โมริ คอนโดมิเนียม แต่งพร้อมอยู่ มินิมอลแบบญี่ปุ่น
บีแลนด์ เปิดขายโครงการใหม่จั่วหัวว่าเป็นคอนโดฯ ราคาต่ำกว่าล้าน ซื้อถูกกว่าเช่า
ชื่อแบรนด์ “โมริ คอนโดมิเนียม” ตกแต่งสไตล์มินิมอลแบบญี่ปุ่น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ต้องบอกเลยว่าทำเลกินขาดสำหรับคนที่มีธุระปะปังจะต้องเดินทางมาติดต่อ หรือทำมาค้าขายกับอิมแพ็ค เมืองทอง แจ้งวัฒนะ เพราะตั้งอยู่ในโซนเศรษฐกิจของเมืองทองธานีเลยก็ว่าได้
อยู่ท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค ห้างสรรพสินค้า แหล่งช็อปปิ้ง เช่น คอสโม บาซาร์, บีไฮฟ ไลฟ์สไตล์ มอลล์, เดอะ พอร์ทอล เอาท์เล็ท สแควร์ ร้านอาหารชั้นนำ โรงแรม ธนาคาร สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และสถานศึกษา
ทั้งนี้ “บีแลนด์” หรือบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ฤกษ์เปิดโมริ คอนโดมิเนียม มาจากเทรนด์หลังยุคโควิดในด้านความเชื่อมั่นด้านต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัว ไฮไลต์อยู่ที่บริษัทกำลังจะมีการลงทุนก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 2 สถานี ซึ่งเป็นสถานีงอกเพิ่มเติมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) ทำให้โซนนี้ยิ่งมีความโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
โดยที่มาของชื่อแบรนด์นั้น “โมริ” แปลว่าป่าไม้ โครงการนี้จึงพัฒนาในคอนเซ็ปต์ “พักผ่อนภายใต้ธรรมชาติอันร่มรื่น…สัมผัสได้ถึงความสุขที่เรียบง่าย” กับการตกแต่งสไตล์มินิมอลแบบญี่ปุ่น
ห้องชุดมีให้เลือกจุใจ 7 แบบห้อง พื้นที่ใช้สอย 28-61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 849,000 บาท หรือราคาเริ่มต้น 3 หมื่นบาท/ตร.ม. คาดก่อสร้างแล้วเสร็จภายในต้นปี 2566
รายละเอียดรัว ๆ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 16 ชั้น จำนวน 1,040 ยูนิต ห้องชุด 7 แบบ ประกอบด้วย ห้อง Type A แบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 40.95 ตร.ม. ห้อง Type B แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 37.94 ตร.ม. ห้อง Type C แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 32.04 ตร.ม. ห้อง Type D แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 28.06 ตร.ม.
ห้อง Type GA แบบ 2 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 60.94 ตร.ม. ห้อง Type GB แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ 33.18 ตร.ม. และห้อง Type GC แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้น 32.95 ตร.ม.
ภายในห้องพักออกแบบสไตล์มินิมอลที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเรียบหรูในสไตล์ญี่ปุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีทั้งร้านค้าในโครงการ 20 ยูนิต ห้องโถง สวนป่าธรรมชาติ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย พื้นที่จอดรถในตัวอาคารและบริเวณรอบโครงการ 35% ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง พร้อมคีย์การ์ดเข้า-ออก
ในส่วนของการเดินทางถือว่าสะดวกสบายขั้นเทพ อยู่ติดทางด่วนขึ้น-ลงด่านเมืองทองธานี สามารถเข้า-ออกได้หลายทิศทาง เหมาะสำหรับผู้พักอาศัย และผู้ที่ต้องการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพทั้งในวันนี้และวันหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
36 ปี “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ก้าวสู่ท็อป 3 บ้านหลังแรกในใจลูกค้า
ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว่า 3 ทศวรรษ สำหรับบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เรียกว่าผ่านประสบการณ์มาทุกสมรภูมิที่มีผลต่อการลงทุนอสังหาฯ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตธุรกิจอสังหาฯปี 2540 กลุ่มลลิลฯถือเป็นหนึ่งในบริษัทมหาชนที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้และไม่ได้เป็นหนี้ NPL กับสถาบันการเงิน แถมยังพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ริเริ่มการทำการตลาดบ้านจัดสรรรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งโครงการ Friend get Friend และการนำระบบค้ำประกันเงินดาวน์ (Escrow Account) มาใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เป็นต้น
ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 บริษัทได้วางเป้าหมายสำคัญที่จะก้าวขึ้นเป็น National Property เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับกลุ่มลูกค้า ถือเป็นโจทย์ยากและท้าทายการบริหารงานของ “ชูรัชฏ์ ชาครกุล” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ทายาทรุ่นที่ 2 ที่รับไม้ต่อมาจากคุณพ่อ “ไชยยันต์ ชาครกุล” เข้ามาดูแลธุรกิจอสังหาฯของครอบครัวมาได้ 13 ปีแล้ว
“ชูรัชฏ์” บอกว่า บริษัทได้วางเป้าหมายในระยะยาว ตั้งเป้าที่จะเป็น national property company หรือการเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทถือเป็นผู้ประกอบการรายแรก ๆ ที่ขยายการลงทุนไปในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ส่วนในอนาคตอันใกล้ต้องการจะขยายสู่จังหวัดอื่น ๆ เพิ่มเติม
ที่ผ่านมาเริ่มเข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต แต่ช่วงจังหวะเวลานี้ยังไม่เหมาะในการลงทุน เพราะแต่ละจังหวัดในเมืองท่องเที่ยวเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด คงต้องรอให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเต็มที่กว่านี้ก่อน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งในแต่ละจังหวัดก็มีแม่เหล็กในการดึงดูดให้เข้าไปลงทุนไม่เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ลลิลฯยังมีความสนใจที่จะก้าวเข้าไปเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่จำกัดเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องการขยายสู่การพัฒนาอสังหาฯ ที่สร้างรายได้ประจำในระยะยาว (recurring income) โดยทีมพัฒนาธุรกิจของลลิลฯเข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโดยเฉพาะ ทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจศูนย์การค้า รวมถึงโรงเรียนนานาชาติ
เพราะมองว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่มีต่างชาติมาทำงานจำนวนมาก (expat) และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับคนจีนได้ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนในเมืองไทยจำนวนมาก เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติของประเทศจีนมีค่าเทอมค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับไทย ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้
Top 3 ตัวเลือกซื้อบ้านหลังแรก
นอกจากนี้ กลุ่มลลิลฯยังมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่พัฒนาสินค้าให้ตรงใจลูกค้า เพื่อก้าวสู่การเป็น 1 ใน 3 ของบริษัทอสังหาฯที่ลูกค้าเลือกซื้อบ้านหลังแรก โดยเฉพาะกลุ่มทาวน์โฮมระดับราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีตั้งแต่แบรนด์ “ไลโอ-ไลโอ บริสซ์-ไลโอ เพรสทีจ” ส่วนบ้านเดี่ยวราคา 3-6 ล้านบาท มีแบรนด์ “แลนซิโอ” เป็นแบรนด์หลัก และแบรนด์ “บ้านลลิล” ซึ่งเป็นบ้านหรูในระดับราคา 6-8 ล้านบาท
“ลลิลฯจะเน้นการตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้บริโภคในปัจจุบันผ่านการใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ทำให้มีความรู้ความเข้าใจลูกค้า เพราะคนที่ตัดสินเราไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือลูกค้า ซึ่งหัวใจสำคัญของการเลือกซื้อบ้านคือทำเลที่ตั้งโครงการ มีการเดินทางเข้าสู่แหล่งงานสะดวก มีแหล่งจับจ่ายใช้สอย มีโรงพยาบาล และโรงเรียน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการขั้นพื้นฐานของลูกค้า ถัดมาคือราคา ต้องตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้า และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้สามารถใช้ประโยชน์ใช้สอยได้ทุกพื้นที่”
โดยเฉพาะการออกแบบให้มีห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานที่บ้าน (work from home) ห้องเรียนออนไลน์ (learn from home) หรือเป็นห้องสำหรับไลฟ์ขายของผ่านออนไลน์
ที่สำคัญ โมเดลการทำธุรกิจของบริษัท 60-70% เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ส่วนที่เหลือเป็นบ้านสั่งสร้างที่ให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ได้ไม่เกิน 3 เดือน เพราะก่อสร้างบ้านด้วยระบบพรีแคสต์
ตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังเริ่มฟื้นตัว
“ชูรัชฏ์” ให้ความเห็นต่อภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ว่า ตลาดโดยรวมน่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากประเทศไทยได้เริ่มเปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจได้ ส่งผลให้ธุรกิจบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ร้านอาหารเริ่มดีขึ้น เพราะชาวต่างชาติถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
ประเมินได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวเฉพาะกรกฎาคมเดือนเดียว มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากว่า 1 ล้านคน ทำให้รัฐบาลได้ขยับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้เป็น 10 ล้านคนจากเดิม 8 ล้านคน โดยตั้งเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่อเดือนอยู่ที่ 1.5-2 ล้านคน
ขณะที่ภาคธุรกิจส่งออกเริ่มมีสัญญาณที่ดีเช่นกัน แต่เป็นการเติบโตแบบไม่หวือหวาเหมือนในอดีต เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นกัน โดยรัฐบาลประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 2.9% ซึ่งครึ่งปีแรกขยายตัวไปแล้ว 2.4% ดังนั้นเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังจะต้องขยายตัวให้ได้ 3.5% ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-เงินเฟ้อ-หนี้ครัวเรือน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในช่วงที่เหลือของปีนี้และเป็นปัจจัยกดดันตลาดอสังหาริมทรัพย์คือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น เงินเฟ้อ ในขณะที่ราคาเหล็กเริ่มลดลงเกือบจะใกล้เคียงราคาเดิมแล้ว ส่วนราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับ 90-100 เหรียญ คาดว่าในระยะ 3-6 เดือนจากนี้ ถ้าไม่มีปัจจัยเข้ามากระทบคาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับนี้ ดังนั้นปัจจัยค่าพลังงาน เงินเฟ้อ ยังเป็นปัจจัยกดดันหนี้ครัวเรือน
“เศรษฐกิจไทยมีชนักติดหลัง โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่อยู่ในระดับสูงถึง 90% ต่อเนื่องมาเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นปัจจัยหลักกระทบกับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะคนจะกู้ก็กู้ยากขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ทำให้การปล่อยกู้ยากขึ้น”
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นกระทบต้นทุนของธุรกิจอสังหาฯไม่มาก เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในภาคธุรกิจก่อสร้างที่อยู่อาศัยในปัจจุบันสูงเกินค่าแรงขั้นต่ำมานานแล้ว โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ แต่จะมีผลกระทบกับแรงงานก่อสร้างทั่วไปซึ่งเป็นส่วนน้อย เพราะการก่อสร้างบ้านในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านด้วยระบบพรีแคสต์มากขึ้น ลดการใช้จำนวนแรงงานไปได้เยอะ และลดระยะเวลาในการก่อสร้างลงค่อนข้างมาก
โดยบ้าน 1 หลังใช้แรงงานเพียง 4 คน โครงสร้างบ้านใช้เวลาสร้างเสร็จภายใน 4 วันเท่านั้น ส่วนงานก่อสร้างที่เหลือจะเน้นแรงงานฝีมือ ทั้งงานฉาบ งานหลังคา งานปูกระเบื้อง และเดินระบบไฟฟ้า เป็นต้น
แนะคนซื้อบ้านรีบตัดสินใจปีนี้
สำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ “ชูรัชฏ์” ให้คำแนะนำว่า ช่วงนี้ควรรีบตัดสินใจซื้อ เพราะบ้านสต๊อกต้นทุนเก่าเริ่มมีจำกัดแล้ว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้น หากต้องการล็อกอัตราดอกเบี้ยควรรีบตัดสินใจซื้อช่วงนี้ เพราะธนาคารยังคงอัตราดอกเบี้ยเก่าให้ได้นานที่สุด โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน
“ตลอด 36 ปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ขายเรื่องคุณภาพความเป็นอยู่ (quality of living) ขายความจริงใจ ให้ลูกค้า ซึ่งภารกิจของเราไม่ได้จบ ณ วันที่โอนบ้านให้ลูกค้า แต่ยังดูแลบริการหลังการขายให้ลูกค้าต่อ และเมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าอยากเปลี่ยนบ้านหลังใหญ่ขึ้น จะได้นึกถึงเราก่อน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีลูกค้ากลับมาซื้อโครงการของลลิลฯบ้างพอสมควร”
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
เงินบาทวันนี้เปิดตลาด “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.42 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาส “แข็งค่าหรือแกว่งตัว Sideways ในระยะสั้น” จากแรงหนุนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาซื้อหุ้นและบอนด์ในท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลางหลัก ยังคงส่งผลให้ตลาดการเงินอยู่ในภาวะผันผวนสูงต่อเนื่อง
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ตลาดจะรอจับตารายงานเงินเฟ้อทั่วไป CPI สหรัฐฯ และเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลาง เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญของผู้เล่นในตลาด คือ รายงานเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนสิงหาคม โดยตลาดคาดว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนสิงหาคม จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจชะลอลงสู่ระดับ 8.1% จาก 8.5% ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 6.1% ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของค่าเช่า รวมถึงราคาค่าบริการต่างๆ ตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ใช้จ่ายในภาคบริการมากขึ้นและมากกว่าการซื้อสินค้า
อนึ่งเราคาดว่า แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอลง แต่โดยรวมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับตัวสูงขึ้นและยังได้แรงหนุนจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัวอยู่ ทำให้ เรามองว่า เฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.75% ได้ในการประชุมเดือนกันยายน ก่อนที่เฟดอาจจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้ หากเงินเฟ้อส่งสัญญาณชะลอลงและเศรษฐกิจโดยรวมชะลอลงมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง (5yr Inflation Expectations) ที่จะเปิดเผยพร้อมรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัย Michigan (UofM Consumer Sentiment) ซึ่งหากเงินเฟ้อคาดการณ์ไม่ได้เร่งขึ้นทะลุระดับ 2.9% ไปมาก เฟดก็อาจไม่ได้จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงมากขึ้น หรือ ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ต่อเนื่องในทุกการประชุมที่เหลือ
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้แย่มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป โดยตลาดมองว่า ยอดค้าปลีกพื้นฐาน (Core Retail Sales) ซึ่งหักยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร อาจขยายตัวกว่า +0.8%m/m ในเดือนสิงหาคม สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนสิงหาคม
ฝั่งยุโรป – ตลาดประเมินว่า ความกังวลวิกฤตพลังงานของยุโรป และแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้น อาจยิ่งกดดันให้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Survey) ในเดือนกันยายน อาจปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ -60 จุด
ทั้งนี้ ดัชนี ZEW นั้นสะท้อนความเห็นของผู้เล่นในตลาดการเงิน อาทิ นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ ทำให้แนวโน้มของดัชนี ZEW อาจสอดคล้องกับทิศทางของตลาดการเงินยุโรป โดยเฉพาะตลาดหุ้น มากกว่าทิศทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
ส่วนในฝั่งอังกฤษ ตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ในเดือนสิงหาคมจะเร่งขึ้นแตะระดับ 10.2% และอาจยิ่งหนุนให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย +0.50% ในการประชุมเดือนกันยายน เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อให้สำเร็จ แม้ว่าการเร่งขึ้นดอกเบี้ยจะเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ปัญหาเงินเฟ้อสูงที่ส่งผลให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและกดดันให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอังกฤษดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1980 จะกดดันให้ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม หดตัวกว่า -0.5%m/m
ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนในเดือนสิงหาคมจะยังคงสะท้อนภาพการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางแรงกดดันจากผลกระทบของการใช้มาตรการ Zero COVID รวมถึงผลกระทบของภาวะภัยแล้งที่ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนพลังงานขึ้น โดยตลาดมองว่า ยอดค้าปลีก (Retail Sales) จะโตเพียง 3.2%y/y ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะขยายตัว 3.5%y/y ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกับยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) ก็จะโตชะลอลงเหลือ +5.5%y/y, YTD
ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่า แม้ภาพเศรษฐกิจจีนอาจชะลอลงในเดือนสิงหาคม แต่ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะยังไม่เร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่าง MLF-1yr เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน (CNY) ในช่วงที่เฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยกว่า +0.75% ในเดือนกันยายน
ฝั่งไทย – เราคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนสิงหาคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 43 จุด ได้ หลังเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการจ้างก็ปรับตัวดีขึ้น หนุนโดยความต้องการแรงงานของภาคการบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ผู้บริโภคอาจกังวลปัญหาค่าครองชีพลดลงบ้าง หลังราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนตามทิศทางเงินดอลลาร์ ทว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเราเริ่มเห็นการกลับเข้ามาซื้อหุ้นและบอนด์ในท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้ง หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้หรือแกว่งตัว Sideways ในระยะสั้น หลังสัญญาณเชิงเทคนิคัล “Bearish Divergence” ของ RSI มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในกราฟค่าเงินบาทหลายกรอบเวลา (Time Frame) ทั้งกราฟเงินบาท รายวัน (Daily) รายสัปดาห์ (Weekly) และรายเดือน (Monthly)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ตลาดได้รับรู้แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว (ตลาดมองโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.75% ในเดือนกันยายน สูงกว่า 90% จาก CME FedWatch Tool) ทำให้เงินดอลลาร์อาจผันผวนตามภาวะตลาดการเงิน โดยเงินดอลลาร์อาจยังได้แรงหนุน หากตลาดปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนักหรือความกังวลวิกฤตพลังงานยุโรป ทว่าหากตลาดเปิดรับความเสี่ยงหรือเริ่มมองว่า เฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อ ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนเงินดอลลาร์ในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.00-36.60 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.30-36.50 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 36.38-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 36.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงหลังจากขยับแข็งค่าค่อนข้างมากในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของเงินบาทยังน่าจะแกว่งตัวเป็นกรอบในช่วงที่ตลาดรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.35-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ และทิศทางสกุลเงินในภูมิภาค ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญจะเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือนส.ค. ของสหรัฐฯ ในวันอังคาร
อนึ่ง ธนาคารกลางอังกฤษเลื่อนการประชุมนโยบายการเงินจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 ก.ย. ในสัปดาห์นี้ เป็นวันที่ 22 ก.ย. ในสัปดาห์หน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บทสรุปทุกอย่าง! “วอลเลย์บอลหญิงไทย” คว้าแชมป์ลูกยาง อาเซียน กรังด์ปรีซ์ 2022
การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง “วัน อาเซียน กรังด์ปรีซ์” ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย หลังแข่งขันแบบพบกันหมดทั้ง 4 ชาติ ประกอบด้วย ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย ชิงเงินรางวัล 2.5 ล้านบาท
โดย “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เก็บชัยชนะรวดทั้ง 3 เกม และไม่เสียเซตให้กับคู่แข่งเลยตลอดการแข่งขัน เก็บ 9 คะแนนเต็ม คว้าแชมป์ อาเซียน กรังด์ปรีซ์ 2022 มาครองได้สำเร็จ โดยถือเป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 2
ผลงานของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ในรายการนี้
9 กันยายน 2565 : ชนะ ฟิลิปปินส์ 3-0 เซต
10 กันยายน 2565 : ชนะ อินโดนีเซีย 3-0 เซต
11 กันยายน 2565 : ชนะ เวียดนาม 3-0 เซต
สรุปอันดับการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง อาเซียน กรังด์ปรีซ์ 2022
1. ไทย (แชมป์)
2. เวียดนาม (รองแชมป์)
3. อินโดนีเซีย
4. ฟิลิปปินส์
รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมในตำแหน่งต่างๆ
นักกีฬายอดเยี่ยม (MVP) : พิมพิชยา ก๊กรัมย์ (ไทย)
หัวเสายอดเยี่ยม : เจิญ ธิ ธัญ ธุย (เวียดนาม), อัจฉราพร คงยศ (ไทย)
บอลเร็วยอดเยี่ยม : เหงียน ธิ จริญ (เวียดนาม), ฑิชากร บุญเลิศ (ไทย)
บีหลังยอดเยี่ยม : เมกาวาตี ฮันเกสตรี (อินโดนีเซีย)
เซตยอดเยี่ยม : พรพรรณ เกิดปราชญ์ (ไทย)
ตัวรับอิสระยอดเยี่ยม : ไคลา อาเทียนซา (ฟิลิปปินส์)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมคำว่า “สู้ๆ” อาจไม่เหมาะที่จะพูดกับผู้ป่วย “ซึมเศร้า”
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยอ่าน เคยได้ยินกันมาบ้างเกี่ยวกับคำที่ควรใช้กับคนที่มีอาการซึมเศร้า อย่างคำว่า “สู้ๆ” นั้นก็เป็นหนึ่งคำที่ไม่ควรใช้ เคยสงสัยกันไหมว่าทำไม?
สำหรับคำตอบนั้นเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า ซึมเศร้า เป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นอาการป่วยที่ไม่มีใครอยากเป็น บางครั้งคำพูดบางคำก็ส่งผลต่อจิตใจพวกเขามากๆ
คำว่า “สู้ๆ” อาจจะดูเป็นคำปกติ เป็นคำที่ให้กำลังใจได้อย่างดี เป็นคำที่ดูแล้วเติมไฟได้อย่างดี แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นซึมเศร้าแล้ว คำนี้เมื่อได้ฟัง มันอาจจะเหมือนการถูกปล่อยให้สู้เพียงลำพัง ไม่รู้จะสู้ยังไง สู้มามากแล้ว สู้กับอะไรก็ไม่รู้
คำที่ไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คำอื่นๆ ที่ใกล้เคียงก็ไม่ควรใช้เช่นกัน เช่น
- อย่าคิดมาก
- อย่าท้อนะ
- จะเศร้าไปถึงไหน
- เลิกคิดเถอะ
- เรื่องแค่นี้เอง
- ร้องไห้ทำไม
- อย่าอ่อนแอ
แล้วเราควรพูดหรือควรทำอะไร
หลักๆ เลยแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราพร้อมที่จะรับฟัง พร้อมที่จะอยู่ข้างๆ เช่น
- มีอะไรพูดมาได้นะ เราพร้อมจะรับฟัง
- เราอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เสมอ
- มีอะไรบอกได้เราอยู่ตรงนี้
- หรือถามว่าพวกเขามีอะไรอยากเล่าไหมใช้คำถามปลายเปิด ถามว่าเราช่วยอะไรได้ไหม ให้พวกเขาได้ระบายออกมา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
How to prevent Covid-19 or Corona Viruses.
How to prevent Covid-19 or Corona Viruses.
วิธีป้องกันไวรัสโควิด (Covid-19) ที่ทุกคนต้องรู้!!
วันนี้ Wall Street English มีวิธีง่ายๆ สำหรับทุกคนที่ต้องการดูแลและป้องกันตัวเองจากโรคที่กำลังระบาดหนักอยู่ในขณะนี้!
โดยกลุ่มไวรัสโคโรน่านั้น ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1960 ซึ่งทำให้ก่อเกิดเหมือนอาการเป็นไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก แต่ล่าสุด ได้ถูกพบที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ในปลายปีที่ผ่านมา
โดยเบื้องต้น ทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ดังนี้
– สวมใส่ Mask ทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปยังที่สาธารณะ
Wearing a face mask in public to prevent infection.
– ควรล้างมือให้สม่ำเสมอ ถ้าไม่มีสบู่หรือน้ำ ให้ใช้ด้วยแอลกอฮอล์เจลสำหรับล้างมือ
Washing Hands. Use an alcohol-based hand sanitizer if soap and water are not available.
– งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
Avoid touching your eyes, nose or mouth with unwashed hand.
– ทานอาหารร้อนและสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง
Eating hot food.
– เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และเมืองอื่น ๆ รวมไปถึงประเทศที่มีการประกาศว่าเป็นพื้นที่ ที่มีการระบาด
Avoid high risk areas.
– อยู่กับที่บ้าน หากพบว่าอยู่ในพื้นที่เสียง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และหากกลับจากต่างประเทศภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการป่วยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และแจ้งรายละเอียดว่าเราเคยไปต่างประเทศมาแม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มีการติดเชื้อก็ตาม
Staying home when you are sick.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
SCG นำนวัตกรรม “รถ Bi-ion Airbulance” สัญจร สร้างอากาศสะอาดกลางเมือง
SCG เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย พัฒนานวัตกรรม “ระบบ SCG Bi-ion ระบบกำจัดเชื้อโรคในอากาศ” จำลองอากาศบริสุทธิ์จากใจกลางป่า สัญจรสู่ใจกลางเมือง เผยโรงพยาบาล ออฟฟิศสำนักงาน โรงเรียน และร้านอาหาร เริ่มติดตั้งแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า SCG ได้เดินหน้าพัฒนานวัตกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานอากาศปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อาคาร SCG ได้นำเสนอระบบกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ซึ่งที่ผ่านมา ติดตั้งแล้วในหลายๆ สถานที่ ทั้งในโรงพยาบาล ออฟฟิศสำนักงาน โรงเรียน และร้านอาหาร
ล่าสุด SCG สร้างอากาศปลอดภัยไปบนรถกู้อากาศบริสุทธิ์เคลื่อนที่ SCG Bi-ion Airbulance เพื่อสร้างประสบการณ์อากาศสะอาด ราวกับจำลองอากาศจากใจกลางป่า มาไว้กลางเมือง
ภายใต้แนวคิดในแคมเปญ #CleanAirMatters SCG มีความตั้งใจในการกระตุ้นเตือนสังคมต่อเนื่อง ถึงการให้ความสำคัญกับอากาศที่สะอาด ปลอดภัย และคนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับคุณภาพอากาศที่ดี ผ่านประสบการณ์ “รถกู้อากาศบริสุทธิ์เคลื่อนที่” หรือ “SCG Bi-ion Airbulance” ที่ติดตั้ง “SCG Bi-ion” ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ ทำให้อากาศสะอาดเสมือนยกอากาศจากป่าธรรมชาติที่อุดมไปด้วยประจุไอออนจำนวนมากมาไว้ในรถเคลื่อนที่
รถกู้อากาศบริสุทธิ์ ได้นำเสนอในพื้นที่กลางสยามสแควร์” เมื่อวันที่ 2-4 กันยายน,“ลานหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ” ในวันที่ 5-9 กันยายน,“ลาน Q Space The PARQ” ในวันที่ 12-14 กันยายน และปิดท้ายที่ “เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ” ในวันที่ 15-16 กันยายน เพื่อให้ทุกท่านสัมผัสประสบการณ์พื้นที่อากาศสะอาดปลอดภัย สูดลมหายใจได้เต็มปอด ที่เราสามารถสร้างได้
ในปัจจุบันมีหลายโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนติดตั้ง ระบบ SCG Bi-ion เพื่อร่วมสร้างพื้นที่อากาศปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานอาคารในกลุ่มโรงพยาบาล อาทิ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ในกลุ่มสถาบันการศึกษา อาทิ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก, โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และโรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นต้น
ร่วมสร้างทุกพื้นที่ให้มีอากาศสะอาดและปลอดภัย ด้วย SCG Bi-ion ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของ “แมกนีเซียม” หาได้จากอาหารชนิดใดบ้าง
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตแมกนีเซียมเองได้ จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเพื่อให้ได้รับแร่ธาตุชนิดนี้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน แหล่งอาหารที่มีแมกนีเซียม อาจพบได้ในพืชตระกูลถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียว ปลาบางชนิด นม โยเกิร์ต ผลิตภัณฑ์จากนม ดาร์กช็อกโกแลต เป็นต้น
ประโยชน์ของแมกนีเซียมต่อสุขภาพ
แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ทั้งยังใช้เสริมสร้างโปรตีน กระดูก และดีเอ็นเอให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วย
หากร่างกายขาดแมกนีเซียมเป็นเวลานานอาจทำให้ระดับแคลเซียมและโพแทสเซียมน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากแมกนีเซียมมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแร่ธาตุสองชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายและลำเลียงแคลเซียมและโพแทสเซียมเข้าและออกจากเซลล์ต่าง ๆ อีกทั้งการขาดแมกนีเซียมยังอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง เป็นต้น หากมีภาวะขาดแมกนีเซียมรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการชา ปวดกล้ามเนื้อ ชัก บุคลิกเปลี่ยนแปลง และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
ผู้ที่มีภาวะขาดแร่ธาตุแมกนีเซียม อาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะต่อไปนี้
ปริมาณแมกนีเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน
ปริมาณแมกนีเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวันของคนในแต่ละช่วงวัย อาจแบ่งได้ดังนี้
- อายุ 1-3 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 80 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 4–8 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 130 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 9–13 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 240 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 14-18 ปี ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 410 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 360 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 19-30 ปี ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 400 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 310 มิลลิกรัม/วัน
- อายุ 31 ปีขึ้นไป ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 420 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 320 มิลลิกรัม/วัน
คนส่วนใหญ่จะได้รับแมกนีเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจากการรับประทานอาหารทั่วไปอยู่แล้วจึงไม่ต้องรับประทานแมกนีเซียมในรูปแบบอาหารเสริม และแม้ว่าร่างกายจะได้รับแมกนีเซียมจากอาหารมากเกินไป ก็สามารถขับแมกนีเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ผ่านปัสสาวะ
แมกนีเซียม อาหาร มีอะไรบ้าง
อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจมีดังนี้
ถั่วและเมล็ดพืช
ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดแฟลกซ์ เป็นแหล่งแมกนีเซียมชั้นดี ทั้งยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ดีต่อสุขภาพหัวใจ และมีส่วนช่วยลดความอยากอาหารเมื่อรับประทานเป็นของว่าง
ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากถั่วและเมล็ดพืช เช่น
- เมล็ดฟักทอง ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 592 มิลลิกรัม
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 292 มิลลิกรัม
- อัลมอนด์ ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 258 มิลลิกรัม
- เมล็ดแฟลกซ์ ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มีแมกนีเซียมประมาณ 40 มิลลิกรัม
ปลา
ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาอินทรี มักมีปริมาณแมกนีเซียมสูง มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังบางชนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจ
ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากปลา เช่น
- ปลาแซลมอน ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 95 มิลลิกรัม
- ปลาอินทรี ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 33 มิลลิกรัม
- ปลาทูน่า ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 22.7 มิลลิกรัม
นมและผลิตภัณฑ์จากนม
นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เป็นแหล่งรวมสารอาหารและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่มีกรดอะมิโนซึ่งช่วยรักษาเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ในโยเกิร์ตยังอุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ที่ช่วยบำรุงระบบขับถ่ายด้วย
ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น
- นมไม่มีไขมัน ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 12.5 มิลลิกรัม
- โยเกิร์ต ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 11.4 มิลลิกรัม
- คอทเทจชีส ไขมันต่ำ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 8.9 มิลลิกรัม
ผักใบเขียว
ผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักคะน้า กะหล่ำปลี มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค ธาตุเหล็ก รวมไปถึงแมกนีเซียม ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย และอาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากผักใบเขียว เช่น
- ปวยเล้ง ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 79 มิลลิกรัม
- ผักคะน้า ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 32.7 มิลลิกรัม
- กะหล่ำปลี ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 27 มิลลิกรัม
ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 31 มิลลิกรัม และมีแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส อีกทั้งยังมีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ที่เป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโด
อะโวคาโดปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 29 มิลลิกรัม และมีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม แมงกานีส ทองแดง ทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง นอกจากนี้ อะโวคาโดยังมีใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการขับถ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
ข้อควรระวังในการบริโภคแมกนีเซียม
ข้อควรระวังในการบริโภคแมกนีเซียม มีดังนี้
- การรับประทานอาหารเสริมแมกนีเซียมเพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อร่วมกับการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหัวใจ ยาปฏิชีวนะ อาจส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ จึงควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งก่อนใช้ยาร่วมกับอาหารเสริมแมกนีเซียม
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคหัวใจ ภาวะที่หัวใจเต้นช้าลงหรือมีจังหวะผิดปกติ (Heart block) โรคไต โรคลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) ควรหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมแมกนีเซียม
- ควรรับประทานอาหารเสริมแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากร่างกายได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป อาจทำให้มีแมกนีเซียมส่วนเกินสะสมในร่างกาย และส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ ตะคริว ท้องเสีย หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยปริมาณอาหารเสริมแมกนีเซียมสูงสุดที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน มีดังนี้
- เด็กอายุ 1-3 ปี ไม่ควรเกิน 65 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ไม่ควรเกิน 110 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ไม่ควรเกิน 350 มิลลิกรัม/วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,500.00 | 29,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,911.00 | 28,970.76 | 30,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,719.90 | 26,073.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,528.80 | 23,176.61 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 860.00 | 13,037.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 669.00 | 10,142.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,980.00 | 30,016.80 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.55 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.08 | 35.08 | 35.28 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.44 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.24 | 32.24 | – | – | – | – | – | – | – | 32.24 |
เบนซิน 95 | 42.76 | – | – | – | 43.21 | – | 43.26 | 43.26 | – | 42.76 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.66 | 44.66 | 45.66 | 45.66 | 45.66 | – | – | – | – | 44.66 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |