5 ปัจจัยหนุนภูเก็ตเมืองใหญ่ระดับโลก ราคาที่ดินพุ่งติดหาดแตะไร่ 100 ล้าน!
แสนสิริ ชี้ 5 ปัจจัยหนุนภูเก็ตเมืองใหญ่ระดับโลก ที่มีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 500,000 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งคาดทำเลติดหาดแตะไร่ 100 ล้าน!
ภูเก็ตไม่เพียงแต่จะรองรับนักท่องเที่ยวแต่ยังเป็นหมุดหมายของคนต่างชาติที่ต้องการมาอยู่อาศัยระยะยาว ทั้งกลุ่มรีไทร์ กลุ่มที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงเศรษฐีไทยที่ต้องมีบ้านอีกหลังที่ 2 ในภูเก็ต
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ 13 ปีที่เข้ามาทำโครงการอสังหาฯ ใน จ.ภูเก็ต เห็นศักยภาพการเติบโตของภูเก็ตหลังจากผ่านวิกฤติโควิด-19 จากที่ต้องปิดเกาะแต่สามารถกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการท่องเที่ยวถือเป็น “เครื่องยนต์” สำคัญในการขับเคลื่อนด้วยจุดเด่นการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จัก และเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก หาดทรายสวย น้ำใส และกลายจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก เทียบชั้นเมืองชายทะเลระดับโลกอย่าง ซานโตรินี ไมอามี่ บีช ริเวียร่า ฮาวาย และมีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ 500,000 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ
จากแนวนโยบายของภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การขนส่ง และศูนย์กลางการบินของภูมิภาค พร้อมส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งชายฝั่งทะเลอันดามัน จากแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ Seaplane Terminal, ท่าอากาศยานอันดามัน การขยายสนามบินภูเก็ต และการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ส่งผลให้ภูเก็ตกลายเป็น “เมืองใหญ่ระดับโลก” (Big City)
แนวโน้มดังกล่าวกลายเป็นปัจจัยบวก ที่สนับสนุนให้ 5 ธุรกิจในเกาะภูเก็ต ประกอบด้วย 1. โรงแรมร้านอาหาร ที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ราคาห้องพักสูงขึ้น 2.โครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีดีมานด์จากต่างชาติเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน ยุโรป ส่งผลให้ยอดขายช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาเติบโตถึง 16% 3. โรงเรียนนานาชาติ ถือเป็นแรงหนุนที่ดีตามการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในภูเก็ต รองรับกลุ่มคนที่ต้องการย้ายมาใช้ชีวิตในภูเก็ต ทั้งคนไทย และต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง 4.โรงพยาบาลชั้นนำ และธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพที่เข้ามาเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง และ 5.การเข้ามาลงทุน MARINA ของนักลงทุนไทย และต่างชาติเพื่อรองรับการท่องเที่ยวทางทะเลที่เติบโตต่อเนื่อง
ทั้ง 5 ธุรกิจดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเป็น “Big City” ของ จ.ภูเก็ต ชัดเจน ส่งผลให้ ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จากเดิมที่ดินทำเลแถวศูนย์การค้าเซ็นทรัลราคาต่อไร่ 15-20 ล้านบาท
ปัจจุบันราคาต่อตารางวา ขยับขึ้นแตะ 1 แสนบาท และในปีที่ผ่านมาขยับขึ้นอีก 30-40% ขณะที่ราคาที่ดินในทำเลทองอย่างกระทู้ ป่าตอง ได้ขยับสูงขึ้นมากบางพื้นที่มีราคาที่ดินสูงถึงไร่ละ 1 ล้านบาทในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่า ที่ดินติดหาดจะราคาขยับไปแตะไร่ละ 100 ล้านบาทเพราะหายาก! ส่วนใหญ่เจ้าของที่ไม่เดือดร้อนจึงไม่ต้องการขายที่หากไม่ได้ราคาที่ถูกใจ
สำหรับโครงการของแสนสิริ ใน จ.ภูเก็ต สามารถสร้างยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ โดยในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายจากภูเก็ต 2,000 ล้านบาท และปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตามแผนบริษัทได้เตรียมงบลงทุน 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนา 27 โครงการฯ ใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2568-2572) แบ่งออกเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการมูลค่า 14,000 ล้านบาท โครงการแนวราบ 16 โครงการมูลค่า11,000 ล้านบาท
“เฉลี่ยจะเปิดคอนโดมิเนียม 2-3 โครงการ ต่อปี และแนวราบราว 4-5 โครงการ วางระดับราคาอยู่ที่ 8-9 ล้านบาทต่อยูนิต รวมถึงโครงการพูล วิลล่า ระดับราคา 40-50 ล้านบาทต่อยูนิต โดยใช้ที่ดินที่มีอยู่ และจัดซื้อเพิ่มในอนาคต เพื่อรองรับแผนธุรกิจดังกล่าว ด้วยมองเห็นโอกาสการเติบโตของอสังหาฯ ภูเก็ต อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เข้าไปพัฒนาอสังหาฯในภูเก็ต 13 ปี เปิดโครงการทั้งสิ้น 27 โครงการมียูนิตสะสม 8,300 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 26,590 ล้านบาท “
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
นับถอยหลัง ปี68 เปิด “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” Super Core CBD มิกซ์ยูส ระดับโลก
นับถอยหลัง ปี68 เปิด “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” สีลม- พระราม4 Super Core CBD มิกซ์ยูสระดับโลกก่อสร้างคืบหน้า 70% คอนโดหรู The Residences at Dusit Central Park ยอดขาย85% ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน สวนสาธารณะลอยฟ้าสีเขียว ดีเดย์ ไตรมาส3 ปี68 หลังเปิดโรงแรมแล้ว
ถนนพระราม4 ถูกพลิกโฉมจาก โครงการเมกะ มิกซ์ยูส ที่น่าจับตานอกจาก โครงการ วัน แบงค็อก เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่25ตุลาคม2567 แล้ว ล่าสุด บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้พัฒนา “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park )โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก บนที่ดิน23ไร่ หัวมุมถนนสีลม-พระราม4 ภายใต้ วิสัยทัศน์ ‘Here for Bangkok’
มีแผนเปิดให้บริการในส่วนโครงการที่พักอาศัย The Residences at Dusit Central Park ห้องชุดหรู พร้อมสวนสาธารณะลอยฟ้าสีเขียว Roof Park พื้นที่7ไร่ ราวไตรมาส3ปี2568 หลังจากเปิดให้บริการในส่วนโรงแรม “ Dusit Thani Bangkok” ไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2567ที่ผ่านมา
โดยในภาพรวมของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์คมีความคืบหน้าก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 70% และปี 2568 มีแผนเปิดให้บริการ ส่วนของ ศูนย์การค้า Central Park Retail กับปรากฏการณ์ New Horizon และอาคารสำนักงาน Central Park Offices ระดับ Prestigious Class A อย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 3 พร้อมเผยตัวเลขโครงการที่อยู่อาศัย The Residences at Dusit Central Park ปิดยอดขายกว่า 85%
ขณะเดียวกัน ยังให้คงวามสำคัญกับ ความยั่งยืนของการใช้ชีวิตแบบ Well-being ด้วย Sustainability Development ยกระดับสังคมเมืองด้วย ‘คอมมูนิตี้’ ผ่านพื้นที่สวนสาธารณะลอยฟ้าสีเขียว Roof Park
นางสาวละเอียด โควาวิสารัชประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) ว่า “โครงการ Dusit Central Park นับเป็นโครงการที่มีการพัฒนาอยู่บน”พื้นที่ที่ดีที่สุด” หรือ Super Core CBD ที่สามารถเชื่อมต่อย่านธุรกิจและแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำของกรุงเทพฯ มากมาย และนับเป็น Luxury spot ที่มีการผสานกันอย่างลงตัว ทั้งภายในโครงการ อย่างโรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และสำนักงาน ซึ่งแต่ละส่วนสามารถเดินเชื่อมถึงกันได้หมดแบบ Seamless และเชื่อมต่อภายนอกอาคารกับการสัญจรทุกระนาบ ทั้งระดับผิวถนน BTS และ MRT
โดยในปีนี้ นับเป็นปีแห่งความภาคภูมิใจจากการที่ ได้เริ่มเปิดส่วนแรกของการพัฒนาโครงการ Dusit Central Park ออกสู่สาธารณะ กับ Dusit Thani Bangkok โรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นจำนวนมาก โดยมียอดเข้าพักและใช้บริการห้องจัดเลี้ยงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567
สำหรับความคืบหน้าในส่วนของโครงการที่พักอาศัย The Residences at Dusit Central Park ปัจจุบันสามารถปิดการขายไปมากกว่า 85% โดยมีลูกค้าให้การตอบรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นผลมาจากการออกแบบดีไซน์เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตในทุกยูนิตโดยคำนึงทิศทางแสงและลม
ส่งผลให้มีการถ่ายเทอากาศด้วยลมธรรมชาติ และทำให้ห้องเย็นไม่ร้อน พร้อมทั้งรูปแบบการดูแลในแบบฉบับ Thai Branded Residences ที่บริหารและดำเนินการโดยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่โดดเด่นด้วยความเป็น Gracious Hospitality ระดับเวิลด์คลาส ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการบริการในแบบดุสิตธานีเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตเหนือระดับ
“สิ่งสำคัญอีกหนึ่งปัจจัย คือ The Residences at Dusit Central Park ได้ดำเนินการก่อสร้าง ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานรับรองอาคารเขียวระดับโลก LEED Gold V.4.1 Residence Multi-Family เพื่อเน้นย้ำความตั้งใจในการพัฒนาโครงการที่ไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พักอาศัยเพื่อการใช้ชีวิตและสุขภาพที่ดี โดยจะเป็นอาคารที่พักอาศัยแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองนี้”
“ละเอียด” กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากส่วนที่พักอาศัย ในปี 2568 เราเตรียมการเปิดให้บริการ อีก 2 ส่วนสำคัญของโครงการ นั่นคือ อาคารสํานักงาน Central Park Offices และ ศูนย์การค้า Central Park Retail ภายใต้การพัฒนาของพาร์ทเนอร์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) โดย Central Park Offices จำนวน 43 ชั้น พื้นที่ใช้สอย (Gross Building Area: GBA) 130,000 ตารางเมตร นับเป็นอาคาร Prestigious Class A
วางไว้ให้เป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาพื้นที่สำนักงานของเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านแนวคิด The Future Work/Life for Global Visionaries ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการทำงานทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งตัวโครงการมีขนาดเหมาะสมด้วยการเป็น Walkable Proximity ที่มีความโดดเด่นและเหมาะสมกับการเป็นคอมมูนิตี้ของคนทำงานและบริษัทชั้นนำ ทั้งในไทยและทั่วโลก ให้มาอยู่ร่วมกัน
โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทต่างชาติ ด้วยการออกแบบ Flexible Design ที่รองรับธุรกิจผู้เช่าทุกขนาด พร้อมพื้นที่ Hybrid Workspace และยังมีพื้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่โรงแรม และศูนย์การค้า โดยอาคารสำนักงานรองรับเกณฑ์มาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED Gold และ WELL Platinum มาตรฐานด้านคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัยระดับสากล พร้อมทั้งได้รับมาตรฐาน WiredScore โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล ที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดให้แก่บริษัทที่จะเข้ามาใช้บริการภายในพื้นที่สำนักงาน โดยเตรียมพร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2568
สำหรับในส่วนของ Central Park Retail มีพื้นที่ใช้สอย (Gross Building Area: GBA) 130,000 ตารางเมตร มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสาน Curated Experience เข้ากับ Park Life เพื่อสร้างสรรค์ The New Luxury คอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดร่วมกับแบรนด์ชั้นนำในไทยและแบรนด์ระดับโลก อีกทั้งนำ Essence ของ Heritage เดิมที่มีอัตลักษณ์ที่สวยงามมาสะท้อนใน Architecture และ Interior Design รวมถึง Collaboration ร่วมกับแบรนด์ระดับโลก, Up-and-Coming Thai & International Designers รวมถึงพื้นที่ที่จะรองรับ Urban Active Lifestyles เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 เช่นกัน
นอกจากนี้ โครงการ Dusit Central Park ได้วางแนวทางการก่อสร้าง Sustainability Development ตั้งแต่แนวความคิดตลอดจนการเลือกสรรวัสดุก่อสร้างและนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม อาทิ Green Concrete เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้ถึง 16 ตัน ระบบ Water Treatment ที่สามารถช่วยลดการปล่อยน้ำเสีย ระบบการกรองอากาศ HEPA Filter กรองอากาศภายในอาคารถึง 2 ชั้น เพื่อช่วยลดฝุ่น กระจกกรอบอาคารหนา 3 ชั้น ป้องกันแสง UV และความร้อน วัสดุผนัง พื้น ที่ดูดซับเสียง ลดเสียงรบกวนจากภายนอกและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ใช้งานอาคาร เป็นต้น
ดำเนินการควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานชีวิตของสังคมเมือง เพื่อการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และนิเวศเมือง (Urban Ecology) ผ่านพื้นที่สวนสาธารณะลอยฟ้าสีเขียว Roof Park ขนาด 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) ภายใต้หลักการออกแบบ Universal Design เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้และใช้เป็นพื้นที่เพื่อการพักผ่อนและสันทนาการตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ผสมผสานด้วยหลักการออกแบบ Biophilic Design ที่ผสานการใช้ชีวิต การทำงาน และการพักผ่อนเข้ากับธรรมชาติ นับเป็นการส่งเสริมสุขภาพคนทั้งร่างกายและจิตใจ และคุณภาพเมืองไปพร้อมกัน ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางพระราม 4 – สีลมแห่งนี้
“ทุกย่างก้าวและทุกความสำเร็จของ โครงการ Dusit Central Park คือตัวแทนของความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่ไม่มุ่งหวังเพียงแต่สร้างผลตอบแทนทางกำไรสูงสุด แต่ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ในการสร้างโครงการที่มีความหมาย และยกระดับชีวิตของผู้คนภายในประเทศไทย รวมถึงมิติด้านความยั่งยืนเพื่อยกระดับสุขภาพของผู้คนและของเมืองให้ดียิ่งขึ้น เรามั่นใจว่าการเดินทางในปี 2568 จะเดินหน้าโครงการได้ตามเป้าหมาย และพร้อมเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยที่มีความเป็นเลิศในทุกมิติ สมกับการเป็น A World-class Complete Mixed-use Development สร้างความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่ทุกคนทั่วโลกต้องจับตามองอย่างแน่นอน” ละเอียด กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ธ.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเสี่ยงผันผวนในกรอบกว้าง ขึ้นอยู่กับทิศทางเงินดอลลาร์ ราคาทองคำ ควรจับตาการเคลื่อนไหวของเงินหยวนและบรรดานักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย –
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ธ.ค. 2567ที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 34.24-34.39 บาทต่อดอลลาร์) ตามการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์
โดยเฉพาะในช่วงเช้าของวันจันทร์นี้ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงกลับสู่โซน 150 เยนต่อดอลลาร์ จากที่ในช่วงก่อนหน้าได้แข็งค่าทดสอบโซน 149.50 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำ (XAUUSD) ก็เผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงเข้าใกล้โซน 2,640-2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (คิดเป็นการปรับตัวลงราว -20 ดอลลลาร์ต่อออนซ์) เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ทว่าเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hezbollah นอกจากนี้ เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ผู้นำเข้า (Importers)
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจผันผวนในกรอบกว้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ เฟด และ BOJ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจนโยบายการเงินของเฟด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (ISM Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว
ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด
โดยเฉพาะโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25%-4.50% ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้
▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนตุลาคม
▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Caixin Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง มากกว่าจะเน้นบริษัทขนาดใหญ่เหมือนดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ทางการจีนจัดทำขึ้นและได้รายงานก่อนหน้า
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Labor Cash Earnings) ในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ โดยผู้เล่นในตลาดอาจมั่นใจมากขึ้นว่า BOJ มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
หรืออย่างน้อยก็ช่วงต้นปี 2025 หากอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูงและหนุนให้ BOJ อาจบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืนได้ นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม
อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดการส่งออก-นำเข้า (Exports & Imports) เป็นต้น ในส่วนนโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.50% หลังอัตราเงินเฟ้อได้เร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม จนล่าสุดสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2%-6%
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBI อาจทยอยลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ตามแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่จะพลิกกลับมาชะลอลงสู่กรอบเป้าหมายได้
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤศจิกายน ซึ่งเราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจสูงขึ้นสู่ระดับ 1.08% ตามผลของฐานราคาสินค้าและบริการปีก่อนหน้าที่อยู่ในระยะต่ำ
โดยเฉพาะในส่วนของราคาน้ำมัน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถวระดับ 0.7%-0.8% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนพฤศจิกายน
โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนในกรอบกว้าง โดยจะขึ้นกับทิศทางเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำ ที่จะผันผวนไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
นอกจากนี้ ควรจับตาการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาสดใส และควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเราคาดว่าบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดลดโอกาสที่เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ดี ทิศทางเงินดอลลาร์ก็อาจขึ้นกับการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งจะขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ย BOJ
โดยเงินเยนญี่ปุ่นอาจแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้ ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ หากอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูงเช่น +2.6%y/y ขึ้นไป
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.85-34.85 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.55 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-เฟม” คัมแบ็กดับซ่าเจ้าถิ่นผงาดแชมป์แบดมินตันไซเอ็ด โมดี้
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่ผสมเต็ง 8 ของรายการ ไม่ทำให้แฟนๆแบดมินตันไทยผิดหวัง แซงกลับมาชนะคู่เต็ง 5 ของเจ้าถิ่นอย่าง ดรุฟ คาปิลา กับ ทานิชา คาสโตร ไป 2-1 เกม คว้าแชมป์แบดมินตัน ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 ไปอย่างยอดเยี่ยม
การแข่งขันแบดมินตันรายการ ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,350,000 บาท ที่เมืองลัคเนา ประเทศอินเดีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
ประเภทคู่ผสม รอบชิงชนะเลิศ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 85 ของโลก พบกับ ดรุฟ คาปิลา กับ ทานิชา คาสโตร คู่มืออันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 66 ของโลกจากอินเดีย
เกมแรก คู่อินเดีย เปิดเสิร์ฟได้อย่างดีกว่า และตัดเกมคู่บาส กับ เฟม ได้นำห่างก่อน 6-0 คู่บาส กับ เฟม เริ่มจับจังหวะเกมได้ค่อยทำแต้มไล่มาเป็น 5-9 แล้วคู่อินเดียก็มาปิดครึ่งมแรกได้ก่อนที่ 11-6 จากนั้นคู่บาส กับ เฟม แก้เกมได้ยอดเยี่ยมขึ้นเกมได้เร็วขึ้นมาพลิกขึ้นนำได้เป็นครั้งแรกที่ 18-17 แต่ในช่วงปลายเกม คู่อินเดียมาทำ 4 คะแนนรวดจนปิดเกมแรกได้ไปก่อนที่ 21-18
เกมสอง คู่บาส กับ เฟม เริ่มเกมได้ดีกว่าหาจังหวะตบอยางเฉียบขาดขึ้นนำก่อน 5-2 จากนั้นคู่บาส กับ เฟม คุมเกมบุกได้ดีกว่านำในครึ่งเกมสองที่ 11-6 เข้าครึ่งเกมหลังบาส กับ เฟม เล่นเกมหน้าเน็ตและคุมพื้นที่ได้ดีนำ 15-8 แล้วคู่บาส กับ เฟม รักษาฟอร์มเการเล่นในเกมนี้อย่างยอดเยี่ยมมาปิดเกมนี้ไปได้ที่ 21-14 เสมอกัน 1-1 เกม
เกมตัดสิน บาส กับ เฟม เป็นฝ่ายหาจังหวะเข้าทำอย่างเฉียบขาดกว่าและทำแต้มอย่างต่อเนื่องนำในครึ่งเกมสองที่ 11-5 จากนั้นคู่บาส กับ เฟม เดินหน้าบุกใส่เป็รชุดใหญ่จนมาปิดแมตช์ไปได้ที่ 21-8 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-1 เกม
“บาส” เดชาพล กับ “เฟม” ศุภิสรา คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ และเป็นแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์รายการที่ 2 ของทั้งคู่ ต่อจาก คุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน พร้อมรับเงินรางวัล 16,590 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 572,355 บาท ส่วน ดรุฟ คาปิลา กับ ทานิชา คาสโตร รองแชมป์รับเงินรางวัล 7,980 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 275,310 บาท
ด้านคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล , รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และ นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ได้กล่าวหลังจากจบการแข่งขันว่า “แสดงความยินดีและชื่นชม กับ ความสำเร็จของคู่ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน ที่สามารถการคว้าแชมป์ ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์รายการที่ 2 ของทั้งคู่ ต่อจากศึกคุมาโมโตะ มาสเตอร์ส เจแปน ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้จับคู่กันไม่นาน
ความสำเร็จของทั้งคู่นี้จะช่วยให้มีการเก็บคะแนนสะสมให้สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในสัปดาห์หน้า อันดับโลก จะขยับขึ้นมาอยู่ใน 60 อันดับแรก ทำให้เพิ่มโอกาสที่จะได้ขึ้นไปเล่นรายการในระดับเวิลด์ทัวร์ที่สูงขึ้นในปีหน้า เชื่อมั่นว่า การได้จับคู่ลงสนามแข่งขันในหลายๆแมตช์มากขึ้นจะทำให้ทีมเวิร์กของทั้งคู่ดีขึ้นตามลำดับและพัฒนาฟอร์มการเล่นได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ขอเป็นกำลังใจให้กับทั้งบาส และเฟม สำหรับการแข่งขันในปี 2025 ที่จะมาถึง
สำหรับโปรแกรมรายการต่อไปของนักแบดมินตันไทยจะเป็นการแข่งขันรายการใหญ่ส่งท้ายปีในศึกเอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2024 ชิงเงินรางวัลรวม 2,500,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 87,500,000 บาท ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 11-15 ธ.ค.67 นี้ ซึ่งเป็นรายการที่จะเชิญ นักแบดมินตันที่มีคะแนนดีที่สุด 8 คนแรกของโลกในแต่ละประเภทเข้าร่วมการแข่งขัน โดยในปีนี้จะมี 3 นักแบดมินตันไทยลงแข่งขัน ได้แก่ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ , ” “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ และ “เม “ศุภนิดา เกตุทอง ฝากแฟนๆแบดมินตันไทยให้กำลังใจนักแบดมินตันไทย ทั้ง 3 คน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ยกระดับชีวิตให้มีคุณภาพด้วย 5 มิติการดูแลตัวเองทั้งกายใจให้มั่นคง
สุขภาพกายและสุขภาพใจ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดและแยกจากกันไม่ได้ การเกิดปัญหาสุขภาพที่ปรากฎทางกายเป็นอาการปวด เจ็บ ทุกข์ทรมาน จึงอาจเกิดจากต้นเหตุแห่งความเครียดในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า จิตใจที่แข็งแรงย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแกร่ง ด้วยแนวคิดนี้จึงได้กลายมาเป็นการแพทย์แบบไลฟ์สไตล์ ซึ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใน 5 มิติสำคัญ เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นที่การปลูกฝังเรื่องสุขภาพกายและจิตใจ ให้มีความแข็งแรงร่วมกันผ่านการดูแลแบบองค์รวม ดังนี้
1.นอนหลับอย่างมีคุณภาพ
มีงานวิจัยสนับสนุนแนวคิดเรื่องการนอนหลับไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนัก เพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดควบคุมได้ยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ การนอนหลับที่มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จึงมีความสำคัญมากและสาววัยทำงานก็ควรใส่ใจเรื่องนี้ให้มากขึ้นอีกด้วย
2.ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก จะช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง นอกจากนี้ การเพิ่มการฝึกความแข็งแรงแบบเวทเทรนนิ่ง เข้าไปในกิจวัตรการออกกำลังกาย จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง จึงรักษาระดับฮอร์โมนและเพิ่มการเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้จัดตารางการออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยให้เน้นที่กลุ่มกล้ามเนื้อหลัก
3.อาหารที่ดีย่อมสร้างประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ต้องเน้นที่อาหารสดจากพืชและหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป การบริโภคพืชตระกูลถั่วคุณภาพดี ผลไม้ และผักหลากสีที่มีไฟเบอร์สูง รวมถึงอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัญหาสุขภาพของผู้หญิงอย่างโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซีสต์ช็อกโกแลต หรือเนื้องอกในมดลูก อาจเกิดจากอาหารบางประเภท แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เช่น น้ำมะพร้าว และควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงต่อโรคอ้วนที่ทำลายสุขภาพกายและใจอย่างน่ากลัว
4.เลี่ยงพฤติกรรมสร้างผลเสีย
การสูบบุหรี่ การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาเสพติด ล้วนมีผลกระทบต่อร่างกายในระดับโมเลกุลเลยค่ะ ส่งผลให้สารอนุมูลอิสระไม่สมดุล การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ตับทำงานหนัก ในขณะที่สารพิษจากควันบุหรี่หรือยาเสพติด อาจทำให้เกิดการอักเสบภายใน ทำลายปอดและอวัยวะอื่น ๆ โดยเฉพาะการส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท ทำให้สุขภาพจิตเสียหายไปด้วย เหมือนเป็นการซ้ำให้บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ จึงควรเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงสร้างผลเสียเหล่านี้ หรือเลิกไปได้จะดีที่สุด
5.เข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนในสังคม ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม องค์การอนามัยโลกได้นิยามสุขภาพลักษณะนี้ว่าภาวะที่สมบูรณ์แบบทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ไม่ใช่เพียงการไม่มีโรคหรือความเจ็บป่วยเท่านั้น ความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงทางสังคม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตมนุษย์
ยกระดับไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพของคุณผู้หญิงใน 5 มิติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม บำรุงฮอร์โมนและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ตั้งแต่ช่วงวัย 25 ปีขึ้นไป กระตุ้นให้ฮอร์โมนการเจริญเติบโตมีความสมดุล ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยจัดการอนุมูลอิสระในขณะที่สาว ๆ นอนหลับ นอกจากนี้ ยังช่วยปรับให้สารต้านอนุมูลอิสระหรือวิตามินที่ทานเข้าไป เหมาะสมต่อการใช้งานของร่างกายและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language
หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language
การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน
เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ
ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ
- การนำเสนองาน
- การสัมภาษณ์งาน
- การพูดในที่สาธารณะ
- งานเขียนเชิงวิชาการ
- เอกสารทางการ
- เอกสารทางกฏหมาย
- อีเมลธุรกิจ
การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา
ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค
ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป
- Have you seen my glasses? [Formal]
Seen my glasses? - I am sorry to have kept you waiting [Formal]
Sorry to keep you waiting
วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค
ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”
- We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
I can help you solve this problem. Call me! - We regret to inform you that……[Formal]
I’m sorry, but….
รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้
การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น
- เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
- เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
- เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
- เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
- เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เมื่อข้อมูลลูกค้ารั่ว | พิเศษ เสตเสถียร
ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลกลายเป็นสิ่งมีค่ามหาศาล การรั่วไหลของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลบัตรเครดิตถือเป็นฝันร้ายของทั้งบริษัทและลูกค้า เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางการเงิน แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นและชื่อเสียงขององค์กรอย่างรุนแรง
หนึ่งในคดีความที่โด่งดังที่สุดและส่งผลกระทบต่อวงการธุรกิจอย่างกว้างขวางคือ คดี Target Corporation Data Security Breach ในปี 2013
Target ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ถูกแฮ็กเกอร์โจมตีจนทำให้ข้อมูลบัตรเครดิตและเดบิตของลูกค้ากว่า 40 ล้านคนรั่วไหล
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ Target ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม(Class Action) ในข้อหาละเลยและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย
ส่งผลให้ Target ต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 100 ล้านดอลลาร์เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเครดิต ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และการชดเชยความเสียหายอื่นๆ
คดีที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นกับ Home Depot ในปี 2014 ซึ่งข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้ากว่า 56 ล้านคนถูกขโมยไป Home Depot ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเลยเช่นเดียวกับ Target และต้องจ่ายเงิน 179 ล้านดอลลาร์เป็นค่าชดเชยและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี และค่าปรับปรุงระบบให้เป็นไปตามมาตรฐาน
นอกจากนี้ ยังมีคดี Equifax Inc. Customer Data Security Breach ในปี 2017 ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
Equifax ซึ่งเป็นบริษัทจัดเก็บข้อมูลเครดิต ถูกแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตของผู้คนเกือบ 147 ล้านคน
คดีนี้เน้นย้ำถึงความล้มเหลวของบริษัทในการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ และการแจ้งเตือนการละเมิดล่าช้า Equifax ต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงเงินทุนสำหรับการตรวจสอบเครดิต การป้องกันการโจรกรรมข้อมูลประจำตัวและการชดเชยสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ
นอกจากคดีความที่เกิดจากการฟ้องร้องของผู้เสียหายแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลยังมีบทบาทสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย
ตัวอย่างเช่น คดี Wyndham Worldwide Corporation Data Breach Litigation ซึ่ง Federal Trade Commission (FTC) ของสหรัฐอเมริกา ฟ้องร้อง Wyndham Hotels and Resorts ในข้อหาละเมิดมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล
FTC ระบุว่า Wyndham ไม่ได้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมในการปกป้องข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้า อันที่จริงบริษัทต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง เช่น Payment Card Industry Data Security Standard (PCI DSS) อยู่แล้ว
แต่มาตรฐานที่ว่านี้เป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำซึ่งไม่ได้แปลว่า หากปฏิบัติตามมาตรฐานแล้วทุกบริษัทจะมีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ร้อยเปอร์เซนต์
ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากคอมพิวเตอร์ของลูกค้าที่ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ของบริษัท ขณะเดียวกัน บริษัทก็บกพร่องในการตรวจตราและวิธีปฏิบัติ (compliance) เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดีพอ
คดีความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของบริษัทต่าง ๆ ในการปกป้องข้อมูลลูกค้า บริษัทไม่สามารถเพิกเฉยต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
6 อาหารแหล่งโปรตีนชั้นดี บำรุงสุขภาพ แถมไม่ทำน้ำหนักเพิ่ม
โปรตีนเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก การบริโภคโปรตีนสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญและลดความอยากอาหารได้ เนื่องจากโปรตีนช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้อีกด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ โปรตีนยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อการควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นอย่ารอช้า! มาดู 6 อาหารอร่อยเสริมโปรตีนจุก ๆ ของผู้หญิงกันดีกว่า
6 อาหารอร่อยเสริมโปรตีนจุก ๆ
1.ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองถือเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผู้หญิงมาก ไม่มีไขมันเสีย ดื่มแบบไม่มีน้ำตาลจะดีที่สุด นอกจากนี้ ยังเป็นอาหารที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร และช่วยลดน้ำหนักได้เทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อีกด้วยค่ะ
2.เนื้อปลา
เนื้อปลาถือเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้หญิง การบริโภคปลา 100 กรัม จะทำให้ได้รับโปรตีนประมาณ 20 กรัม แต่ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา ดังนั้น การรวมเนื้อปลาเข้ากับมื้ออาหารหลักเป็นเรื่องที่ควรทำมาก เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เพียงพอ
3.ผงโปรตีน
ทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย คือ โปรตีนผง ซึ่งเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงมาก จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนเป็นหลัก รวมถึงผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่สามารถรับประทานโปรตีนจากสัตว์ได้ โปรตีนผงเป็นวิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ในการรับรองว่าคุณได้รับโปรตีนเพียงพอ เพื่อรองรับเป้าหมายการออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามสวย ๆ ของคุณ
4.ชีส
การรับประทานชีส สามารถช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้และให้โปรตีนในปริมาณสูงอีกด้วย ถือเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดไขมัน โดยหากรับประทานชีส 100 กรัม จะได้รับโปรตีนประมาณ 14-35 กรัม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของชีสด้วยนะคะ
5.ถั่ว
หนึ่งในทางเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูง คือ พืชตระกูลถั่ว เพราะมีโปรตีนสูงมาก นอกจากนี้ เมล็ดเจีย เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ทานมังสวิรัติ เนื่องจากเป็นโปรตีนจากพืชจะให้คุณค่าที่สูงเทียบเท่าเนื้อสัตว์เลยทีเดียว
6.อาหารทะเล
กลุ่มอาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเล หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม ปลาหมึก และสัตว์จำพวกกุ้ง ปู สัตว์มีกระดอง จะมีโปรตีนสูง การบริโภคเพียง 100 กรัม สามารถให้โปรตีนได้ประมาณ 20-26 กรัมเลยทีเดียว
การบริโภคโปรตีนเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกกำลังกายอาจไม่นำไปสู่การลดน้ำหนักได้ ดังนั้นสาว ๆ ที่กำลังมุ่งมั่นจะกินโปรตีนลดน้ำหนัก จึงควรต้องทานไปร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ การผสมผสานนี้สามารถช่วยลดไขมันและลดน้ำหนักได้อย่างดี กล้ามเนื้อจะขยายขนาดขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มเติบโต ร่างกายก็ย่อมต้องการพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้พลังงานที่สะสมไว้ในรูปแบบของไขมันถูกนำไปใช้ จึงเกิดเป็นการรักษาสมดุลของอาหารและการออกกำลังกาย ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,850.00 | 42,950.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,776.00 | 42,084.16 | 43,450.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,498.40 | 37,875.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,220.80 | 33,667.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,249.00 | 18,934.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 972.00 | 14,735.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,877.00 | 43,615.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.95 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.98 | 35.98 | 36.58 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.84 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.99 | 33.99 | – | – | – | – | – | – | – | 33.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 44.64 | – | – | – | 49.81 | – | 45.14 | 44.79 | – | 44.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |