คอนโด-วิลล่าเปิดขายใหม่ภูเก็ตระอุซัพพลายนิวไฮ!ทะลุแสนล้าน!
“ภูเก็ต” จุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 8 ล้านคนเดินทางมาเยือนภูเก็ตในปี 2566 เป็นชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย ฮ่องกง และจีน หนุนอสังหาริมทรัพย์คอนโด-วิลล่าในภูเก็ตโตก้าวกระโดดซัพพลายนิวไฮ!ทะลุแสนล้าน
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ภูเก็ตมีอุปทานเปิดขายใหม่ 10,000 ยูนิต เข้าสู่ตลาดทั้งในส่วนคอนโดมิเนียมและวิลล่า ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 100,000 ล้านบาท! ถือเป็นอุปทานเปิดขายใหม่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาของจังหวัดภูเก็ต
โดยพบว่า ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ต่างเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคัก หลายโครงการ “ปิดการขาย” ได้อย่างรวดเร็ว โดยถูกดูดซับออกไปด้วยกำลังซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย
ยิ่งภูเก็ตฝั่งตะวันตก ทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่าเป็นทำเลยอดนิยมที่ต่างชาติและชาวไทยให้ความนิยม เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนสูง บางโครงการปล่อยเช่าได้สูงกว่า 1,000-1,200 บาทต่อตารางเมตร เทียบเท่าการลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน
แน่นอนว่า ตลาดอสังหาฯ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด!
ทั้งนี้ ทำเลยอดนิยม บางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่า พบว่าที่ดินที่อยู่ในระยะห่างไกลจากทะเล มีราคาเสนอขาย ไร่ละ 25-40 ล้านบาท ที่ดินที่ใกล้ทะเล หรือ ติดชายหาดมีราคาเสนอขายที่สูงกว่า 100 ล้านบาทต่อไร่ ส่งผลให้ผู้พัฒนารายเล็กในพื้นที่หาที่ดินนำมาพัฒนาโครงการใหม่ได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่สามารถสู้กับผู้พัฒนารายใหญ่ที่มีต้นทุนที่ดีกว่าได้
แนวโน้มดังกล่าวคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตจะยังคงคึกคักต่อเนื่องในปี 2567 เพราะมีผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ และทุนใหญ่ในพื้นที่เปิดตัวโครงการต่อเนื่อง มี “Branded Residence” อย่าง The Standard Residences Phuket Bangtao รวมถึงดีเวลลอปเปอร์จำนวนมากเข้ามาเปิดตัวโครงการในย่านบางเทา เชิงทะเล รอบลากูน่า รวมทั้งหาดกมลา ที่โครงการใหญ่จะกลับมาขายอีกครั้งในราคายูนิตสูงกว่า 1,000 ล้านบาท
จากข้อมูลอุปทานคอนโดที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในภูเก็ตช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดเปิดขายใหม่ 32,163 หน่วย โดยปี 2566 อุปทานเปิดขายใหม่คอนโด 36 โครงการ 8,743 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวม 49,559 ล้านบาท เป็นอุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเกาะภูเก็ต จากผู้พัฒนาทั้ง แสนสิริ แอสเซทไวส์ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป
จากปกติคอนโดเปิดขายใหม่แต่ละปีมีเพียง 2,000 -3,000 ยูนิตเท่านั้น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น บวกกับโครงการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นเสมือนแรงผลักดันสำคัญทำให้ตลาดคอนโดภูเก็ตเติบโตก้าวกระโดด คาดปี 2567 จะมีคอนโดเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดอีกกว่า 4,500 ยูนิต
หลังจากปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีอุปทานคอนโดที่อยู่การขายทั้งหมด 75 โครงการ 22,253 ยูนิต ขายไปแล้ว 14,484 ยูนิต หรือ 65% มีหน่วยขายรอการระบาย 7,769 ยูนิต คิดเป็น 34.9% มีอัตราดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนสูง 5.4% ยิ่งคอนโดราคา 1-2 ล้านบาทต่อยูนิตมีอัตราการดูดซับ 9.9% สูงกว่าตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ
สำหรับอุปทานเปิดขายใหม่ของวิลล่าในภูเก็ตปี 2566 เติบโตก้าวกระโดดเช่นเดียวกัน มีอุปทานเปิดขายใหม่ 61โครงการ 1,108 ยูนิต มูลค่ากว่า 51,002 ล้านบาท ถือเป็นอุปทานเปิดขายใหม่สูงสุดเท่าที่เคยมีมาของภูเก็ตเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ ทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่า ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ อาทิ แสนสิริ แอสเซทไวส์ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป รวมถึง ไซมิส แอสเสท สนใจเข้าไปพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกำลังซื้อรัสเซียที่เข้ามา
“ภาพรวมตลาดวิลล่าในภูเก็ตปี 2566 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 107 โครงการ 2,316 ยูนิต ขายแล้ว 1,220 ยูนิต เหลือ 1,096 ยูนิต ได้ความสนใจจากกำลังซื้อต่างชาติเป็นอย่างมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยทั้งจากกรุงเทพฯ และในพื้นที่ ลูกค้าจากยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก รวมทั้งในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ คาดตลาดวิลล่าและคอนโดในภูเก็ตยังคงคึกคักต่อเนื่องในปี 2567 ”
โดยเฉพาะทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล พื้นที่รอบลากูน่า และกมลา โดดเด่นเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่เน้นการขายแบบการันตีค่าเช่า มีทั้ง 5% 3 ปี หรือ 7% 3 ปี แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ทุกโครงการมียอดขายจากต่างชาติ 49% เต็มทุกโครงการ แต่หากมีลูกค้าชาวต่างชาติสนใจเพิ่มก็จะขายแบบเช่าระยะยาว 30+30+30 ปี เพื่อเปิดโอกาสการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับชาวต่างชาติที่กำลังซื้อโดดเด่น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เดอะสแตนดาร์ดผนึกแสนสิริ-ซีจีแคปปิตอลเขย่าอสังหาฯหัวหิน-ภูเก็ต
การฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวไทยพลิกฟื้นอย่างรวดเร็ว ปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยสูงถึง 28 ล้านคน! และยังมีการขยายตัวต่อเนื่องในปี 2567 แตะ 35 ล้านคน เป็นโอกาสสำหรับอสังหาริมทรัพย์ “หัวหิน-ภูเก็ต” เดสติเนชั่นยอดนิยมของคนไทยและต่างชาติกระเป๋าหนัก
อมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด ก่อตั้งมากว่า 25 ปี ด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน และการฉีกกฎเกณฑ์ของมาตรฐานโรงแรมแบบเดิมๆ เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก ไมอามี่ ลอนดอน อิบิซา มัลดีฟส์ หัวหิน และกรุงเทพฯ ที่เป็นแฟลกชิปของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญกับ “Branded Residences” มากขึ้น เนื่องจากตลาด Branded Residences ทั่วโลกขยายตัวสูง 216% กระจายตัวในหลายโลเคชั่น
ทั้งทำเลในเมือง อาทิ สิงคโปร์ บาหลี กรุงเทพฯ สัดส่วน 42% และทำเลบ้านพักตากอากาศ อาทิ ดานัง ฮอยอัน ปูซาน สัดส่วน 58% จากก่อนหน้านี้ประเดิม 2 โครงการ ได้แก่ ไมอามี่ ราคาเฉลี่ย 450,000 บาท/ตร.ม.ล่าสุดมียอดขาย 85% เปิดในไตรมาส 3 ปี 2568 ส่วนที่ลิสบอน ราคาเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. มียอดขาย 91% เปิดไตรมาส 3 ปี 2567
ล่าสุด ร่วมกับ 2 บิ๊กอสังหาฯ ในประเทศไทยพัฒนา 2 โครงการในหัวหินและภูเก็ต มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท ได้แก่ เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ หัวหิน มูลค่า 4,500 ล้านบาท ร่วมทุนกับแสนสิริ และเดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ บางเทา มูลค่า 4,000 ล้านบาท ร่วมทุนกับ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด ของกลุ่มจิราธิวัฒน์
พูลวิลล่าหัวหิน 220 ตร.ม.ราคา100 ล้าน
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ แสนสิริ กล่าวว่า แสนสิริ ถือเป็นเจ้าตลาดหัวหินมานาน 35 ปี พัฒนาโครงการในพื้นที่รวม 25 โครงการ มูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท ปิดการขายแล้ว 22 โครงการ
หัวหินเป็นโลเคชั่นกลยุทธ์สำคัญ โครงการแฟลกชิปแห่งแรก “บ้านไข่มุก” ปัจจุบันราคาขายต่อ (Capital gain) พุ่ง 1,000% อยู่ที่ 80 ล้านบาท โดยเดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ เป็นโปรเจกต์ไฮไลต์ปี 2567 ของแสนสิริ มีมูลค่า 4,500 ล้านบาท จำนวน 245 ยูนิต บนพื้นที่ 9 ไร่ ในรูปแบบฟรีโฮลล์
ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 40-153 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้านบาท พูลวิลล่า มีเพียง 2 หลัง ขนาด 220 ตร.ม.ราคา 100 ล้านบาท ลูกค้าคนไทยมีสัดส่วน 70% ที่มองหาบ้านหลังที่สอง อีก 30% เป็นลูกค้าต่างชาติ ทั้งรัสเซีย และจีน ระยะหลังคนรัสเซียเริ่มขยายเข้าสู่พื้นที่หัวหินมากขึ้น โดยจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างเดือนมี.ค. เปิดพรีเซล เดือน พ.ค. วางเป้ายอดขาย 60% คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569
ผุดโครงการบางเทารับคอนโดโต 113%
ภูมิ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า ปี 2565-2566 หลังโควิดตลาดคอนโดในภูเก็ต ทำเลบางเทาเติบโตถึง 113% มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 6.8-8.3% นับเป็นโอกาสในการลงทุนมิกซ์ยูสโซนบางเทาภายใต้แบรนด์ เดอะสแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ บางเทา มูลค่า 4,000 ล้านบาท มีพื้นที่ 19 ไร่
แบ่งเป็น 3 โปรเจกต์ ประกอบด้วย เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ บางเทา ขนาด 12 ไร่ 188 ยูนิต ห้องขนาด 75-313 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 11.9 ล้านบาท และโรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา พรีเซลเดือน มี.ค. เปิดชมโครงการ เม.ย.นี้ เข้าอยู่ภายในไตรมาส 4 ปี 2569 กลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติและคนไทยที่ต้องการบ้านหลังที่สอง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7ก.พ. ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าเร็วและแรง หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือส่งสัญญาณที่ชัดเจน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7ก.พ. 2567 ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.67 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง. ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้โซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากที่เงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนก่อนหน้า ทว่า เงินบาทก็อาจพอแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชีย ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง
ซึ่งต้องจับตาว่า ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง จะยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หรือ ไม่ โดยภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินจีนก็จะช่วยหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่งผลดีต่อสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินที่เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกับจีนสูง อย่าง ค่าเงินบาท
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. (ในช่วง 14.00 น. เป็นต้นไป) โดยเราประเมินว่า ค่าเงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าเร็วและแรง หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ย (มีคณะกรรมการบางท่าน เห็นควรให้ลดดอกเบี้ย -25bps) หรือ กนง. มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจน พร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งอาจต้องเห็นการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยให้แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นกัน
โดยเบื้องต้น ประเมินว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 35.70-35.75 บาทต่อดอลลาร์ และหากผู้เล่นในตลาดประเมินว่า การทยอยลดดอกเบี้ยของ กนง. หากเกิดขึ้น จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ก็อาจเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือ อาจหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าแถวโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือทดสอบแนวรับถัดไป 35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน
เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.65 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง.
และประเมินกรอบเงินบาทในช่วง 35.40-35.75 บาท/ดอลลาร์ หลังทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.51-35.69 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการทยอยย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนพฤษภาคมและเฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 5 ครั้ง ในปีนี้
นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ยังคงสดใส และความคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 5 ครั้งในปีนี้ ได้ช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมีการขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่น AMD -3.6%, Nvidia -1.6% ที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในปีนี้บ้างก็ตาม ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดรีบาวด์ขึ้น +0.23%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.63% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาสดใส โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น BP +5.5%
ขณะเดียวกัน ความหวังต่อการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน จากการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน และการเข้าพยุงตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง ก็ช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นยุโรปที่เกี่ยวข้องกับธีมการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ต่างปรับตัวขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และยานยนต์ Rio Tinto +0.8%, Ferrari +1.5%
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -125bps ในปีนี้ รวมถึงความกังวลของผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่อปัญหาธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ (US Regional Banks) ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.11%
ทั้งนี้ เราคงมองเหมือนเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยหลายครั้งของเฟด
ดังนั้น เราจึงขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return ซึ่งหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้น ทะลุระดับ 4.20% ไปได้ ก็จะมีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อเป็นอย่างมาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 5 ครั้งในปีนี้ ซึ่งถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สู่โซน 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์จากโซนแนวรับของราคาทองคำออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเรามองว่า กนง. อาจมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ทว่าควรจับตาการปรับเปลี่ยนมุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ (ถ้ามี)
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง ผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ในช่วงนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.49-35.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามทิศทางของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ (หลังจากที่แข็งค่าขึ้นมากในช่วงก่อนหน้านี้ รับการเปลี่ยนมุมมองตลาดมาประเมินว่า มีโอกาสน้อยลงที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้)
อย่างไรก็ดีคงต้องติดตามผลการประชุมกนง. ในช่วงบ่ายวันนี้ ทั้งในส่วนของมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและสัญญาณเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทในระหว่างวัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.45-35.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขการค้าระหว่างประเทศเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทัพวอลเลย์บอลสาวอาร์แบคคว้าทองศึกกีฬาปัญญาชน
“สาวอาร์แบค” มหาวิทยาลัยรัตนบัณทิต ตบชนะ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ไปได้สามเซตรวด คว้าเหรียญทองกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย หลังห่างหายไปถึง 2 ปี
การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยครั้งที่ 49 “นนทรีเกมส์ 2567” รอบชิงชนะเลิศประเภทวอลเลย์บอลหญิงเป็นการพบกันระหว่าง ทีมมหาวิทยาลัยรัตนบัณทิต กับทีม ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ปรากฎว่า ทีมวอลเลย์บอลสาวรัตนบัณทิตโชว์พลังตบได้อย่างเฉียบคมเป็นฝ่ายเปิดเกมใส่ทีมม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ชนะไปแบบสบายมือ 3 เซตรวด 25-18, 25-14 และ 25-19 ส่งผลให้ทีมมหาวิทยาลัยรัตนบัณทิตกลับมาทวงแชมป์ได้หลังจากห่างหายไป 2 ครั้ง
นอกจากการคว้าตำแหน่งแชมป์ในกีฬามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 49 แล้วทีมวอลเลย์บอลสาวจากอาร์แบคก็ได้รับรางวัลมากมาย จิดาภา นาหัวหนอง (ตัวรับอิสระยอดเยี่ยม) วิรัลยุพา อินทร์จันทร์ (รางวัล MVP) วัชรียา นวลแจ่ม (รางวัลตัวตีบอลเร็วยอดเยี่ยม) ฐิราวรรณ แสงอบ รางวัล (สกัดกั้นยอดเยี่ยม) และนายมนต์ชัย อุณหกะ (ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม)
ภายหลังจบเกมแข่งขัน “โค้ชแจ็ค” มนต์ชัย อุณหกะ ที่ได้รับตำแหน่งผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม เผยว่า Wทั้งนี้ต้องขอบกราบขอบพระ คุณท่านอธิการบดี รศ.ดร.ประเวช รัตนเพียร ที่สนับสนุนและให้ความเมตตากับนักกีฬาวอลเลย์ บอลหญิงเสมอมา ขอบพระคุณท่านรองมนตรี ไชยพันธุ์ ที่ไปร่วมให้กำลังใจและสนับสนุนทีมวอลเลย์บอลตลอดมาขอบพระคุณท่านรองพงษ์เทพ เครือชะเอม ที่ดูแลนักกีฬาของ RBAC ในทุกๆครั้งที่มีการแข่งขัน พร้อมกับขอชื่นชมนักกีฬาที่ตั้งใจในการฝึกซ้อมและแข่งขัน จนทำให้ทีมของเรากลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง โดยในวันนี้ทุกคนเล่นได้ท็อปฟอร์มมากๆครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
จิตวิทยาว่าด้วยการใส่เสื้อผ้าสีเขียว ทั้งด้านบวก และที่ไม่มีใครรู้
ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นมักกล่าวอ้างว่าสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับบุคคลจากสีเสื้อผ้าที่พวกเขาชอบ สำหรับบทความนี้ เราจึงหันมาสนใจสีเขียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความกลมกลืนและความสงบ
สีเขียว: พลังแห่งความสงบและสมดุล
สีเขียวเป็นสีที่มีพลังพิเศษ เพราะสื่อถึงหลายความหมายสำคัญในคราวเดียว ประการแรก มันคือสีของธรรมชาติและพืชพรรณ ประการที่สอง คือสีของสุขภาพและชีวิต ชีวิตจริงๆ จากมุมมองด้านจิตวิทยา สีเขียวถือเป็นสีตรงข้ามกับสีแดง ในขณะที่สีแดงกระตุ้นความตื่นเต้น สีเขียวกลับให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างสงบ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สีแดงและสีเขียวไม่ค่อยเข้ากันเมื่อจับคู่ในชุดเดียว
หากตู้เสื้อผ้าของคุณมีสีเขียวเป็นจำนวนมาก นักจิตวิทยาอาจบอกได้ว่าคุณเป็นคนมั่นใจ ชื่นชมความกลมกลืนภายในและความสงบสุขเป็นที่สุด สีเขียวในเสื้อผ้าเปล่งประกายความเป็นมิตรและร่าเริง เป็นตัวเลือกของคนมองโลกในแง่ดี รักและชื่นชมชีวิตของตัวเอง สีเขียวยังเป็นสีที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่รู้จักประนีประนอม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของตนได้
นอกจากนี้ สีเขียวยังเป็นสีของความเยาว์วัย มันช่วยให้สดชื่น ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี ยกตัวอย่างอย่าง เจนนิเฟอร์ โลเปซ! เธอสวยงามแค่ไหนในชุดเวอร์ซาเชสีเขียวสดใส
สีเขียว: โทนสีแห่งความหลากหลาย
สถาบันสี Pantone Colour Institute ได้เน้นย้ำถึงเฉดสีเขียวที่หลากหลายและน่าทึ่งจำนวนมาก ตั้งแต่สีเขียวเข้มของป่าไม้ ไปจนถึงสีน้ำเงินเข้ม, มรกต และหยก ซึ่งหนึ่งในสีที่น่าสนใจที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็แมทช์ยาก คือสีมิ้นท์ นักออกแบบแฟชั่นมักบอกว่าสีนี้ไม่ค่อยเข้ากับใครเลย อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเฉดสีเขียวอื่นๆ นั้น ทุกคนสามารถเลือกสีที่เหมาะกับตัวเองได้อย่างแน่นอน
สีเขียว: ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับลายพิมพ์
สีเขียวเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสำหรับการใช้ในลายพิมพ์ มันดูกลมกลืนกับเครื่องประดับและภาพวาดใดๆ นักออกแบบจึงมักใช้สีเขียวเป็นสีพื้นหลังสำหรับลายพิมพ์ที่หลากหลาย รวมถึงลายพิมพ์ที่แปลกใหม่และหลอนประสาท
นอกจากนี้สีเขียวยังสามารถปรากฏในเครื่องประดับเองและไม่ดึงดูดความสนใจในเวลาเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มติ’บอร์ดกสทช.‘เคาะงบยูโซ่เฉียดพันล. หนุนเน็ตคนพิการ-นักเรียนยากจนพิเศษ
ประธานกสทช.แจงยิบกมธ.แผนบริหารงบ USO พร้อมปมปัญหาตั้งเลขาธิการ กสทช. หลังวานนี้ บอร์ดลงมติไฟเขียวงบบรอดแบนด์คนพิการกว่า 709 ล้านบาท และอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษในพื้นที่ชายขอบ 229 ล้านบาท พร้อมสั่งทบทวนโครงการดึงศักยภาพเอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพชี้ต้องเปิดกว้างกว่านี้
นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มอบหมายให้พล.อ.สิทธิชัย มากกุญชร ผู้ปฏิบัติงานประจำประธานกสทช.ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำประธาน กสทช.แถลงถึงผลการประชุมบอร์ดกสทช.ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันอังคารที่ 6 ก.พ.2567 ว่า บอร์ดได้ประชุมไปทั้งสิ้นประมาณ 39 วาระ โดยส่วนใหญ่เป็นวาระเกี่ยวกับกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กทปส.
โดยมีการรับทราบโครงการจัดให้มีบริการบรอดแบนด์สำหรับคนพิการ งบประมาณ 706 ล้านบาท และโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลสำหรับนักเรียนยากจนพิเศษ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชายขอบ งบประมาณ 229 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 935 ล้านบาท
ส่วนเรื่องเพื่อพิจารณาวาระเอกสารเชิงหลักการ Concept Paper โครงการสนับสนุนการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม งบประมาณ 120 ล้านบาทนั้น ที่ประชุมขอให้กองทุนฯกลับไปทบทวนการจัดสรรงบประมาณและวัตถุประสงค์ของโครงการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการสนับสนุนเงินทุน ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นๆที่มีการสนับสนุนเช่นกัน
โดยขอให้มีการจัดสรรงบประมาณแบบเปิดกว้างรับทั้งสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ ไม่ควรสนับสนุนเงินเพียงก้อนเดียวให้กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปทำ คาดว่ากองทุนฯน่าจะสามารถนำโครงการกลับไปทบทวนและเสนอใหม่ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 20 ก.พ.2567
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนดังกล่าว นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ให้ความเห็นว่า หากกองทุนดังกล่าวต้องการของบสนับสนุนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ก็สามารถเขียนโครงการเพื่อของบประมาณเพิ่มเติมภายหลังได้
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 8 ก.พ. 2567 คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือเชิญนพ.สรณ ประธานบอร์ดกสทช. เพื่อขอให้เข้าชี้แจงในประเด็นข้อซักถามของกมธ.รายละเอียดแผนงานโครงการ กรอบการจัดสรรงบประมาณ ในภารกิจการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation : USO) ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงปัจจุบัน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมาและแนวทางแก้ไข
อีกทั้งยังมีประเด็นโครงการวงเงินงบประมาณ การจ้างประชาสัมพันธ์ของสำนักสื่อสารองค์กร โดยวิธีเฉพาะเจาะจง ตั้งแต่ปี 2565-2567 พร้อมให้รายงาน ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงาน กสทช. แห่งใหม่ ที่จ.นนทบุรี และในประเด็นสุดท้ายขอให้ชี้แจงระเบียบ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติและการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. พร้อมปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมา และแนวทางการแก้ไข หลังจากที่มติบอร์ดกสทช.ครั้งก่อนหน้ามีมติ 4:3 ไม่เห็นชอบกระบวนการสรรหา ทำให้ตีตกชื่อของนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุลไป
ทั้งนี้ ล่าสุดนายไตรรัตน์ ได้ยื่นอุทธรณ์มติดังกล่าวแล้ว แต่ต้องบรรจุเข้าวาระการ ประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันจึงทำให้ประเด็นดังกล่าวน่าจะมีการพิจารณาในการประชุมครั้งหน้าคือในวันที่ 20 ก.พ. 2567 นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
รวมเครื่องดื่มส่งผลดีต่อไต และชนิดไหนดื่มแล้วเสี่ยงไตพัง
หลายคนชอบดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ชื่นใจในวันที่อากาศร้อน หรือจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ แก้หนาวในวันที่อากาศเย็น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เครื่องดื่มที่คุณเลือกเพื่อดับกระหายนั้น ส่งผลต่อสุขภาพไตของคุณอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า เครื่องดื่มประเภทใดบ้างที่ส่งผลดีต่อไต และเครื่องดื่มประเภทใดบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง
เครื่องดื่มส่งผลดีต่อไต
1.กาแฟดำ แทบทุกปีจะมีงานวิจัยใหม่เผยแพร่ประโยชน์ของกาแฟ การดื่มกาแฟเครื่องดื่มยามเช้าที่ฉันโปรดปรานอาจช่วยปกป้องคุณจากการเป็นโรคไต และช่วยให้ไตของคุณกรองเลือดได้ในระดับที่สูงขึ้นเป็นเวลานาน น่าเสียดาย กาแฟไม่ใช่ทุกชนิดที่มีสุขภาพดี และหากคุณเป็นโรคไต คุณอาจมีข้อจำกัดในสิ่งที่คุณสามารถเติมลงในกาแฟของคุณ การดื่มกาแฟดำ แทนที่จะดื่มกาแฟกับนมที่มีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง หรือเครื่องดื่มหวานที่มีแคลอรี่สูง จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคุณ
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- แม้ว่ากาแฟดำอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพไต แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการของโรคไต
- แพทย์ของคุณจะสามารถแนะนำปริมาณกาแฟที่เหมาะสมสำหรับคุณได้
- นอกจากการดื่มกาแฟดำแล้ว การรักษาสุขภาพไตที่ดีอื่นๆ ยังรวมถึงการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.ชาเขียวไม่หวาน ชาเขียวเป็นอีกเครื่องดื่มที่ได้รับการศึกษาว่าดีไม่แพ้กาแฟเลยทีเดียว โดยแต่ละแก้วเต็มไปด้วยสารประกอบที่เรียกว่า “โพลีฟีนอล” ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะยังไม่แน่ใจว่าชาเขียวจะมีผลดีต่อสุขภาพของคุณจากมุมมองทางการแพทย์ล้วนๆ แต่ก็จัดเป็นเครื่องดื่มที่ปลอดภัย อร่อย และไม่มีแคลอรี่สำหรับผู้ป่วยโรคไต นอกจากนี้ ชาเขียวอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในไตด้วย เคล็ดลับในการชงชาเขียวที่สมบูรณ์แบบคือการดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาล แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ป่วยโรคไตอาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อการดื่มที่เหมาะสม
สูตรชาเขียวแบบไม่หวานมีดังนี้
- เริ่มต้นด้วยน้ำที่ยังไม่เดือดจัด (ประมาณ 170–180 องศาเซลเซียส)
- ใส่ถุงชาลงไปแล้วแช่ไว้เพียง 2–4 นาที
- เติมแท่งอบเชยและน้ำมะนาวนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
3.สมูทตี้น้ำตาลต่ำ
สมูทตี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการเตรียมเครื่องดื่มที่ทั้งอิ่ม อร่อย แถมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ แต่ถ้าเผลอไม่ระวัง สมูทตี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โพแทสเซียมมากเกินไป ฟอสฟอรัสสูง หรือแคลอรี่เยอะเกินไป
สูตรสมูทตี้
- โยเกิร์ตกรีกธรรมชาติ 1 ถ้วย
- บลูเบอร์รี่สด 1 ถ้วย
- เบอร์รี่รวมแช่แข็ง 1 ถ้วย
- เมล็ดกัญชงหรือเมล็ดแฟลกซ์ 1 ช้อนโต๊ะ (เพิ่มโปรตีนจากพืช)
สูตรพื้นฐานนี้ อร่อยแบบไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องโพแทสเซียม ลองเติมกล้วยแช่แข็งหรือส้มสดเพื่อเพิ่มรสชาติได้นะคะ
4.น้ำเปล่า
น้ำเปล่าคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพไต ไม่เพียงแต่ไม่มีแคลอรี่ ให้ความชุ่มชื้นได้ดีเยี่ยม ราคาถูกอีกด้วย หากคุณอยู่ในระยะเริ่มต้นของโรคไต การเลือกดื่มน้ำเปล่าเป็นหลักจะช่วยให้ร่างกายและไตของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในระยะหลังของโรคไต คุณอาจจำเป็นต้องจำกัดปริมาณน้ำ (และของเหลวอื่นๆ) ที่ดื่ม เนื่องจากไตของคุณไม่สามารถกำจัดน้ำออกจากร่างกายได้เพียงพอ แพทย์และนักโภชนาการจะแนะนำปริมาณน้ำที่คุณดื่มได้อย่างเหมาะสมในแต่ละวัน
นอกจากนี้ น้ำเปล่ายังมีประโยชน์อื่นๆ ต่อสุขภาพไต ดังนี้
- ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
- รักษาสมดุลแร่ธาตุ
- ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ลดความเสี่ยงต่อนิ่วในไต
จำไว้ว่าการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพไต แต่ปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการของคุณเพื่อกำหนดปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ
เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง
- น้ำอัดลม: น้ำอัดลมมีน้ำตาลสูง และฟอสฟอรัส ซึ่งส่งผลเสียต่อไต
- เครื่องดื่มชูกำลัง: เครื่องดื่มชูกำลังมีคาเฟอีนสูง และโซเดียม ซึ่งส่งผลเสียต่อไต
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นพิษต่อไต และอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
หลักการใช้ Modal verb ใช้ยังไงบ้าง
สำหรับหลายๆคนที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่อาจจะเคยได้ยินหรือเคยเจอคำนี้แล้วบ้างนะครับก็คือ Modal verbs หรือ กริยาช่วยนั่นเอง วันนี้เราจะมาดูกันว่า Modal Verbs (กริยาช่วย) นั้นใช้งานยังไง และ Modal Verbs มีคำว่าอะไรบ้าง ถ้าพร้อมมาดูกันเลยครับ
Modal Verbs คือ
Modal Verbs ก็คือหนึ่งในกริยาช่วย ซึ่งจะทำหน้าที่ในการช่วย หรือ ช่วยขยายความหมายของกริยาหลัก ซึ่งพวก Modal Verbs จะมีความพิเศษกว่ากริยาช่วยอื่นๆอย่างหนึ่งคือ จะมีความหมายในตัวมันเอง
Modal Verbs มีอะไรบ้าง
ทีนี้เรามากันดีกว่าครับว่า Modal Verbs มีอะไรบ้าง โดย Modal Verbs นั้นมีทั้งหมด 10 ตัวด้วยกันครับโดยได้แก่
- Can, Could = สามารถ
- Will, Would = จะ
- Shall, Should = ควรจะ
- Ought to = ควรจะ
- May, Might = อาจจะ
- Must = ต้อง
- สรุปการใช้ Modal Verbs
หลักการใช้ Model Verbs แต่ละตัว
Can & Could = สามารถ
สองคำนี้มีความหมายแปลว่าสามารถทั้งคู่ ใช้บอกความสามารถในการทำอะไรบางอย่างว่าฉันสามารถทำสิ่งนี้ หรือ สิ่งนั้นได้นะ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันที่
Can – ใช้บอกความสามารถในปัจจุบัน.
Ex.1 I can speak English fluently. (ฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว) หมายถึงในปัจจุบันฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วนะ)
Ex.2 My sister can sing this song. (พี่สาวของฉันสามารถร้องเพลงนี้ได้)
Could – บอกถึงความสามารถในอดีต
Ex.1 Joe said we could all go home. (โจพูดว่าเราสามารถกลับบ้านได้) สิ่งที่โจพูดไปเป็นอดีต ณ ตอนนั้นที่โจพูดมันผ่านไปแล้ว
Ex.2 She could sing this song, but now she doesn’t remember the lyrics. (เธอ (ในอดีต) สามารถร้องเพลงนี้ได้ แต่ตอนนี้เธอจำเนื้อร้องมาได้แล้ว)
Could – สำหรับการขอที่สุภาพขึ้น
Ex.1 Could you help me with these bags? (ช่วยถือพวกถุงนี้หน่อยได้ไหมครับ)
Ex.2 Could you take me to the bus station? (คุณช่วยพาฉันไปที่ป้ายรถเมย์ได้ไหม)
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้คำว่า Could กับประโยคที่แสดงความปรารถนาได้อีกด้วย
Ex.1 I wish I could have a big house. (ฉันปรารถนาว่าฉันอยากจะมีบ้านหลังใหญ่)
Ex.2 He wishes he could still play the guitar. (เขาปรารถนาว่าตอนนี้เขายังจะคงสามารถเล่นกีต้าได้อยู่)
Will & Would = จะ
สองคำนี้มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันพอสมควร
Will – จะใช้สำหรับเรื่องที่เราจะทำในอนาคต (เป็นการคิดจะทำตอนนี้ ไม่ได้เป็นการคิดหรือตัดสินใจไว้ล่วงหน้าซึ่งจะต่างกับ Be going to(ซึ่งเป็นสิ่งเราตัดสินใจล่วงหน้าแล้วว่าเราจะทำ)
Ex.1 I will visit Korea next month. (ฉันจะไปเที่ยวประเทศเกาหลีเดือนหน้า)
Ex.2 He will buy me this phone. (เขาจะซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้ฉัน)
Would – จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต หรือ ใช้ขอร้องอย่างสุภาพรวมถึงใช้ถาม หรือ บอกความต้องการ
– Would ที่ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
Ex. I knew that you would be successful. (ฉันรู้อยู่แล้วแหละ ว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จ) เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว เขาประสบความสำเร็จไปแล้ว
– Would ที่ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ
Ex. Would you mind waiting outside? (จะเป็นอะไรไหมถ้าคุณจะต้องรอข้างนอก)
– Would ที่ใช้ถามหรือบอกความต้องการ
Ex. Would you like some coffee? (คุณต้องการกาแฟไหม) ใช้ถามความต้องการ
Shall & Should = ควรจะ
Shall – ซึ่งส่วนมากจะใช้กับประโยคคำถาม ใช้ในการเสนอแนะ ชี้แนะ หรือเสนอความช่วยเหลือ
Ex.1 Shall I use the shortcuts? (ฉันควรที่จะใช้ทางลัดไหม)
Ex. 2 Shall I open the window? (ต้องการให้ฉันเปิดหน้าต่างไหม)
Should – จะใช้สำหรับขอหรือให้คำแนะนำ
Ex.1 You should come with us. (คุณควรมากับพวกเรานะ)
Ex.2 Should I go to see a doctor. (ฉันควรไปหาหมอหรือเปล่า)
Ex.3 I think you should call her and say sorry. (ฉันคิดว่าคุณควรจะโทรหาเขาและขอโทษนะ)
Should ในคำแนะนำที่ไม่ควร
Ex.1 You shouldn’t do that (เธอไม่ควรทำแบบนั้นนะ)
Ex.2 You shouldn’t spend so much time on the computer. (คุณไม่ควรใช้เวลากับคอมพิวเตอร์มากเกินไป)
Ought to = ควรจริงๆ, ควรจะ
เป็นลักษณะคำแนะนำแต่จะเป็นคำแนะนำที่คอนข้างรุนแรง หรือ อยากจะให้เขาทำจริงๆ เพราะเรามองเห็นถึงความสำคัญของมัน แต่สุดท้ายแล้วมันจะไม่ใช่ของการบังคับแต่อย่างใด เป็นแค่คำแนะนำว่าเขาควรที่จะทำจริงๆ
Ex. You really ought to quit smoking. (คุณควรที่จะเลิกสูบบุหรี่นะ) เราต้องการจะเน้นย้ำตรงนี้ว่า มันเป็นคำแนะนำที่จำเป็นจริงๆนะ มันสำคัญต่อคุณนะ
May & Might = อาจจะ, คงจะ, บางที, ขออนุญาต
จะใช้พูดกับเหตุการณ์หรือการกระทำที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แต่เราจะยังไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นจริงไหมแค่รู้สึกว่ามันเป็นไปได้
Ex.1 I may go to China on my vacation. (ในช่วงวันหยุดงานของฉันฉันอาจะไปประเทศจีนก็ได้)มีความเป็นไปได้ที่จะไปแต่ยังไม่แน่นอน
Ex.2 It might rain tomorrow. (พรุ่งนี้ฝนอาจจะตก) ไม่ได้ต้อง100% แค่มีโอกาสว่าเป็นไปได้ว่าฝนจกตก
Ex.3 Harry may come to the party tonight. (แฮรี่อาจจะไปงานเลี้ยงในคืนนี้) มีความเป็นไปได้ว่าแฮรี่จะมาปาตี้ในคืนนี้
May ในรูปแบบขออนุญาต
Ex. May I go to travel with my friend? (ฉันขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนได้ไหม)
May & Might ในรูปประโยคประฏิเสธ
Ex.1 I may not go to school tomorrow. (ฉันอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียนพรุ่งนี้นะ) มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้โรงเรียนในวันพรุ่งนี้
Ex.2 He might not be in this office. (เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในออฟฟิสของเขา)
Must – ต้อง
ใช้ในการเน้นย้ำว่าต้องทำ (ต้องทำให้ได้)
Ex.1 You must see that movie, it was great. (เธอต้องดูหนังเรื่องนั้นให้ได้นะ มันยอดเยี่ยมมาก) ต้องดูให้ได้ ห้ามพลาด
Ex.2 I must go to school. (ฉันจำเป็นที่จะต้องไปโรงเรียน)
Ex.3 You must not smoke on aeroplanes. (คุณต้องห้ามสูบบุหรี่บนเครื่องบินเด็ดขาด)
สรุป
สรุปให้เข้าใจอย่างง่ายๆ คือ
- Can จะใช้บอกความสามารถในปัจจุบัน
- Could ใช้บอกความสามารถทั่วไปในอดีต
- May และ Might ใช้บอกความเป็นไปได้ และการขอ หรือ ให้อนุญาต
- Must ใช้สำหรับสิ่งที่ต้องทำเมื่อพูดถึงกฏ, เรื่องที่ต้องทำ หรือ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
- Should ใช้สำหรับการแนะนำ
- Shall ใช้ในการชักชวน หรือ เสนอความช่วยเหลือ
- Will ใช้บอกสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต, บอกความเต็มใจที่จะช่วย และ การให้คำสัญญา
- Would ใช้ได้หลายกรณีเช่น แปลว่าจะ(ในรูปแบบอดีตของ will), ที่ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ, ที่ใช้ถามหรือบอกความต้องการ
- Ought to ใช้สำหรับคำแนะนำต่างๆลักษณะเดียวกับ Should หรือง่ายๆก็คือที่ไหนมี Should จับ Ought to ไปใส่แทนได้
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
สคบ.เตือน 8 เรื่องต้องเช็กก่อนซื้อ “หม้ออบลมร้อน” เลือกผิดชีวิตเปลี่ยน
เชื่อว่าในปัจจุบันเกือบทุกบ้านต้องมี “หม้ออบลมร้อน” หรือที่เรียกกันว่า “หม้อทอดไร้น้ำมัน” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำอาหารชนิดหนึ่งที่ใช้ความร้อนจากกระแสลมร้อนในการปรุงอาหารต่างจากเตาอบทั่วไปที่ใช้ความร้อนจากรังสีความร้อน แต่ทราบหรือไม่ว่า “หม้ออบลมร้อน” เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ที่มีการเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการจากราชกิจจานุเบกษา เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก่อนเลือกซื้อหม้ออบลมร้อนมาใช้ที่บ้านจะต้องพิจารณาหรือเช็กเรื่องอะไรบ้างเพื่อให้เราได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ความปลอดภัย
8 เรื่องต้องเช็กก่อนซื้อ “หม้ออบลมร้อน”
- ชื่อประเภทหรือชนิดของสินค้า
- ชื่อหรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
- สถานที่ตั้งของผู้ผลิตเพื่อขาย
- สินค้านำเข้าให้ระบุชื่อประเทศที่ผลิต
- แสดงวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง
- ข้อห้ามใช้ เช่น “ห้ามนำภาชนะที่ทำจากพลาสติก หรือโฟมเข้าหม้ออบ
- ข้อแนะนำในการใช้หรือการเก็บรักษา
- คำเตือน “ห้ามใช้งานเมื่อพบว่าสารเคลือบผิวของหม้ออบลมร้อน หรือตะแกรงหลุดร่อน
สำหรับรายละเอียดการประกาศของราชกิจจาคือ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่อง ให้ “หม้ออบลมร้อน” หม้อทอดไร้น้ำมัน เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ลงวันที่ 27 เมษายน 2566 กำกับดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งประกาศฉบับนี้ จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา หรือตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สคบ. ระบุว่า ปัจจุบัน “หม้ออบลมร้อน” ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการทำอาหาร โดยใช้ลมร้อนหมุนเวียนในภาชนะบรรจุ เช่น หม้อทอดไร้น้ำมัน ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก มีวิธีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน รวมทั้งสามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย
ดังนั้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยในการใช้สินค้า และเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค จึงเห็นสมควรกำหนดให้ “หม้ออบลมร้อน” เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก
โดยฉลากสินค้าที่ควบคุมฉลาก จะต้องระบุข้อความ รูป รอยประดิษฐ์หรือภาพตามความเหมาะสม แล้วแต่กรณี แต่ข้อความนั้นจะต้องตรงต่อความเป็นจริง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสาระสำคัญของสินค้านั้น และต้องเป็นภาษาไทยหรือภาษาไทยกำกับภาษาต่างประเทศ เพื่ออธิบายให้เข้าใจความหมายของรูป รอยประดิษฐ์หรือภาพ ที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/02/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,100.00 | 34,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,209.00 | 33,488.44 | 34,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,988.10 | 30,139.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,767.20 | 26,790.75 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 994.00 | 15,069.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 773.00 | 11,718.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,289.00 | 34,701.24 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/02/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.55 | 37.55 | 37.85 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.78 | 35.78 | 36.28 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.44 | 35.44 | 35.94 | 35.44 | 35.44 | – | 35.44 | 35.44 | 35.44 | 35.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.54 | 49.54 | 49.54 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 45.44 | – | – | – | 46.61 | – | 45.94 | 45.59 | – | 45.44 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.84 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |