ำและรับประทานอาหารมีปัญหา อาการจะคล้ายกับอาการเส้นประสาทใบหน้าอักเสบชนิด Bell’s Palsy ซึ่งเป็นการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เช่นกัน แต่มักจะไม่พบสาเหตุชัดเจน และไม่มีอาการของผื่นหรือตุ่มน้ำใส เนื่องจากอาการอัมพาตของใบหน้าที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งซีก ส่วนใหญ่จะค่อยๆ เป็นมากขึ้นในวันนั้นหรือข้ามวัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ได้สังเกตอาการตอนเริ่มต้น ทำให้เข้าใจว่าอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด ซึ่งจำเป็นต้องแยกจากอาการของกลุ่มโรคหลอดเลือดสมองด้วย เนื่องจากเส้นประสาทดังกล่าวมีส่วนในการรับรส ทำให้การรับรสผิดปกติ และส่วนที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูชั้นใน เช่น อาการหูอื้อ มีเสียงดังในหู หรือการได้ยินผิดปกติร่วมด้วยได้ แพทย์วินิจฉัยจากการซักประวัติ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ร่วมกับการรักษาตามอาการ และการทำกายภาพบำบัด
วิธีรักษาโรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม
ในกรณีที่มีการอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า อาจจะใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูจนกลับมาใกล้เคียงกับปกติประมาณ 3 เดือน ขึ้นกับระดับความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้น และขึ้นกับความสามารถของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อในการฟื้นตัวด้วย
สำหรับวิธีรักษารักษาโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกโดยทั่วไป คือ รักษาตามสาเหตุที่ทำให้โรค เช่น ให้ยาฆ่าเชื้อไวรัสกรณีที่มีการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเริม หรืองูสวัดร่วมด้วย การให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบในรายที่ไม่มีการติดเชื้อ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดใบหน้า เช่น การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า, การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือนวดใบหน้า ช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็ง และการผ่าตัดในผู้ป่วยบางราย ในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรปิดตาข้างที่มีอาการ หรือ ใส่แว่นกันแดด ร่วมกับใช้น้ำตาเทียม และปิดตาเวลานอนเพื่อลดอาการเคืองตา ตาแดง หรือมีแผลที่แก้วตา
วิธีป้องกันโรครัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม
โรคที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และทำให้เกิดอาการอัมพาตครึ่งซีกของใบหน้า สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย แม้ไม่ได้มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงใด จึงไม่มีแนวทางหรือวิธีในการป้องกันการเกิดโรคที่ชัดเจน การป้องกันจึงมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพโดยรวม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และเมื่อพบว่ามีความผิดปกติ การเข้ารับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผลของการรักษาและการฟื้นฟูนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สแลงที่ชาวแคนาดาใช้กัน แต่ประเทศอื่นมี “งง”
ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่ใช้กันสากลทั่วโลก แต่ก็ยังมีคำบางคำที่ใช้เฉพาะเจาะจงกันตามแต่ละพื้นที่ไป เช่นเดียวกันกับสแลง ที่แต่ละพื้นที่ก็มีการปรับเปลี่ยนกันไปตามผู้คนหรือตามวัฒนธรรม ทีนี้เรามาดูกันที่แคนาดาดีกว่า แม้ว่าแคนาดา จะอยู่ในซีกเดียวกันกับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างสหรัฐอเมริกา แต่แคนาดากลับมีสแลงเป็นของตัวเองเยอะแยะไปหมด ตามไปดูกันเล้ย
“ตู้กดเงินอัตโนมัติ”
โดยทั่วไปจะใช้
ATM (Automatic teller machine)
แคนาดาใช้
ABM (Automatic banking machine)
“ชาวแคนาดา”
โดยทั่วไปจะใช้
Canadian
แคนาดาใช้
Canuck [คานัก’]
“บุหรี่”
โดยทั่วไปจะใช้
Cigarette
แคนาดาใช้
Dart [ดาร์ท]
“ร้านสะดวกซื้อ”
โดยทั่วไปจะใช้
Convenience store
แคนาดาใช้
Depanneur [ดะแพน’เนอะ]
“เสื้อแขนยาวมีฮู้ด”
โดยทั่วไปจะใช้
Hoodie
แคนาดาใช้
Bunnyhug [บัน’นิฮัก]
“ไฟฟ้า”
โดยทั่วไปจะใช้
Electricity
แคนาดาใช้
Hydro [ไฮโดร]
“กระเป๋าเป้”
โดยทั่วไปจะใช้
Backpack
แคนาดาใช้
Knapsack [แนพ’แซค]
“เหรียญ 1 ดอลลาร์”
โดยทั่วไปจะใช้
One-dollar coin
แคนาดาใช้
Loonie [ลูนี’]
“พุงบวมเบียร์”
โดยทั่วไปจะใช้
Beer belly
แคนาดาใช้
Molson Muscle [โมลซัน มัซ’เซิล]
“ดินสอสี”
โดยทั่วไปจะใช้
Colored pencil
แคนาดาใช้
Pencil crayon [เพน’เซิล เคร’เอิน]
“เขตเลือกตั้ง”
โดยทั่วไปจะใช้
Electoral district
แคนาดาใช้
Riding [ไร’ดิง]
“รองเท้าวิ่ง”
โดยทั่วไปจะใช้
Running shoes
แคนาดาใช้
Runners [รัน’เนอะ]
“ปาร์ตี้สละโสด”
โดยทั่วไปจะใช้
Bachelor party/Bachelorette party
แคนาดาใช้
Stagette [สตาเกท]
“เหรียญ 2 ดอลลาร์”
โดยทั่วไปจะใช้
Two-dollar coin
แคนาดาใช้
Toonie [ทูนี’]
“หมวกไหมพรม”
โดยทั่วไปจะใช้
Beanie
แคนาดาใช้
Tuque [โทค]
“ห้องน้ำ”
โดยทั่วไปจะใช้
Restroom
แคนาดาใช้
Washroom [วอช’รูม]
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
10 คุณประโยชน์จากทับทิม บรรเทาโรคได้หลากหลาย
ทับทิมคือผลไม้ที่ได้รับความนิยมมายาวนานกว่าพันปีเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะเป็นผลไม้ที่ให้รสชาติอร่อย หวานอมเปรี้ยว และให้ความรู้สึกสดชื่นหลังจากได้กินแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่ให้คุณประโยชน์อีกหลากหลายอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่าประโยชน์ที่ได้จากการกินทับทิมมีอะไรกันบ้าง
1.ลดการอักเสบ
กรดเอลลาจิแทนนินที่อยู่ในเปลือกทับทิม มีส่วนช่วยลดอาการอักเสบได้ดี ซึ่งการทดลองพบว่าสารดังกล่าวสามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดต่างๆ ในร่างกายเมื่อจุดต่างๆ เกิดการอักเสบได้ดี
2.ป้องกันไข้หวัด
สารพูนิคาลาจินและสารฟลาโวนอยด์ในทับทิม มีฤทธิ์ช่วยต้านไวรัสโรคหวัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งสารดังกล่าวนี้ยังมีความสามารถในการช่วยยับยั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ฮ่องกงได้อีกด้วย
3.ป้องกันโรคหัวใจ
เนื่องจากในทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยป้องกันไขมันชนิดไม่ดี โดยจะทำหน้าที่ช่วยกำจัดไขมันเลวโดยตรง อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการออกซิเดชั่นของไขมันเลว จึงทำให้ไขมันเลวไม่สามารถเกาะผนังเลือดได้ นอกจากนี้สารสกัดจากน้ำทับทิมยังส่งผลดีต่อการป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดี เพราะน้ำทับทิมมีส่วนช่วยลดความข้นของเลือดซึ่งเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูงนั่นเอง
4.ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
สารพูนิคาลาจินที่อุดมอยู่ในทับทิมนั้น ได้ถูกนำมาทดลองในห้องแล็บของมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์สฟิลด์ ซึ่งแสดงผลให้เห็นว่า สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการอักเสบในเซลล์สมองส่วนที่เรียกว่า Micrologia ซึ่งเป็นสาเหตุที่มีโอกาสทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
5.ป้องกันอาการอักเสบในช่องท้อง
สารพูนิคาลาจินที่อยู่ในทับทิมมีส่วนช่วยลดเซลล์อักเสบ ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่ในส่วนของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีนัยสำคัญ
กรดเอลลาจิกที่ค้นพบในทับทิม มีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็งในเนื้อเยื่อหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ ทางเดินอาหาร ปอด ตับ ลิ้น หรือผิวหนัง โดยกรดชนิดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นการเกิดกระบวนการตายของเซลล์มะเร็งบางชนิด รวมทั้งมีฤทธิ์ต้านสารก่อมะเร็งได้ดี
7.ลดระดับน้ำตาลในเลือด
สารชีวเคมีที่พบได้ทั้งในดอก เมล็ด และเปลือกทับทิม ล้วนมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อีกทั้งสารสำคัญจากผลทับทิมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกทั้งยังมีหน้าที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมและการสร้างกลูโคสอีกด้วย
8.กระตุ้นความจำ
งานวิจัยหนึ่งได้ทำการทดลองให้สารสกัดจากผลทับทิมแก่ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดในปริมาณ 2 กรัม ทำให้พบว่า ผู้ป่วยมีอัตราสูญเสียความทรงจำภายหลังการผ่าตัดลดน้อยลง หรือบางรายแทบจะไม่สูญเสียความทรงจำแต่อย่างใดเลย
9.มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
น้ำทับทิมที่ได้จากการคั้นสดให้สารต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกายสูงมาก ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในทับทิมนั้นจัดเป็นสารกลุ่มโพลีฟีนอลและแอนโธไซยานิน อีกทั้งยังมีงานวิจัยค้นพบว่า น้ำทับทิมคั้นสดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับไวน์แดงและชาเขียว
10.อุดมด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ
นอกจากจะเป็นผลไม้ที่ให้รสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญอยู่มากมาย เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน วิตามินซี วิตามินเค โฟเลท โพแทสเซียม และน้ำตาลธรรมชาติ
หลังจากที่ได้ทราบถึงประโยชน์ที่ได้จากการกินทับทิมกันไปแล้ว หวังว่าจะมีสาวๆ หลายคนหันมาให้ความสำคัญกับการกินทับทิมหรือน้ำทับทิมคั้นสดกันมากขึ้นนะคะ เอาเป็นว่าใครอยากได้แร่ธาตุที่สำคัญ พร้อมทั้งประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่แทบจะครอบคลุมไปเสียทุกส่วนของร่างกาย ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับการกินทับทิมกันบ่อยๆ นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/06/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,550.00 | 30,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,979.00 | 30,001.64 | 31,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,781.10 | 27,001.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,583.20 | 24,001.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 891.00 | 13,507.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 693.00 | 10,505.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,051.00 | 31,093.16 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/06/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 44.55 | 44.55 | 46.05 | 45.55 | 45.85 | 44.55 | 44.55 | 44.55 | 45.55 | 44.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 44.28 | 44.28 | 45.78 | 45.28 | 45.58 | 44.28 | 44.28 | 44.28 | 45.28 | 44.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 43.44 | 43.44 | 44.94 | 44.44 | 44.74 | – | 43.44 | 43.44 | 44.44 | 43.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.14 | 37.14 | – | – | – | – | – | – | – | 37.14 |
เบนซิน 95 | 51.96 | – | – | – | 53.71 | – | 52.46 | 53.06 | – | 51.96 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 35.44 | 33.94 | 34.74 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 35.44 | 33.94 | 34.74 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 35.44 | – | 34.74 | – | 33.94 | 33.94 | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 45.36 | 46.36 | 50.89 | 48.26 | 50.39 | – | – | – | – | 45.36 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |