สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2565

LPN Wisdom เผยครึ่งปี’65 คอนโดทะลัก 231% กัดฟันสู้เงินเฟ้อ-สงคราม

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ

“ลุมพินี วิสดอมฯ” เผยครึ่งปีแรก 2565 อสังหาริมทรัพย์เร่งเปิดตัวบ้าน-คอนโดฯโครงการใหม่ในเขต กทม.-ปริมณฑล ภาพรวมมีอัตราการเติบโต 121% แนวโน้มเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2565 คาดทั้งปีเติบโต 20-25% ใกล้เคียงยุคก่อนโควิด

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด หรือ LPN Wisdom บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือ LPN กล่าวว่า ผลสำรวจในช่วงครึ่งปีแรก 2565 (มกราคม-มิถุนายน 2565) มีการเปิดตัวใหม่ 163 โครงการ จำนวน 51,946 หน่วย เพิ่มขึ้น 121% มูลค่า 188,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

แบ่งเป็นการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย 48 โครงการ จำนวน 30,579 หน่วย เพิ่มขึ้น 231% มูลค่า 78,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% มีอัตราการขายเฉลี่ย 33% ต่อโครงการต่อเดือน ในขณะที่เปิดตัวบ้านแนวราบ 115 โครงการ จำนวน 21,367 หน่วย เพิ่มขึ้น 49% มูลค่า 110,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% มีอัตราการขายเฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน

บ้านแนวราบที่ได้รับการตอบรับที่ดีคือ ประเภททาวน์เฮาส์ ราคา 2-5 ล้านบาท มีอัตราการขายเฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน โดยทำเลที่เปิดตัวทาวน์เฮาส์สูงสุด ได้แก่ 1.ย่านรังสิต-ลำลูกกา 2.เพชรเกษม-อ้อมน้อย 3.ศรีนครินทร์-บางนา-สุวรรณภูมิ ในขณะที่บ้านแฝดราคา 3-6 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่มีอัตราขายเฉลี่ย 11% เปิดตัวสะสมสูงสุดในทำเล 1.บางใหญ่-ราชพฤกษ์ 2.บางนา-ตราด-สุวรรณภูมิ

และบ้านเดี่ยว เปิดใหม่ราคา 6-10 ล้านบาท อัตราขายเฉลี่ย 13% เปิดตัวสะสมในทำเล 1.บางใหญ่-ราชพฤกษ์ 2.ประชาอุทิศ-พุทธบูชา

แนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง 2565 จากการสำรวจของ “ลุมพินี วิสดอมฯ” พบว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะชะลอตัว ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงานแพง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น

ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยแตะ 7.66% ในเดือนมิถุนายน 2565 สูงที่สุดในรอบ 13 ปี ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ 5.61% กระทบต่อราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 5%

อย่างไรก็ตาม ดีเวลอปเปอร์ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย เนื่องจากมีการชะลอแผนลงทุนตั้งแต่ปี 2563-2564 ทำให้จำนวนสินค้าที่พร้อมขายในตลาดลดลง จำเป็นที่จะต้องเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่ เพื่อสร้างฐานลูกค้าและรายได้ในปี 2565-2567 เนื่องจากโครงการอาคารชุดพักอาศัย ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างและส่งมอบ 18-24 เดือน

ทั้งนี้ ลุมพินี วิสดอมฯ จัดทำความเป็นไปได้ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในครึ่งปีหลัง 2565 โดยคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์สงคราม และโควิดเป็น 3 ฉากทัศน์ (3-Scenario) ดังนี้

1.กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) บนเงื่อนไขเศรษฐกิจเติบโต 3.5-4% เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 5% สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย ราคาน้ำมันต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะอยู่ที่ 90,000-102,000 หน่วย มูลค่า 333,000-408,000 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโต 25-54% เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นอัตราเติบโตที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19

2.กรณีเติบโตปกติ (Base Case) บนเงื่อนไขเศรษฐกิจเติบโต 2.5-3% เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 5-7% สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลายในไตรมาส 4/65 ของปี ราคาน้ำมันไม่เกิน 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 78,000-84,000 หน่วย มูลค่า 288,000-336,000 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโต 9-27%

3.กรณีแย่ที่สุด (Worst Case) บนเงื่อนไขเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 2% เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 7% สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่คลี่คลาย ราคาน้ำมันสูงกว่า 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 60,000-72,000 หน่วย มูลค่า 240,000-288,000 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโต 5% ถึงติดลบ -10%

“จาก 3 ฉากทัศน์ ‘ลุมพินี วิสดอมฯ’ คาดว่า ความเป็นไปได้ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ใน กทม.-ปริมณฑล จะมีอัตราการเติบโตกรณีปกติ (Base Case) เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัย เพื่อชดเชยกับซัพพลายที่ลดลง และเพิ่มปริมาณสินค้าเข้าสู่ตลาดเพื่อสร้างรายได้ในอนาคตให้กับองค์กร ในขณะที่ความต้องการซื้อในตลาดยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท” นายประพันธ์ศักดิ์กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


แสนสิริเร่งแผนรุกไว-มองตลาดเร็ว คืนบัลลังก์ผู้นำคอนโดมิเนียม-บริการหลังการขาย

แสนสิริ

แสนสิริประกาศกลยุทธ์ Speed to Market #2 มองตลาดเร็ว-รุกไว พร้อมรับตลาดอสังหาฯฟื้นและดีมานด์ลูกค้าต่างชาติ ไฮไลต์ครึ่งปีหลัง ชูภาพแกร่ง 4 ด้าน ตอกย้ำ “แบรนด์อันดับหนึ่งคนอยากมีบ้าน” ย้ำ PROFIT ต้องก้าวไปพร้อม PEOPLE-PLANET เพื่อเติบโตยั่งยืนทุกมิติ

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 บริษัทสร้างยอดขายรวม 18,300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% จากเป้ายอดขายทั้งปี 35,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวรวม 15 โครงการ มูลค่ารวม 18,800 ล้านบาท

โดยยอดขายหลักมาจากโครงการแนวราบ 12,700 ล้านบาท สัดส่วน 74% จากยอดขายรวม 6 เดือน สามารถ Sold Out 6 โครงการ บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และยอดขายจากคอนโดมิเนียม 5,600 ล้านบาท

โดยผลงานในไตรมาส 2/65 บริษัทมียอดขาย 11,100 ล้านบาท โตขึ้น 54% จากไตรมาส 1/65 ที่มียอดขาย 7,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ แสนสิริยังมีผลงานยอดโอนในครึ่งปีแรก 14,000 ล้านบาท คิดเป็น 40% จากเป้ายอดโอนทั้งปี 35,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดโอนโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 65 : 35 มี Backlog หรือสินค้ารอโอนในมือสำหรับปีนี้ 10,500 ล้านบาท ดังนั้นจึงเหลือยอดโอนที่ต้องทำผลงานใหม่อีกเพียง 10,500 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดโอนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

#แบรนด์อันดับหนึ่ง PROFIT ต้องมาพร้อม PEOPLE และ PLANET

ทั้งนี้ แสนสิริดำเนินธุรกิจภายใต้ “YOU-centric” ที่มี “คุณ” ทุกคนเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนที่สำคัญของแสนสิริ ทั้ง “พนักงาน ลูกค้า สังคม” ด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหญ่แห่งปี “YOU Are Made For Life” “คุณ” ทุกคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาโครงการและบริการของแสนสิริ

และเป็นที่มาให้เกิดความร่วมมือระหว่างแสนสิริในฐานะผู้นำวงการแบรนด์อสังหาฯไทย จับมือกับ “VVON SUGUNNASIL” แบรนด์สูทเทเลอร์เมด และ Ready-to-Wear ชั้นนำ ร่วมออกแบบ “YOUniform” ชุดยูนิฟอร์มใหม่ของพนักงานขายแสนสิริ

รวมถึง “ลูกค้า” ที่เป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการขับเคลื่อนที่สำคัญของแสนสิริ ครั้งแรก ! กับความร่วมมือของ 2 ยักษ์ใหญ่ข้ามวงการ “แสนสิริ-ขายหัวเราะ” ในการเปิดตัวบิ๊กแคมเปญของปี “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” สร้างปรากฏการณ์มอบเสียงหัวเราะ สานต่อภารกิจช่วยคนไทยมีบ้านง่ายขึ้น

และส่วนที่สำคัญคือ “สังคม” เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนที่สำคัญของแสนสิริ ครั้งแรก ! ของ 3 องค์กรต้นแบบความเท่าเทียม ที่จับมือกันสานต่อแคมเปญ “Live Equally เราเท่ากัน ฉันเท่าเธอ” ภายใต้การสนับสนุนของ UNDP ปีที่ 3 ร่วมประกาศจุดยืนสนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลาย ผลักดันสร้างบรรทัดฐานใหม่ทั้งในองค์กรและสังคมไทยร่วมกัน

และการประกาศพันธกิจใหญ่ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” พลิกการเปลี่ยนแปลงประเทศ เด็กหลุดระบบการศึกษาต้องเป็น “ศูนย์”

ขณะที่ในด้าน PLANET แสนสิริได้เดินหน้าพันธกิจ Net-Zero โดยประกาศเป้าหมายปี 2565 บ้านเดี่ยวแสนสิริทุกหลัง พื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการใหม่ติด Solar Roof 100% โครงการบ้านเดี่ยวระดับบนทุกโครงการใหม่ติด EV Charger เต็ม 100% มุ่งมั่นสู่การเป็นอสังหาฯไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์”

ล่าสุดแสนสิริยังประกาศพันธกิจ “Sansiri Tree Story” ปลูกต้นไม้เพื่อกรุงเทพฯ ภายใต้จุดยืนในการเก็บ-เลือก-ปลูก-รักษา เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนและสังคมที่ต้องดีขึ้นด้วย

ประกาศกลยุทธ์ Speed to Market #2 รับตลาดอสังหาฯฟื้น และดีมานด์ลูกค้าต่างชาติ

การพัฒนาธุรกิจในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2565) ทำให้แสนสิริมองเห็นถึงดีมานด์และทิศทางตลาดอสังหาฯในอนาคต จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวไวรองรับทุกสถานการณ์ หรือ Speed to Market ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้แสนสิริแข็งแกร่งในปี 2564 ที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์โควิด รวมทั้งเป็นจุดแข็งของแสนสิริในครึ่งปีหลัง 2565 ด้วย

โดยแสนสิริจึงยังคงก้าวเร็วนำหน้าคู่แข่ง ด้วย “Speed to Market #2” ซึ่งประกอบด้วย แผนธุรกิจในครึ่งปีหลังเปิดตัวใหม่รวม 31 โครงการ มูลค่ารวม 31,200 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่เป้ายอดขายและยอดโอนโครงการในปีนี้ที่ 35,000 ล้านบาท รวมทั้งแข็งแกร่งระยะยาว 3 ปี เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาท

@ไฮไลต์ครึ่งปีหลัง ชูภาพแกร่ง 4 ด้าน

นอกจากแผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ที่แสนสิริจะแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ Speed to Market#2 มองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวไวรองรับทุกสถานการณ์ รับตลาดอสังหาฯฟื้นและดีมานด์ลูกค้าต่างชาติ ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ และไฮไลต์การเปิดตัวโปรดักต์ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบภายใต้แบรนด์ที่ครอบคลุมรองรับแล้ว แสนสิริยังยืนหนึ่งความเป็นผู้นำตัวจริงด้านการอยู่อาศัย ครองแชมป์แบรนด์อสังหาฯอันดับ 1 ในใจลูกค้า และแบรนด์อันดับ 1 ของคนอยากมีบ้าน ที่พร้อมย้ำภาพความแข็งแกร่งใน 4 ด้านของแสนสิริ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1.”ผู้นำตลาดลักเซอรี่” แสนสิริมีชื่อเสียงในฐานะมือหนึ่งนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักเซอรี่และซูเปอร์ลักเซอรี่ของประเทศไทยกว่า 38 ปี พิสูจน์จากประสบการณ์ที่สั่งสมและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น 98 Wireless, บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, KHUN by YOO inspired by Stark และบูก้าน โยธินพัฒนา

ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 แสนสิริเตรียมเปิดตัวแบรนด์ “NARASIRI” (นาราสิริ) บ้านเดี่ยวลักเซอรี่ 2 โครงการใหม่ “นาราสิริ พหลฯ-วัชรพล” และ “นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา” บนโลเกชั่นที่ดีที่สุดของ “กรุงเทพกรีฑา คอมมิวนิตี้”

โครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ราคา 50-95 ล้านบาท จะเป็นแฟลกชิปนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์นาราสิริอีกครั้งในรอบ 10 ปี กับคอนเซ็ปต์ “A Matter of Refinement งดงามในรายละเอียด” กับโครงการ Rare item ใน Sansiri Luxury Collection เตรียมเปิดตัวเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2565 นี้ ล่าสุดมียอดขายล่วงหน้าแล้วเกิน 50% มูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท หลังเปิดขายแบบไม่เห็นโครงการจริงในไม่ถึง 1 เดือน

นอกจากนี้ แสนสิริยังตอกย้ำความเป็นผู้นำการพัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับบน ด้วยแบรนด์บ้านเดี่ยว “เศรษฐสิริ-บุราสิริ” ราคา 8-20 ล้านบาท มียอดขายล่าสุดถึง 4,800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 แสนสิริเตรียมเปิดตัว “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” พื้นที่ 79 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท และ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” พื้นที่ 85 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ในทำเลกรุงเทพกรีฑา คอมมิวนิตี้

ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรที่สำคัญของแสนสิริ โตคิว กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกัน จากการมองเห็นศักยภาพของทำเลกรุงเทพกรีฑา คอมมิวนิตี้ ที่นับเป็นคอมมิวนิตี้การอยู่อาศัยระดับเรสซิเดนเชียลของกรุงเทพฯโซนตะวันออก รวมถึงการเปิดตัว บูก้าน กรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่ 19 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้อีกด้วย

การกลับมาเป็น “ผู้นำคอนโดมิเนียม”

แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ “เดอะ เบส” ที่ปิดการขายมาแล้วถึง 18 โครงการ มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท ล่าสุดในครึ่งปีหลัง 2565 แสนสิริเตรียมเปิดขาย “เดอะ เบส ริเวอร์วิว” ใจกลางย่านเจริญนคร เพียง 5 นาทีถึงไอคอนสยาม และ 400 เมตรจากรถไฟฟ้า BTS สถานีคลองสาน เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองย่าน CBD สีลมและสาทรได้สะดวก เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 4/65 เดือนพฤศจิกายนนี้

แสนสิริประสบความสำเร็จในการพัฒนา Affordable Condominium ที่สามารถเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า สามารถ Sold Out ปิดการขายอย่างรวดเร็วในคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE MUVE (เดอะ มูฟ) และ condo me (คอนโด มี) ในปี 2564 โดยในครึ่งปีหลัง 2565 นี้ แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จ Affordable Condomium เตรียมเปิดแบรนด์ condo me อีก 4 โครงการ 4 ทำเล

ล่าสุด โกยยอดขายจากการเปิดพรีเซล คอนโด มี 3 โครงการใหม่พร้อมกัน เจาะ 3 ทำเลไข่แดงใจกลางชุมชน-แหล่งงาน ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ 23-24 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 500 ล้านบาทจากกลุ่มลูกค้า Real Demand โดย คอนโด มี บางนา-บางบ่อ Sold out ! ทันที, คอนโด มี อ่อนนุช-พระราม 9 มียอดขาย 90% และคอนโด มี นวนคร เฟสใหม่ กระแสตอบรับดี

สำหรับปี 2565 แสนสิริวางแผนโอนอีก 4 คอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ คอนโด มี นวนคร เฟส 2, เดอะ เบส เพชรบุรีทองหล่อ, XT พญาไท ที่เตรียมโอนในเดือนตุลาคม และเดอะ มูฟ เกษตร ที่เตรียมโอนในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายยอดโอน 12,000 ล้านบาท ตามที่วางไว้

ผู้นำการบริการหลังการขาย

แสนสิริปักธงเป็นเบอร์หนึ่ง แบรนด์อสังหาฯไทยในใจลูกค้า ครองแชมป์ The Most Powerful of Real Estate Brand 2021 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันต่อเนื่อง ด้วย Brand Powerful Score ที่เป็นอันดับ 1 ในทุกด้าน ซึ่งมีผลวิจัยพบว่าลูกค้าค้นหาข้อมูลแบรนด์แสนสิริสูงสุด ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์แสนสิริ จากความคุ้มค่า ไลฟ์สไตล์อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์

รวมถึง “การบริการ” (Sansiri Service) ที่ส่งต่อความสุขในการอยู่อาศัยด้วยความเข้าใจ ดูแลครอบคลุมตั้งแต่วันแรก ตลอดจนทุกช่วงเวลาของการอยู่อาศัย ทั้งหมดเพื่อมอบความสะดวกสบาย และความอุ่นใจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยของทุกคน

นอกจากนี้ยังดูแลสุขภาพบ้าน ตลอดระยะเวลาประกัน ด้วย Sansiri Home Care บริการดูแลให้บ้านมีสุขภาพดีอยู่เสมอตลอดการอยู่อาศัย ไฮไลต์ด้วยกิจกรรม “รักษ์สุขภาพบ้าน” บริการหลังการขายรายแรกและรายเดียวในไทย เป็นกุญแจสำคัญดันครองแชมป์แบรนด์อสังหาฯอันดับหนึ่ง ในใจลูกค้า 4 ปีซ้อน

พร้อมยกระดับความมั่นใจไปอีกขั้น ด้วย LIV-24 นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการดูแลความปลอดภัยเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความมั่นใจไปอีกขั้น พร้อมดูแลความปลอดภัยให้ลูกบ้านแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง และนำเสนอนวัตกรรมการบริการล้ำหน้าด้วย แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชั่น

ผู้นำการคืนประโยชน์สู่สังคม

ธุรกิจที่แข็งแรงต้องดูแลโลก ดูแลสังคม แสนสิริเดินหน้าทำหลายโครงการเพื่อสร้างรอยยิ้มให้คนไทยและดูแลโลกมาโดยตลอด อาทิ โครงการ No One Left Behind, การฉีดวัคซีนให้พนักงานแสนสิริและพาร์ตเนอร์, การช่วยเหลือ SMEs, การเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการช่วยเรื่องโควิดของประเทศ, การช่วยเหลือแคมป์คนงาน, ช่วยช้าง และช่วยเกษตรกร เป็นต้น

จากความมุ่งมั่นว่า แสนสิริต้องการเป็นองค์กรที่ยั่งยืนในทุกมิติ เพราะธุรกิจปัจจุบันจะมุ่งเน้นแค่ผลกำไรไม่ได้ ต้องสร้างสมดุลของทั้ง PROFIT-PEOPLE และ PLANET ให้เติบโตก้าวหน้าไปด้วยกัน เพราะแสนสิริต้องการให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนและสังคมที่จะก้าวไปพร้อมกัน

ทั้งหมดนี้จึงจะเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งในใจลูกค้าได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ออมสินรับฝากเงิน ดอกเบี้ยสูงสุด 5% ไม่เสียภาษี ไม่จำกัดวงเงินฝาก

ออมสิน เงิน สินเชื่อ

ออมสินส่งเสริมให้คนไทยออมยาว ออกเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ ผลตอบแทนสูงสุด 5% ต่อปี ออมนาน 30 เดือน ไม่เสียภาษี ไม่จำกัดวงเงินฝาก

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นทำหน้าที่ในบทบาทธนาคารเพื่อสังคมในทุกมิติ รวมถึงมิติด้านการออม ส่งเสริมให้คนไทยเห็นคุณค่า ให้ความสำคัญกับการออมเงินด้วยกลไกเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชนทุกช่วงวัย

พร้อมกับแนะนำการวางแผนการออมที่ถูกวิธี อีกทั้งได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า พร้อมสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจเพื่อจูงใจให้ฝากเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนภาคสังคมที่ธนาคารออมสินใส่ใจเพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความยั่งยืน

โดยล่าสุดธนาคารออกผลิตภัณฑ์เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 2.5 ปี เงินฝากที่มีระยะเวลาฝาก 30 เดือน ให้ผลตอบแทนจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบ Step Up จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่ธนาคารกำหนด สูงสุด 5.00% กำหนดอัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1-6 = 0.625% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.00% ต่อปี เดือนที่ 13-24 = 1.25% ต่อปี และเดือนที่ 25-30 = 5.00% คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.83% ต่อปี (ไม่ต้องเสียภาษี) ซึ่งเทียบเท่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 2.15% ต่อปี

ทั้งนี้ เปิดรับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุ 7 ปึขึ้นไป เปิดบัญชีขั้นต่ำ 1,000 บาท (1 คนเปิดบัญชีได้มากกว่า 1 บัญชี) เปิดรับฝากตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ

“เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 2.5 ปี เป็นเงินออมที่มีจุดเด่น คือ ให้ผลตอบแทนสูง ไม่จำกัดวงเงินฝาก ยิ่งฝากจำนวนมากยิ่งได้ผลตอบแทนมาก ฝากครบตามกำหนดยิ่งได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้ โดยได้ดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ฝากจริง ที่สำคัญคือ ดอกเบี้ยที่ได้รับจะไม่ถูกหักภาษี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร.1115 และที่ facebook : GSB Society”

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ข้องใจนักเหรอ! เพจ FIVB จัดหนักคลิป “วอลเลย์บอลหญิงไทย” หลังโดนดราม่า

ข้องใจนักเหรอ! เพจ FIVB จัดหนักคลิป "วอลเลย์บอลหญิงไทย" หลังโดนดราม่า (ภาพ)

หลังจากที่กลายเป็นประเด็นก่อนหน้านี้เมื่อ thethao247 สื่อดังในเวียดนาม ได้ออกมาตั้งคำถามถึงการที่เพจ Volleyball World ยังคงใช้รูปทีมวอลเลย์บอลสาวไทย เป็นปกของเพจ ทั้งที่การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2022 ได้ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย

แถมทีมที่เป็นแชมป์ในปีนี้อย่าง ทีมชาติอิตาลี ยังไม่ได้ถูกนำภาพมาเปลี่ยนบนปก ทำให้สื่อเพื่อนบ้านสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมเสนอข่าวว่า “ทีมวอลเลย์บอลหญิงอิตาลี ก็ยังไม่ได้รับเกียรติจากสหพันธ์วอลเลย์บอลโลกบนหน้าแรกของเฟซบุ๊กแม้จะเป็นผู้ชนะ”

“ในการแข่งขัน วอลเลย์บอล เนชั่นส์ลีก 2022 มีทีมชั้นนำจากทั่วโลกร่วมแข่งขัน แต่ สหพันธ์วอลเลย์บอลโลก ก็ยังคงใช้รูปทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยเป็นภาพหน้าปก นับตั้งแต่ทีมนี้ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ โดยถูกโพสต์ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน จนถึงปัจจุบัน มันเกิดอะไรขึ้น”

แน่นอนเรื่องนี้ทำให้แฟนนักตบลูกยางสาวบ้านเราไม่พอใจกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องของทางฝ่ายจัดการแข่งขันที่กำหนดรูป และคอนเทนต์ทั้งหมดในเพจ หนำซ้ำทีมวอลเลย์บอลสาวเวียดนาม ก็ไม่ได้เข้าร่วมในการแข่งขันนี้ เหตุใดถึงต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามล่าสุด เพจ Volleyball World ที่นอกจากจะไม่ได้ลบภาพของ “นักตบลูกยางสาวไทย” ออกจากปกของเฟซบุ๊กทางการแล้ว แต่ยังได้จัดทำคลิปสุดพิเศษให้กับทีมชาติไทยที่มีความยาวเกือบ 9 นาที พร้อมทั้งข้อความ “ช่วงเวลาของ เนชั่นส์ลีก ที่มีความสุข และสนุกที่สุดของทีมไทยแลนด์”

“พวกเขาไม่ใช่แค่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก แต่ทีมไทย สร้างความประทับใจให้โลกด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสน่ห์ของพวกเธอ” งานนี้ถือว่าเป็นการตอบคำถามสื่อเพื่อนบ้านที่ตั้งคำถามได้อย่างเจ็บแสบเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อันตรายจากการไม่ชอบดื่ม “น้ำเปล่า”

อันตรายจากการไม่ชอบดื่ม "น้ำเปล่า"

หากไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า จะมีอันตรายเกิดขึ้นกับร่างกายของเราได้บ้าง

อันตรายจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ

หมอต้น-นิพันธ์พงศ์ พานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสตร์การแพทย์แผนไทย และการใช้สารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ และแพทย์ประจำ อวตารคลินิก การแพทย์แผนไทย ระบุว่า หากเราดื่มน้ำน้อย ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อร่างกาย อาจทำให้เลือดหนืด ข้น เหนียวมากยิ่งขึ้น หัวใจทำงานหนัก และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง และอาจเข้าไปอุดตัน ตีบแตกในเส้นเลือด หรือเลือดไม่สามารถผ่านเข้าไปในเส้นเลือดเส้นเล็กๆ ได้ โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมองที่อาจเสี่ยงอุดตันได้เพราะมีเส้นเลือดฝอยมากมาย

อันตรายจากการไม่ดื่มน้ำเปล่า

น้ำดื่ม ที่ไม่ใช่น้ำเปล่า มีความหนืดข้นในตัวเองอยู่แล้ว เพราะเป็นน้ำที่มีส่วนผสมอื่น เช่น น้ำตาล หากในกระแสเลือดมีน้ำตาลมาก ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดข้นหนืดมากขึ้นเช่นเดียวกัน

วิธีลดความข้นหนืดของเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

  1. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น โดยดื่มให้ได้ 6-8 แก้วต่อวันในวันที่มีกิจวัตรประจำวันธรรมดา และดื่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีกิจกรรมที่ทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายหรือเหงื่อออกมากเป็นพิเศษ เช่น วิ่ง ออกกำลังกาย ตากแดดร้อนๆ อากาศร้อนอบอ้าว ฯลฯ
  2. งดการดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำตาลให้น้อยลง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟหวานมัน เครื่องดื่มใส่น้ำตาล นม ครีม ฯลฯ
  3. ออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มการสูบฉีดโลหิตให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้สะดวกยิ่งขึ้น
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รากคำขยายคลัง (ab-, ambi-, ann-/-enn- และ aqu-)

  ฮีโร่ที่ทุกคนน่าจะรู้จักดีอย่าง Aquaman เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ริมทะเล และมีตัวตนที่แท้จริงเป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรใต้ทะเลซึ่งสามารถใช้ชีวิตในน้ำได้อย่างไม่ติดขัด เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมฮีโร่คนนี้ถึงถูกตั้งชื่อว่า Aquaman ไม่ใช่ Seaman หรือ Waterman นั่นก็เพราะว่า Aqua เป็นหนึ่งในรากคำภาษาละตินที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างคำภาษาอังกฤษแล้วเกิดเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับน้ำนั่นเองค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปดูรากคำที่น่าสนใจ เรามารู้จักกันก่อนดีกว่าค่ะว่ารากคำคืออะไร

ากคำ (root words) คือส่วนของคำที่เป็นความหมายหลัก ซึ่งเมื่อเราเติม prefix หรือ suffix ลงไปแล้วจะยังมีความหมายคล้ายเดิมหรือคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง การรู้รากของคำศัพท์จะช่วยขยายคลังคำศัพท์ของเราได้มากขึ้นเพราะนอกจากจะช่วยให้จำความหมายได้ง่ายขึ้นแล้วยังช่วยให้เดาความหมายของคำจากรากได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

            ในภาษาอังกฤษมีคำหลายคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเก่าแก่อย่างภาษาละตินและกรีก และบทความในวันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับรากคำอันมีที่มาจากภาษาละตินที่พบเห็นได้บ่อยตามสื่อต่าง ๆ ทั้งหมดสี่คำ

ได้แก่ ab-, ambi-, ann-/-enn- และ aqu-

ab-

มาเริ่มที่คำแรก ab- กันเลย ลองนึกถึงคำที่เรารู้จักเช่น abnormal ดูสิว่ามีความหมายว่าอย่างไร ถ้าคิดไม่ออกไม่เป็นไรค่ะ abnormal (adj.) มีความหมายว่า ผิดปกติ โดยที่คำว่า normal (adj.) หมายถึง ปกติ นั่นแสดงว่า ab- น่าจะหมายถึง ผิด ใช่ไหมคะ

ab- เป็นรากคำจากภาษาละติน ab ที่มีความหมายว่า away (ห่างออกไป) เมื่อนำมาถูกใช้เป็นรากคำจะได้คำภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า away from (ไปจาก) ดังเช่นคำในตัวอย่างคือ abnormal ถ้าแปลตรงตัวก็คือไปจากปกติหรือก็คือผิดปกตินั่นเอง

ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น

abstract (adj.) หมายถึง ที่เป็นรูปธรรม
abstain (v.)   หมายถึง งดเว้น, ละเว้น
absent (adj.) หมายถึง ไม่อยู่

ambi-

รากคำต่อมาคือ ambi- เป็นรากคำที่มีที่มาจากภาษาละตินอีกเช่นกัน โดยมีที่มามาจากคำว่า ambi ที่หมายถึง on both sides (ทั้งสองฝั่ง) และเมื่อนำมาถูกใช้เป็นรากคำจะได้คำภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า on both sides (ทั้งสองฝั่ง) เช่นกัน ตัวอย่างเช่นคำว่า ambivalence (n.) หมายถึง ภาวะที่บุคคลมีความคิดสองอย่างที่ตรงข้ามกัน เช่น ถ้าไปเรียนต่างประเทศก็ดีที่ได้ไปเปิดประสบการณ์ แต่ก็ไม่ดีที่จะต้องไปอยู่ห่างไกลครอบครัว

นอกจากคำว่า ambivalence แล้วยังมีคำอื่น ๆ อีก เช่น

ambiguous (adj.) หมายถึง คลุมเครือ, ซึ่งมีความหมายได้ทั้งสองแบบ
ambidextrous (adj.) หมายถึง ที่ถนัดทั้งสองมือ

ann-/-enn-

รากคำที่สามคือ ann-/-enn- เคยได้ยินคำว่า annual (adj.) ที่หมายถึงรายปีกันใช่ไหมคะ คำคำนี้ก็มีรากคือ ann- นั่นเอง โดยทั้ง ann-/-enn- มีที่มาจากคำภาษาละตินคำว่า annus ที่มีความหมายว่า ปี นั่นทำให้เมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างคำภาษษอังกฤษจะให้คำที่มีความหมายเกี่ยวกับปี

ตัวอย่างเช่น 

annual (adj.) หมายถึง รายปี
biannual (adj.) หมายถึง ที่เกิดขึ้นสองครั้งต่อปี
anniversary (n.) หมายถึง วันครบรอบหนึ่งปี
millennium (n.) หมายถึง สหัสวรรษ (หนึ่งพันปี)

aqu-

รากคำสุดท้ายที่พบเห็นได้บ่อยมาก ๆ ในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือ aqu- อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่าเมื่อมีคำหนึ่งคำที่มีคำว่า aqu- อยู่ในนั้น ความหมายของมันย่อมไม่พ้นไปจากอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับน้ำ โดยมีที่มามาจากคำภาษาละตินคำว่า aqua ที่หมายถึง น้ำ และเมื่อถูกหยิบยิมมาใช้ในภาษษอังกฤษมันก็ยังคงความหมายเกี่ยวกับน้ำไว้ได้ดังเดิม

ตัวอย่างเช่น

aquarium (n.) หมายถึง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
aquamarine (n.) หมายถึง อัญมณีชนิดหนึ่งที่มีสีฟ้าอมเขียว
aquaphobia (n.) หมายถึง โรคกลัวน้ำ

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


ไรอัน ติง แห่งหัวเว่ย: สร้างคุณค่าใหม่ด้วย ICT เพื่อสิ่งแวดล้อม

ไรอัน ติง แห่งหัวเว่ย: สร้างคุณค่าใหม่ด้วย ICT เพื่อสิ่งแวดล้อม

ในวันที่สองของงานประชุม “Win-Win Huawei Innovation Week” นายไรอัน ติง กรรมการบริหารของหัวเว่ยและประธานกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงานเปิดตัวโซลูชันการพัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Development Solution Launch) โดยเน้นย้ำถึงผู้ให้บริการว่าจะต้องให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นอันดับแรก และยังฝากถึงการสร้างระบบวัดประสิทธิภาพพลังงานที่เป็นมาตรฐานสำหรับใช้ในระดับอุตสาหกรรมระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “สร้างคุณค่าใหม่ด้วยเทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสิ่งแวดล้อม” “Green ICT for New Value”

นายติงกล่าวว่า “การพัฒนาแต่ละก้าวในประวัติศาสตร์ มาพร้อมกับประสิทธิภาพพลังงานในการโอนถ่ายข้อมูลที่ก้าวกระโดดเสมอ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นจากการเคลื่อนที่ของข้อมูลปริมาณมหาศาล จะกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องได้รับการแก้ไขในช่วงห้าถึงสิบปีข้างหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานจึงเป็นหนทางแห่งอนาคต”

จากงานวิจัยบริษัทบุคคลที่สาม ทราฟฟิคของดาต้าที่มาจากการให้บริการด้านดิจิทัลจะเติบโตขึ้น 13 เท่าภายในปี พ.ศ. 2573 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563 ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน การใช้พลังงานของอุตสาหกรรมไอซีทีและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 2.3 เท่า

ข้อมูลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) ระบุว่าอุตสาหกรรมไอซีทีจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ อย่างน้อยร้อยละ 45 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ความตกลงปารีส ตามรายงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติกว่า 120 ประเทศและภูมิภาค ตกลงที่จะตั้งเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไอซีทีเผชิญความท้าทายที่เกิดจากการพัฒนาและการลดการใช้พลังงานที่สวนทางกัน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการก่อสร้าง เขาได้กล่าวว่ากุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือการหันมาพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งรวมถึงการกักเก็บพลังงานและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโครงสร้างระบบไอซีทีของผู้ให้บริการ นอกจากนี้ เทคโนโลยีไอซีทีจะมีส่วนช่วยให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ นับหมื่นประเภท ซึ่งจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงสิบเท่า

นายติงกล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความท้าทายครั้งใหม่ เมื่อหลายอุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ความต้องการใช้ข้อมูลก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย และจะส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนี้ ทั่วโลกกำลังต่อสู่กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อุตสาหกรรมไอซีทีจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้เกิดขึ้น”

การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในสามด้านด้วยกัน ด้านแรกคือ การย้ายผู้ใช้งาน การอัพเกรดไซต์งาน และการลดการใช้พลังงานของเครือข่าย ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ด้านที่สอง ประสิทธิภาพของการใช้พลังงานที่ดีขึ้นจะช่วยผู้ใช้บริการ 2G และ 3G สามารถเปลี่ยนมาใช้บริการบนเทคโนโลยี 4G และ 5G ได้ ด้านที่สาม ความพยายามในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการดำเนินงานของผู้ให้บริการจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

เพื่อให้ผู้ให้บริการไปถึงเป้าหมายเหล่านี้ได้ หัวเว่ยจึงนำเสนอโซลูชันสามขั้นตอน ไซต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เครือข่ายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขั้นแรก ผู้ให้บริการได้พัฒนาโซลูชันเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน โดยเลือกดีไซน์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งใช้วัสดุใหม่ ย้ายอุปกรณ์หลักและอุปกรณ์จ่ายไฟไปไว้ภายนอกอาคาร ขั้นที่สอง โครงสร้างเครือข่ายพื้นฐานของบริษัทที่เรียบง่ายขึ้น ให้การส่งต่อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น รองรับการสร้างเครือข่ายอัจฉริยะระบบออพติคัลพื้นฐาน และขั้นสุดท้าย ในส่วนของการปฏิบัติงาน หัวเว่ยได้มอบโซลูชันที่สร้างและกระจายนโยบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เห็นภาพ รวมทั้งบริหารจัดการการใช้พลังงานได้ดียิ่งขึ้น

โดยที่ผ่านมา โซลูชันที่พัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ได้รับการนำไปใช้งานในกว่า 100 ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศเยอรมันนี โซลูชัน PowerStar จากหัวเว่ย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแบบอัตโนมัติได้ในระดับนาทีต่อนาที ส่งผลให้ประหยัดพลังงานไปได้มาก ในประเทศสเปน โซลูชันการเชื่อมต่อข้ามสายด้วยแสง (OXC) จากหัวเว่ย ก็ได้รับการนำไปใช้งานเป็นพื้นฐานสำคัญของเครือข่ายลูกค้า ช่วยประหยัดพลังงานไปได้ร้อยละ 81 อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 29 ในประเทศตุรกี หัวเว่ยได้สร้างใช้งานโซลูชันเพื่อไซต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ตู้แทนห้องเก็บอุปกรณ์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีห้องอุปกรณ์และเครื่องปรับอากาศอีกต่อไป โดยคาดว่าโซลูชันนี้จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 19,000 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ต่อไซต์ ต่อปี ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งปัจจุบัน มีผู้ให้บริการทั่วโลกกำลังสร้างสถานี 5G กว่า 2.8 ล้านจุด ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานในการทำงาน ผู้ให้บริการที่นำวิธีเพิ่มประสิทธิภาพสถานีขั้นสูงไปใช้ จะสามารถลดได้ทั้งค่าไฟในการให้บริการ และยังประหยัดพลังงาน รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย

“การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ” คือเชื้อเพลิงลำดับแรก องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ได้ให้ทางออกไว้แล้ว ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานจะช่วยลดความสวนทางของความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น กับการพัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพพลังงานจะช่วยส่งผลในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ของสังคมมนุษย์ได้ถึงร้อยละ 40 ในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า

นายติงกล่าวว่า โซลูชันนี้ยังสามารถนำไปใช้กับผู้ให้บริการเครือข่ายได้อีกด้วย ดังนั้น การประหยัดพลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโครงสร้างไอซีที ยังอยู่ภายใต้แนวคิดที่ให้ความสำคัญต่อประสิทธิภาพพลังงานเป็นลำดับแรก แต่ด้วยการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่ผู้ให้บริการจะพัฒนาประสิทธิภาพพลังงานของเครือข่ายไอซีทีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย การปลดล็อคประสิทธิภาพพลังงานจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการไปสู่การพัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ให้บริการ

หัวเว่ยและผู้ให้บริการที่เป็นพาร์ทเนอร์กำลังร่วมมือกันเพื่อเพิ่ม “รอยฝ่ามือคาร์บอน” (carbon handprint) หรือเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นปริมาณมากให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านโซลูชันไอทีซี ปริมาณก๊าซที่ลดลงอาจสูงถึงสิบเท่าของปริมาณก๊าซที่ปล่อยออกมา โดยมีตัวอย่างความสำเร็จจำนวนมากใน อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ สูง เช่น ท่าเรือ เหมืองถ่านหิน และเหล็ก เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ท่าเรือเทียนจิน ที่ใช้เทคโนโลยี 5G และระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติของประเทศจีน มีรถบรรทุกไร้คนขับ 76 คัน ปฏิบัติงานตามแบบแผนภายในไซต์งาน เมื่อนำไปเทียบกับการบังคับคอนเทนเนอร์เดี่ยวแบบเดิม มีการใช้พลังงานลดลงถึงร้อยละ 20 ค่าใช้จ่ายรวมในการปฏิบัติงานลดลงร้อยละ 10 และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 15

ในโลกของการทำเหมืองถ่านหินโดยใช้เทคโนโลยี 5G การจัดตารางด้วยคน ส่งผลให้ระยะเวลาการขนส่งยาวนาน และมีการสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งผลเสียต่อการกักเก็บพลังงาน รวมถึงการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท Unicom ประเทศจีน โดยคนงานสามารถควบคุมดูแลสภาวะถังเหล็กร้อนได้แบบเรียลไทม์ ลดระยะเวลาการขนส่งจากครึ่งชั่วโมง เหลือเพียง 7 นาที

นอกจากจะช่วยผู้ให้บริการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลากหลายภาคอุตสาหกรรมได้แล้ว หัวเว่ยซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 200,000 คน รวมถึงโรงงานและอาคารสำนักงานอีกเป็นจำนวนมาก ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน

จากคำกล่าวของนายไรอัน ติง ในส่วนของสายงานผลิต แผงโซลาเซลล์ที่กระจายอยู่บนหลังคาของโรงงานหัวเว่ยที่ตั้งอยู่ทางใต้ในจังหวัดตงกว่าน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 30,000 ตันต่อปี ในส่วนของการปฏิบัติงาน หัวเว่ยได้ปรับเปลี่ยนห้องแล็บเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา จากห้องแล็บแบบเดิมที่กระจายตัว เป็นห้องแล็บแบบศูนย์รวมที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดพลังงาน สามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 290 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี ศูนย์วิจัยหัวเว่ยในนครเฉิงตู สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ถึงร้อยละร้อย โดยสร้างกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำได้สูงถึง 200 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี เท่ากับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงปีละ 177,000 ตัน โดยเขายังทิ้งท้ายว่า “หัวเว่ยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ด้วยไอซีทีเพื่อสิ่งแวดล้อม”

เทคโนโลยี 5G จะสร้างคุณค่ายิ่งกว่าปัจจุบันในช่วงสิบปีข้างหน้า และจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดบประสบการณ์ชีวิต เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม และจุดประกายให้กับสังคม โดยประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคทองแห่งความสำเร็จในด้าน 5G แล้ว ต่อไปนี้ เราพร้อมที่จะผลักดันนวัตกรรม 5G ไปอีกขั้น และส่งเสริมประเทศไทยไปสู่ผู้นำเทคโนโลยี 5G แห่งอาเซียน

ในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังมาถึง หัวเว่ยมีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 23 ปีที่ผ่านมา ตามพันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย สนับสนุนช่วยเหลือประเทศไทย” โดยหัวเว่ยได้ร่วมมือกับลูกค้า พันธมิตรในอุตสาหกรรม และภาครัฐ เพื่อนำบริการด้านดิจิทัลสู่ประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน  และทุกองค์กร เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศอัจฉริยะ คาร์บอนต่ำ และเชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สร้างภาวะเย็นสบาย ด้วย 3 ไอเดียคลายร้อนจากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นไทย

อากาศเมืองไทยไม่ต้องอธิบายมากก็เข้าใจกันดีว่าร้อน(และชื้น)ขนาดไหน การออกแบบที่อยู่อาศัยจึงเต็มไปด้วยเทคนิควิธีการแก้ร้อนมากมายที่ไม่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเหมือนเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด เช่นจากกรณีศึกษาเรือนพักอาศัยพื้นถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก ที่ทำให้ค้นพบวิธีสร้างสภาวะน่าสบายด้วยวิธีตามธรรมชาติผ่านแนวทางการออกแบบอาคาร โดยผสานภูมิปัญญาและองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเข้ากับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน เช่น 3 วิธีที่คุณก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดังนี้

ผนังเปิดโล่งระบายอากาศ: เปิดให้กระแสลมธรรมชาติพัดผ่านอาคารได้เต็มที่ ด้วยการเลือกวัสดุผนังที่โปร่งเบา ไม่ปิดทึบ เช่นในกรณีศึกษาคือผนังขัดแตะหรือฝาปะกน และสร้างหน้าต่างขนาดใหญ่ไว้ที่แต่ละด้านของผนัง หรืออาจเป็นเพียงผนังเปิดโล่งเลยก็ได้ ความร้อนและความชื้นในบ้านจึงถูกไล่ออกด้วยกระแสลมได้อย่างรวดเร็ว เลือกประตู-หน้าต่างที่ออกแบบสำหรับการระบายอากาศอย่าง Tostem Airflow System ที่มีช่องระบายอากาศให้เกิดการถ่ายเทเข้าออกได้ โดยรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้บ้านคุณอีกด้วย

  1. แหล่งน้ำในบ้าน: หนึ่งในวิธีสร้างความรู้สึกเย็นของบ้านพื้นถิ่นไทยคือการยกพื้นเรือนขึ้นให้มีใต้ถุนสูงซึ่งผู้อยู่อาศัยสามารถใช้พักผ่อนได้ จากการศึกษากรณีตัวอย่าง ที่ใต้ถุนนั้นยังมีโอ่งน้ำหรือตุ่มน้ำดินเผารองรับน้ำฝนตั้งอยู่ รวมทั้งอ่างหรือโอ่งน้ำใบเล็ก ๆ สำหรับรดน้ำต้นไม้หรือล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเย็นสบาย การประยุกต์ใช้เทคนิคนี้สามารถทำได้เช่นการสร้างน้ำพุบริเวณบ้านหรือจะสร้างสระว่ายน้ำเลยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
  2. วัสดุและทรงของหลังคา: เรือนพื้นถิ่นแต่เดิมมักมีหลังคาเป็นทรงจั่วทรงสูงที่มุงด้วยแป้นเกล็ดไม้หรือมุงหญ้าแฝก ซึ่งมีข้อเสียคือผุพังเร็ว ต้องรักษาหรือซ่อมบำรุงบ่อย ๆ หลายคนจึงเลือกใช้หลังคาสังกะสีและทำทรงต่ำซึ่งก็สร้างปัญหาด้านประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน แดด และฝนอีก นอกเหนือจากจะลดทอนความงามและคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมแล้วด้วย การเลือกวัสดุมุงหลังคาจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการสร้างภาวะเย็นสบาย ในปัจจุบัน ทางเลือกสำหรับการออกแบบมีตั้งแต่การติดตั้งฉนวนกันความร้อน หรือเลือกหลังคากันความร้อนอย่างหลังคาเหล็กเซรามิก CMR เป็นต้น

3. วัสดุและทรงของหลังคา: เรือนพื้นถิ่นแต่เดิมมักมีหลังคาเป็นทรงจั่วทรงสูงที่มุงด้วยแป้นเกล็ดไม้หรือมุงหญ้าแฝก ซึ่งมีข้อเสียคือผุพังเร็ว ต้องรักษาหรือซ่อมบำรุงบ่อย ๆ หลายคนจึงเลือกใช้หลังคาสังกะสีและทำทรงต่ำซึ่งก็สร้างปัญหาด้านประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน แดด และฝนอีก นอกเหนือจากจะลดทอนความงามและคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมแล้วด้วย การเลือกวัสดุมุงหลังคาจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อการสร้างภาวะเย็นสบาย ในปัจจุบัน ทางเลือกสำหรับการออกแบบมีตั้งแต่การติดตั้งฉนวนกันความร้อน หรือเลือกหลังคากันความร้อนอย่างหลังคาเหล็กเซรามิก CMR เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/07/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a29,850.0029,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,934.0029,319.4430,450.00
ทองรูปพรรณ 90%1,740.6026,387.50n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,547.2023,455.55n/a
ทองรูปพรรณ 50%870.0013,189.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%677.0010,263.32n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,004.0030,380.64n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/07/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.0537.0538.0538.0538.0537.0537.0537.0538.0537.05
แก๊สโซฮอล์ 9136.7836.7837.7837.7837.7836.7836.7836.7837.7836.78
แก๊สโซฮอล์ E2035.9435.9436.9436.9436.9435.9435.9436.9435.94
แก๊สโซฮอล์ E8532.5432.5432.54
เบนซิน 9544.4645.9144.9644.9644.46
ดีเซล B734.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล34.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซล B2034.9434.9434.9434.9434.9434.9434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม46.3647.8648.7648.3647.7646.36
แก๊ส NGV15.5915.5915.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า