สาระน่ารู้ประจำวันที่ 01 สิงหาคม 2568

การถมทะเล สร้างอาคารชุด ไม่ทำให้ที่ดินไร้ค่า | อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน

เมื่อไม่นานมานี้ในรายการ Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 6 ในหัวข้อ “รู้ทันโลกใหม่: การเงิน เทคโนโลยี และการลงทุนในอนาคต” มีการเผยแพร่แนวคิดที่ว่า “ที่ดินจะไร้ค่าเพราะมนุษย์สามารถถมทะเลสร้างแผ่นดินใหม่ได้ไม่จำกัด”

ซึ่งได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายโดยคุณ ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซึ่งได้กล่าวอ้างว่า มนุษย์สามารถ “พิมพ์” ที่ดินเพิ่มได้อย่างไม่จำกัดทั้งในแนวนอนผ่านการถมทะเล และในแนวตั้งผ่านการสร้างอาคารสูงอย่างคอนโดมิเนียม ซึ่งหากอุปทาน (Supply) เพิ่มขึ้นได้ไม่สิ้นสุด ความขาดแคลน (Scarcity) อันเป็นหัวใจของมูลค่าก็จะหมดไป

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทางวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์และมาตราส่วนของโลกแห่งความเป็นจริง จะพบว่าแนวคิดดังกล่าวอาจเป็นการมองภาพที่เรียบง่ายเกินไป ที่ดินไม่ใช่สินทรัพย์ที่สามารถ “ผลิต” เพิ่มได้ง่ายดายเหมือนการพิมพ์เงินหรือการขุด Bitcoin และการถมทะเลก็ไม่ใช่กระบวนการที่จะมาสั่นคลอนอุปทานที่ดินทั้งหมดของโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อเทียบกับอุปทานที่ดินโลก การถมทะเลแทบไม่ส่งผลกระทบใดๆ เลย หัวใจของแนวคิดนี้คือการมองว่าเราสามารถ “เพิ่ม” ที่ดินได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อนำตัวเลขมาพิจารณาในระดับมหภาค จะเห็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

โครงการ “เฟลโวโพลเดอร์” (Flevopolder)  ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเกาะเทียมจากการถมทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 970 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดความสำเร็จทางวิศวกรรม แต่เมื่อนำไปเทียบกับอุปทานที่ดินที่มีอยู่เดิมทั้งหมดบนโลกประมาณ 149 ล้านตารางกิโลเมตร จะพบว่าโครงการที่ยิ่งใหญ่และใช้เวลากว่า 60 ปีนี้ เพิ่มพื้นที่ดินให้โลกเพียง 0.00065% เท่านั้น

หากเราต้องการเพิ่มพื้นที่ดินให้ได้เพียง 1% ของพื้นที่โลกทั้งหมด จะต้องถมทะเลให้ได้พื้นที่ถึง 1.49 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับการทำโครงการขนาด Flevopolder พร้อมกันถึง 1,536 โครงการ และหากอิงตามระยะเวลาการสร้างเดิม นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 92,160 ปี

ในมิติของต้นทุน หากอ้างอิงข้อมูลจากโครงการของสิงคโปร์ที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล การเพิ่มพื้นที่ดิน 1% ของโลกอาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 193.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปริมาณเงินทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจโลก (Broad Money M2) เกือบสองเท่า ทำให้เป็นไปไม่ได้แม้ในทางทฤษฎี

การเปรียบเทียบกับ Bitcoin ยิ่งตอกย้ำความขาดแคลนของที่ดิน ทั้งนี้ การเปรียบเทียบกับ Bitcoin ซึ่งถูกออกแบบให้มีอุปทานจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ปัจจุบัน Bitcoin ถูกขุดขึ้นมาแล้วกว่า 19.7 ล้านเหรียญ ยังคงเหลือให้ขุดเพิ่มได้อีกประมาณ 1.3 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นอุปทานที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกราว 6.5% ภายในปี 2683 สัดส่วนอุปทานของ Bitcoin ที่ยังเพิ่มได้นี้ มากกว่าสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของที่ดินจากโครงการถมทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงกว่า 10,000 เท่า และใช้เวลาอีกเพียงแค่ 125 ปีเท่านั้น

ต้นทุนและภาระผูกพันระยะยาวของการ ‘พิมพ์’ ที่ดิน

การถมทะเลไม่ใช่เพียงการนำดินไปเทลงน้ำ แต่เป็นโครงการวิศวกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาลและข้อจำกัดทางกายภาพ หากการ “พิมพ์” ที่ดินนั้นง่ายและเป็นไปได้จริง คำถามคือเหตุใดหลายประเทศจึงไม่ทำเช่นนั้นเพื่อแก้ปัญหาของตน

บทเรียนราคาแพงจาก “สนามบินนานาชาติคันไซ” ในญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน โครงการนี้มีต้นทุนสะสมสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.3 แสนล้านบาท) โดยเผชิญกับปัญหาการทรุดตัวของเกาะอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดใช้งานในปี 2537 เกาะได้ทรุดตัวลงไปแล้วกว่า 11.5 เมตร และคาดว่าจะทรุดเพิ่มอีกในอนาคต

ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและแก้ไขไม่รู้จบ นี่แสดงให้เห็นว่าการถมทะเลไม่ใช่การสร้าง “สินทรัพย์” ที่จบในครั้งเดียว แต่คือการสร้าง “สินทรัพย์ที่มีหนี้สินระยะยาวแฝงอยู่” นอกจากนี้ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวดทั่วโลก ทำให้โครงการถมทะเลในปัจจุบันเกิดขึ้นได้ยากและช้าลงอย่างมาก

การพัฒนาแนวตั้ง: ไม่ใช่การทำลาย แต่คือการปลดล็อกมูลค่าที่ดิน อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกคือ การสร้างคอนโดมิเนียมเปรียบเสมือนการ “พิมพ์” ที่ดินในแนวตั้ง แนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ย้อนไปกว่า 2,000 ปีในสมัยอาณาจักรโรมันก็มีอาคารพักอาศัยรวมสูงหลายชั้นที่เรียกว่า “อินซูเล” (Insulae) เพื่อรองรับประชากรที่หนาแน่น แต่การเกิดขึ้นของอินซูเลไม่เคยทำให้มูลค่าที่ดินใจกลางกรุงโรมลดลง กลับยิ่งตอกย้ำว่าที่ดินในทำเลสำคัญนั้นมีค่ามหาศาล เพราะเป็น “แพลตฟอร์ม” ที่สร้างกระแสเงินสดได้

ในทางทฤษฎีการประเมินค่าทรัพย์สินสมัยใหม่ หลักการ “ใช้ประโยชน์สูงสุดและดีที่สุด (Highest and Best Use)” ยืนยันว่าการพัฒนาในแนวตั้งคือ “การปลดล็อก” มูลค่าสูงสุดของที่ดินออกมา ไม่ใช่การทำลายมูลค่า

หัวใจสำคัญ: ที่ดินแต่ละแปลงไม่สามารถทดแทนกันได้

ความแตกต่างพื้นฐานที่สุดคือ ที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่ทดแทนกันไม่ได้ (Non-Fungible) ที่ดิน 1 ไร่ใจกลางสีลมไม่สามารถถูกทดแทนด้วยที่ดิน 1 ไร่ที่ถมขึ้นใหม่กลางทะเลได้อย่างสมบูรณ์ หลักฐานจากทั่วโลกยืนยันข้อเท็จจริงนี้ ไม่ว่าจะเป็นดูไบที่ถมทะเลสร้าง The Palm แต่ที่ดินที่แพงที่สุดยังคงอยู่ที่ Downtown Dubai หรือสิงคโปร์ที่ถมทะเลต่อเนื่องแต่ราคาที่ดินใจกลางเมืองยังคงติดอันดับโลก

ศูนย์ข้อมูลฯ สำรวจพบว่าราคาที่ดินที่แพงที่สุดอยู่ที่แถวสยามฯ ชิดลม เพลินจิต ตารางวาละ 3.85 ล้านบาท และราคาที่ดินใจกลางเมืองก็เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่สำรวจมาในปี 2537 ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การเพิ่ม “หน่วยที่อยู่อาศัย” ไม่ได้ทำลายมูลค่าของ “ที่ดิน” ในทำเลดี

โดยสรุปแล้ว ความขาดแคลนของ “ทำเลทอง” ยังคงเป็นสัจธรรม แนวคิดที่ว่าการถมทะเลหรือการสร้างคอนโดจะทำให้ที่ดินไร้ค่า เป็นการมองปัญหาโดยละเลยปัจจัยด้านต้นทุน กฎระเบียบ และที่สำคัญที่สุดคือความแตกต่างระหว่าง “ปริมาณพื้นที่” กับ “คุณภาพของทำเล” การถมทะเลอาจเพิ่มพื้นที่บนแผนที่ได้เพียงน้อยนิดในระดับโลก และการสร้างคอนโดอาจเพิ่มหน่วยที่อยู่อาศัยได้ แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถสร้าง “ทำเลทอง” ที่สั่งสมคุณค่าจากเครือข่ายทางเศรษฐกิจและสังคมมานานหลายสิบหรือหลายร้อยปีได้

ท้ายที่สุดแล้ว ความขาดแคลนที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “พื้นที่” แต่เป็น “ทำเล” ที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีการถมทะเลไม่สามารถสร้างลอกเลียนแบบได้ และนี่คือเหตุผลที่ว่า แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วเพียงใด มูลค่าของที่ดินในทำเลทองจะยังคงเป็นสัจธรรมของการลงทุนเสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ” เช่าที่ดิน 99 ปี สะดุด! ไม่ทันสภาฯ สมัยนี้

“กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ” เช่าที่ดิน 99 ปี สะดุด! ไม่ทันสภาฯ สมัยนี้

  • นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม คาดการณ์ว่าร่างกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิที่ขยายเวลาเช่าเป็น 99 ปี จะไม่ทันเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในสมัยประชุมนี้
  • สาเหตุของความล่าช้าเกิดจากกระทรวงมหาดไทยกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดของร่างกฎหมาย และมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา ประกอบกับสภาฯ เหลือเวลาในสมัยประชุมนี้จำกัด
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์มองว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและนักลงทุนต่างชาติลดลง

การผลักดันแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ.2562 ของกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายรัฐบาลสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร เพื่อขยายเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 99 ปีครอบคลุมถึงโฉนดที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและห้องชุด ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย

ที่รัฐบาลมีหมุดหมายใช้นำร่องกับโครงการบ้านเพื่อคนไทยบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) รวมถึงที่ดินรัฐทั่วประเทศ อย่างที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ซึ่งจะต่างจากการเช่าทั่วไป เนื่องจากมีศักดิ์และสิทธิการถือครองเทียบเท่าโฉนดที่ดินสามารถใช้สิทธิโอนและตราเป็นประกันการชำระหนี้โดยการจำนองได้

นอกจากช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเชื่อมั่นและมีความมั่นคงแล้ว ยังเป็นกฎหมาย ที่เข้ามาพลิกโฉมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ครั้งสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่ดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเช่าที่ดินได้ระยะยาว

ที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าประเทศไทยมีดินกว่า 300 ล้านไร่ หรือ5.4 แสนตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร 67 ล้านคน ถือว่ามีพื้นที่เหลือรอพัฒนาค่อนข้างมาก

แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีศักดิ์เป็น พ.ร.บ. จึงมีขั้นตอนขบวนการค่อนข้างมาก กว่าจะผลักดันออกมาเป็นกฎหมายฉบับใหม่ ต้องใช้เวลา และประเมินว่าไม่ทันนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยนี้

ท่ามกลางการเร่งรัดของรัฐบาลและดร.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ต้องการสนับสนุนโครงการที่อยู่อาศัยตามนโยบายรัฐบาลและนักลงทุนโดยเร็วที่สุด ต่อเรื่องนี้

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่ปรึกษาวิปรัฐบาล เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิให้มีระยะเวลา 99 ปี ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดของร่างกฎหมาย

ทั้งนี้ตามขั้นตอนหากร่างกฎหมายดังกล่าวปรับปรุงข้อมูลแล้วเสร็จ กระทรวงมหาดไทยจะต้องส่งร่างกฎหมายฯให้คณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพ.ร.บ.เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล (ครน.) พิจารณา

จากนั้นครน.จะสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะก่อนส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ

หาก ครม. ให้ความเห็นชอบแล้ว ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะส่งร่างกฎหมายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

นางมนพร กล่าวต่อว่า จากการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและระยะเวลาที่เหลือเพียงประมาณ 1 เดือนครึ่งของสมัยประชุมนี้ คาดว่าร่างกฎหมายนี้จะไม่ทันเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในสมัยประชุมนี้ และอาจต้องรอการพิจารณาในสมัยประชุมหน้า

“ส่วนร่างกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ให้มีระยะเวลา 99 ปี จะสามารถผลักดันประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ภายในปีนี้หรือไม่ รวมถึงข้อดีและข้อเสียของร่างกฎหมายฯนั้น เรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่เห็นรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าวหรือมีข้อกังวลอะไรที่มีความละเอียดอ่อนส่งผลกระทบต่อประชาชนหรือไม่ ซึ่งจะทราบได้ต่อเมื่อร่างกฎหมายนี้ถูกส่งมาที่คนร.พิจารณา” นางมนพร กล่าว

นอกจากนี้ในส่วนของสถานการณ์การเมืองปัจจุบันจะกระทบต่อร่างกฎหมายที่เร่งผลักดันเข้าการประชุมของสภาฯหรือไม่นั้น

การพิจารณากฎหมายในสภาฯ เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ในการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ซึ่งเราจะเห็นได้จากการผ่านความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ปกครองท้องที่ฯ,พ.ร.บ.กฎหมายอาญาฯ และพ.ร.บ.อื่นๆอีกหลายฉบับที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาฯเช่นกัน

แหล่งข่าวจากกรมที่ดิน ระบุว่า กล่าวว่า กรมที่ดินสนับสนุน กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ อยู่ระหว่างแก้ไขเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงตอบโจทย์กับธุรกิจให้ขับเคลื่อนเร็วขึ้น

“กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิถือเป็นกฎหมาย “ทางเลือก” ทำให้ผู้เช่าเป็นเสมือนเจ้าของทรัพย์ เป็นครุฑสีฟ้า ต่างจากโฉนดที่ดินเป็นครุฑสีแดง”

อย่างไรก็ตามกฎหมายที่อยู่ระหว่างปรับปรุง เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมี4 กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย

ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ร.บ.ว่าด้วยอาคารชุดและ พ.ร.บ.เกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิ

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าวว่า การขยายการเช่าให้มีระยะยาวขึ้นตามกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ นั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่มองว่ายังมีความล่าช้า

และเชื่อว่ามีประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าสำหรับนักลงทุน หากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะระยะเวลาการเช่าอยู่ที่50ถึง60ปีน่าจะเพียงพอแล้ว

สอดคล้องกับ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ อีตกผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลกรณีขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินตามกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิออกไปให้ยาวขึ้นแต่มองว่า ไม่เกิน60ปีจะเหมาะสมมากกว่า

แต่เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก นักลงทุนต่างชาติ หนีหาย นักท่องเที่ยวเข้าไทยลดลงดังนั้น จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะเร่งรีบรัดผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวออกมา

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้1ส.ค. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัดได้ หลังสหรัฐประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยในระดับ 19% ดีกว่าตลาดคาดที่20%-25% จับตานักลงทุนต่างชาติจะขายทำกำไรหุ้นไทย และบอนด์ไทยหรือไม่

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้  1ส.ค.2568ที่ระดับ  32.79 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.69 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง

ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ พร้อมกดดันให้ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง (หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยในระดับ 19% ซึ่งถือว่า ดีกว่าที่ตลาดคาด 20%-25% บ้าง (แม้จะแย่กว่าสมมติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 18% เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ)

ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ไทยจะเผชิญอัตราภาษีนำเข้าในระดับที่ไม่ได้สูงอย่างที่ตลาดเคยกังวล แต่เรามองว่า ควรจับตาการปรับสถานะถือครองของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ว่าจะมีการ Sell on Fact และขายทำกำไร สินทรัพย์ไทย

โดยเฉพาะหุ้นไทย และบอนด์ไทย บ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีการทยอยขายทำกำไรการถือครองสินทรัพย์ไทยออกมาบ้างในช่วงนี้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง

อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ โดยเฉพาะ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวน ในกรอบ +/- 1 SD ได้ถึง +0.60%/-0.30%

ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้เล่นในตลาดดูจะตอบรับกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากพอสมควร ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์นั้นทะลุกรอบ +/- 1 SD ได้ไม่ยาก อย่างเช่นในสัปดาห์นี้ เงินบาทอ่อนค่าลงแรงเกินกรอบ +1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP

อย่างไรก็ตาม เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว

อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้ขอบบนของโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.66-32.79 บาทต่อดอลลาร์)

สอดคล้องกับการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย

(ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.8% สูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน) อีกทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ยังออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่

ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 30% จากเดิมที่ประเมินไว้ราว 40%-45% ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง ตอบรับข่าวทางการสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากไทยเป็น 19% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในช่วง 20%-25% และดีกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ที่ระดับ 36% หากไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ต่อบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และแรงขายหุ้นบริษัทยา หลังทางการสหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้บริษัทยารายใหญ่ ปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.37%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงกว่า -0.75% ตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ที่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ Sanofi -7.8% นอกจากนี้ บรรดาหุ้นบริษัทยายุโรป ก็เผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.37% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด

รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด เรายังคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม

ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 

ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50%  สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Up หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด (อัตราเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาด)

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 100 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.7-100.1 จุด)

นส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงกลับสู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)

รวมถึง อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) นอกจากนี้ ในช่วง 21.00 น. ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรม ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM ในเดือนกรกฎาคม

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสเพียง 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้

ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต (Caixin Manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ส่วนในฝั่งไทย จะมีรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.80-32.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.38 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อ (ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นไปอยู่สูงกว่าแนว 100) โดยมีอานิสงส์จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาด

อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มน้อยกว่าที่คาด และการขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index ซึ่งหนุนการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับความกังวลต่อผลกระทบของภาษีสินค้านำเข้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงบางส่วน หลังการเปิดเผยภาษี Tariffs อัตราใหม่ที่เริ่มมีผล 1 ส.ค. นี้  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค. ของประเทศชั้นนำ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ  ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไขข้อข้องใจ: ทำไมการแข่งขันชกมวยถึงใช้ “สีแดง” กับ “สีน้ำเงิน” แบ่งฝ่ายนักกีฬา?

หากคุณเคยชมการแข่งขันชกมวย ไม่ว่าจะเป็นมวยสากล มวยสมัครเล่น หรือแม้แต่มวยโอลิมปิก สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการแบ่งนักมวยออกเป็น “มุมแดง” และ “มุมน้ำเงิน” ซึ่งใช้แทนฝั่งของนักกีฬาอย่างเป็นทางการในทุกเวทีทั่วโลก

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมต้องเป็น “สีแดง” กับ “สีน้ำเงิน” เท่านั้น? ทำไมไม่ใช้สีอื่นอย่าง เขียว เหลือง หรือดำบ้าง?

คำตอบไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มีรากฐานจากทั้งประโยชน์ในเชิงเทคนิค ความชัดเจนด้านภาพ และข้อกำหนดจากองค์กรกีฬาระดับนานาชาติ ที่เริ่มต้นใช้สีแดงกับน้ำเงินในการแข่งขันชกมวยสมัครเล่นมาตั้งแต่ช่วง ต้นทศวรรษ 1940s (ราวปี ค.ศ. 1940) ก่อนจะกลายเป็นมาตรฐานถาวรในรายการโอลิมปิกตั้งแต่ โอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1948 ที่กรุงลอนดอน เป็นต้นมา

เหตุผลที่เลือกใช้สีแดงกับน้ำเงิน

1. แยกฝ่ายให้ชัดเจน

สีแดงและน้ำเงินมีความแตกต่างกันชัดเจนในสายตามนุษย์ ทำให้กรรมการ ผู้ชม และผู้บรรยายสามารถแยกฝั่งนักมวยได้ง่าย แม้จะดูจากระยะไกลหรือจากกล้องขาวดำในอดีต

2. เป็นมาตรฐานสากล

องค์กรระดับโลกอย่าง IOC และ AIBA ได้กำหนดให้ใช้สีแดงและน้ำเงินในการแข่งขัน เพื่อความเป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดความสับสนในการจัดการแข่งขันระหว่างประเทศ

3. จิตวิทยาของสี

สีแดง มักสื่อถึงความดุดัน แข็งแกร่ง และพลัง ขณะที่ สีน้ำเงิน สื่อถึงความเยือกเย็น มีสมาธิ ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของทั้งนักมวยและผู้ชมในระดับจิตใต้สำนึก

4. ช่วยให้ถ่ายทอดสดคมชัด

ในยุคที่ระบบกล้องยังไม่ทันสมัย การใช้สีที่ตัดกันชัดเจนอย่างแดงกับน้ำเงินช่วยให้กล้องจับความเคลื่อนไหวได้ชัดขึ้น และใส่งานกราฟิกได้ง่าย

5. เลี่ยงความสับสนจากสีอื่น

สีอย่าง เขียว เหลือง หรือม่วง อาจไม่เด่นพอหรืออาจคล้ายกับพื้นเวที เสื้อทีมงาน หรือผิวของนักกีฬา ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสน

6. ธรรมเนียมที่สืบต่อกัน

การใช้สีแดง-น้ำเงินเป็นขนบธรรมเนียมที่มีมายาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพจำเวทีมวยทั่วโลก และยังไม่เคยถูกแทนที่ด้วยสีอื่น

บทสรุป

การที่วงการมวยเลือกใช้ “แดง” กับ “น้ำเงิน” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ให้ต่างกันเท่านั้น แต่เป็นการวางระบบที่เอื้อต่อการตัดสิน การถ่ายทอด และความเข้าใจร่วมกันของทั้งผู้ชมและนักกีฬา ซึ่งใช้กันมาอย่างต่อเนื่องกว่า 80 ปี ตั้งแต่ยุคที่การแข่งขันมวยเริ่มมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20

สีทั้งสองนี้จึงกลายเป็นเหมือน ภาษาสากลของเวทีผ้าใบ ที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ และยังไม่มีสีใดสามารถทดแทนได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาการและสัญญาณเตือนที่ควรรู้

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่ร้ายแรงและพบบ่อย ซึ่งผู้ป่วยจะหยุดหายใจชั่วคราวซ้ำๆ ในระหว่างที่นอนหลับ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับคืออะไร?

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจส่วนบนถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมด ทำให้การหายใจหยุดชะงักเป็นช่วงๆ ในระหว่างการนอนหลับ สมองจะรับรู้ถึงการขาดออกซิเจนและส่งสัญญาณให้ร่างกายตื่นขึ้นเพื่อหายใจ ทำให้เกิดอาการสะดุ้งตื่น หายใจเฮือก หรือสำลัก แม้ผู้ป่วยอาจจำไม่ได้ว่าตื่นขึ้นมา แต่การหยุดหายใจซ้ำๆ นี้ส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับลดลงอย่างมาก

อาการและสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักๆ คืออาการที่เกิดขึ้นในระหว่างหลับและอาการที่เกิดขึ้นในเวลากลางวัน:

1. อาการที่เกิดขึ้นในขณะหลับ (สังเกตได้จากคนใกล้ชิด)

  • กรนเสียงดังและผิดปกติ: นี่คืออาการที่พบบ่อยที่สุดและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการหยุดหายใจขณะหลับ เสียงกรนจะดังมากและไม่สม่ำเสมอ อาจมีช่วงที่เสียงกรนเงียบไปพักหนึ่งแล้วตามด้วยเสียงหายใจเฮือกหรือสำลัก
  • หยุดหายใจเป็นช่วงๆ: คนที่นอนข้างๆ หรือคนในครอบครัวอาจสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยหยุดหายใจไปชั่วขณะ (อาจนานหลายวินาทีถึงนาที) ก่อนที่จะกลับมาหายใจอีกครั้งด้วยเสียงเฮือกใหญ่
  • หายใจเฮือก, สะดุ้งตื่น, สำลัก: การที่ร่างกายพยายามกลับมาหายใจใหม่หลังจากการหยุดหายใจ ทำให้เกิดอาการเหล่านี้
  • กระสับกระส่ายขณะนอนหลับ: ผู้ป่วยอาจพลิกตัวไปมา หรือมีการเคลื่อนไหวผิดปกติขณะนอนหลับ
  • เหงื่อออกมากผิดปกติเวลากลางคืน: เป็นผลมาจากความพยายามของร่างกายในการหายใจ

2. อาการที่เกิดขึ้นในเวลากลางวัน (สังเกตได้จากตัวผู้ป่วยเอง)

  • ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน: แม้จะนอนหลับครบ 7-8 ชั่วโมง แต่ก็ยังรู้สึกง่วงซึมตลอดเวลา ง่วงในที่ทำงาน หรือง่วงระหว่างขับรถ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
  • ปวดศีรษะตอนเช้า: เป็นผลมาจากการที่สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอในระหว่างคืน
  • สมาธิสั้น, ขี้ลืม: การนอนหลับที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง
  • หงุดหงิดง่าย, อารมณ์แปรปรวน: การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอส่งผลต่อภาวะทางอารมณ์
  • ตื่นนอนแล้วรู้สึกไม่สดชื่น: เหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม ไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
  • คอแห้งหรือเจ็บคอตอนเช้า: เป็นผลจากการหายใจทางปากตลอดคืน
  • ความต้องการทางเพศลดลง: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย
  • ตื่นมาปัสสาวะบ่อยผิดปกติในเวลากลางคืน: การหยุดหายใจอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบควบคุมปัสสาวะ

เมื่อไหร่ที่ควรรีบพบแพทย์?

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการอย่างน้อย 2-3 ข้อข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการกรนเสียงดังผิดปกติและมีการหยุดหายใจในขณะหลับ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม การปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือแม้กระทั่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการหลับใน

การทำความเข้าใจอาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถสังเกตและตระหนักถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงทีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในการนอนหลับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


How to จดจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ แบบไม่ให้ลืม

การรู้ความหมายของคำและการจดจำคำศัพท์ให้ได้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนภาษาทุกภาษาบนโลกใบนี้ หากเราไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ เราจะฟัง พูด อ่าน เขียน และเข้าใจภาษานั้น ๆ ไม่ได้เลย การเรียนรู้วิธีการจดจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้มากที่สุด จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ

ฝีกสร้างความจำดี

อย่ากังวลหากคะแนนสอบของเราไม่สูง เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยจะได้ จนพาลคิดไปว่าตัวเองนั้นโง่ จริง ๆ แล้วเรื่องของความจำเป็นทักษะที่พัฒนากันได้ เทคนิคในการช่วยจำมีอยู่หลายวิธี เลือกใช้ให้เข้ากับความชอบของแต่ละคน ก็จะสามารถสร้างความจำดีให้เกิดขึ้นได้

  1. หาสถานที่ที่เรารู้สึกสงบ สบาย ไม่มีสิ่งกวนใจ มีผลทำให้จดจำอะไรได้ง่าย
  2. ใช้เครื่องมือช่วยจำที่เหมาะกับตัวเอง เช่น บางคนชอบจดบันทึก บางคนชอบนึกเป็นภาพ
  3. ฝึกสร้างสมาธิ นั่งนิ่ง ๆ กำหนดจิตให้แน่วแน่วันละ 5 – 10 นาที ทำเป็นกิจวัตร จะทำให้พัฒนาการในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น
  4. ทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราในแต่ละวัน ตื่นเช้ามาทานอะไร วันนี้เจอกับใครบ้าง ทำอะไรไปบ้าง อาจจะพูดกับตัวเอง บันทึกลง Diary หรือพูดคุยกับเพื่อนสนิท การทบทวนจะทำให้สามารถจำสิ่งต่าง ๆ ในระยะยาวได้

เทคนิคช่วยจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

  • อ่านให้มาก อ่านทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ อ่านอะไรก็ได้ที่เราชอบ การ์ตูน เนื้อเพลง เจอศัพท์ที่ไม่รู้ให้วงไว้ และหาความหมายของคำศัพท์ใหม่ทุกคำ อ่านบ่อย ๆ เจอคำซ้ำ ๆ เราก็จะจำได้เอง
  • ฝึกจำเป็นภาพ / หาสิ่งเชื่อมโยง เลิกแปลจากอังกฤษเป็นไทยแล้วให้คิดเป็นภาพแทน เช่น เห็นคำว่า rabbit เราก็ท่อง r-a-b-b-i-t แบบช้า ๆ ออกเสียงอ่านชัด ๆ และนึกถึงภาพกระต่ายน่ารัก ๆ หรือรู้ว่าคำว่า gorgeous คือ งดงาม เราก็นึกถึงผู้หญิงที่เราเห็นว่าสวยที่สุด แล้วสร้างประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ สั้น ๆ เช่น คนที่เรานึกถึงคือเบลล่า เราก็สร้างประโยคในใจขึ้นว่า Bella is gorgeous. เราก็จะจำคำว่า gorgeous ได้อย่างง่ายและแม่นยำ
  • กระดาษโน้ต/ โพสต์อิท เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษลงไปและแปะไว้กับสิ่งของหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ เช่น mirror ก็ติดไว้ที่หน้ากระจกเงา, wardrobe ติดไว้ที่ตู้เสื้อผ้า เห็นทุกวันซ้ำ ๆ จะทำให้จำได้เป็นอย่างดี
  • ฟัง/ดู ภาษาอังกฤษผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งดู การ์ตูน ภาพยนตร์ ฟัง Podcasts, Audiobooks ฟังเพลงที่ชอบ สร้างความคุ้นเคยกับสำเนียงการพูดและได้คำศัพท์ใหม่ ๆ เสมอ
  • ฝึกพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้วพูดถึงสิ่งนั้นเป็นคำภาษาอังกฤษ คำไหนไม่รู้เปิดหาคำภาษาอังกฤษ จะได้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มในทุก ๆ วัน นอกจากนั้นลองฝึกพูดกับเพื่อนไทยคำอังกฤษคำ และเริ่มเป็นพูดอังกฤษทั้งหมดเลยก็ได้ หรือหากมีโอกาสให้ฝึกพูดกับเจ้าของภาษาบ่อย ๆ ก็จะจำคำศัพท์และรู้ศัพท์เพิ่มได้มากขึ้น

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อยสุด จำไว้ได้ใช้ประโยชน์แน่นอน

          การเรียนรู้และท่องจำคำศัพท์เริ่มจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน ร่างกายของเรา สี วัน เวลา ฯลฯ และถ้านอกเหนือจากคำเหล่านั้นแล้ว คำศัพท์ไหนที่จะได้ใช้ประโยชน์จริง ซึ่งเจ้าของภาษาก็ได้แนะนำให้จดจำคำศัพท์ใน “Oxford 3000 key words” คือ 3,000 คำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 70% ที่ใช้อยู่ในทุกวันก็มาจาก 3,000 คำนี้ ดังนั้นถ้าจำ 3,000 คำนี้ได้ภาษาอังกฤษก็จะง่ายขึ้นเยอะ

วิธีจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ Oxford 3000 key words

  1. พิมพ์คำศัพท์ออกมาทั้ง 3,000 คำ ซึ่งจะเรียงตามหมวด A-Z จากนั้นทำเครื่องหมายที่คำศัพท์ที่เรารู้แล้ว
  2. ท่องวันละ 5 คำเป็นอย่างน้อย วันนี้ หมวด A 5 คำ พรุ่งนี้ หมวด B 5 คำ ไล่ไปจนถึง หมวด Z และกลับมาหมวด A ใหม่ ใครจะท่องวันละมากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องไม่ให้มากจนเกินไปจนทำให้เครียดจนสมองไม่รับ
  3. เปิดเสียงคำอ่านของคำนั้น ๆ และฝีกออกเสียงตามไปด้วย อัดเสียงตัวเองและฟังเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษา เพื่อให้เราออกเสียงได้อย่างถูกต้อง

ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ อย่าท้อในการจดจำคำศัพท์ หมั่นทำให้เป็นกิจวัตร ทำตามเทคนิคที่ให้ไว้ รวมถึงการ เรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างแม่นยำจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


คุมเข้ม 1.5 ล้านเซิร์ฟเวอร์ไทยป้องกันแนวรบไซเบอร์สกัดแฮกเกอร์กัมพูชาป่วน

สงครามไซเบอร์ไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบ สกมช.วางมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มระบบที่มีความสำคัญ พบความพยายามโจมตีไทยลดลง วอนเอกชนร่วมมือป้องกันแฮกเกอร์เจาะระบบ ขณะที่กลุ่มแฮกเกอร์ไทยปฎิบัติการโต้กลับ ล่าสุดเข้าโจมตีแฮกเกอร์และแรปเปอร์ชื่อดังกัมพูชา เจาะข้อมูล Apple ID, กระเป๋าเงินดิจิทัล, Facebook และบัญชีคริปโต

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (ลธ.กมช) เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ ไทยเซิร์ต ภายใต้ สกมช.มีการเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ 7×24 โดยดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ในไทยทั้งหมด 1.5 ล้านเครื่อง

ซึ่งสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ช่วงนี้ก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ โดยยังมีความพยายามเข้ามาโจมตีระบบด้วยเทคนิค DDoS (Distributed Denial of Service) ทำให้เว็บไซต์ล่ม แต่โอกาสประสบความสำเร็จลดลง เพราะหน่วยงานไทยมีการเฝ้าระวัง ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้ามาเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ และเอาไปโอเวอร์เคลมบนโซเชียล มีเดียว่าสามารถแฮกระบบได้

แม้ว่าสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์เริ่มลดลง แต่ไทยเซิร์ต ยังมีการเฝ้าระวังตามมาตรการที่วางไว้ต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามุ่งเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ 30 หน่วยงานหลัก เพื่ออัปเดตสถานการณ์ระหว่างวัน และประสานงาน คาดการณ์ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ขณะที่เมื่อเกิดการโจมตี สามารถเข้าระงับเหตุได้ภายใน 5 นาที และการใช้เครื่องมือทางกฎหมายในการป้องกันภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะมาตรา 52 และ 58 ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการดำเนินการในปัจจุบัน

จากการเฝ้าระวังของไทยเซิร์ต และหน่วยงานต่างๆ พบว่า 2 เดือนที่ผ่านมา มีความพยายามโจมตีทางไซเบอร์ในไทย 500 ครั้ง รูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ ที่ผ่านมาจะเป็นการโจมตีด้วยเทคนิค DDoS (Distributed Denial of Service) ที่มุ่งทำให้เว็บไซต์หรือระบบไม่สามารถให้บริการได้ ซึ่งมีตัวเลขประมาณ 1 ล้านครั้ง และเจาะ หรือ แฮกระบบ 5 แสนครั้ง โดยส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีการเฝ้าระวัง และไทยเทคโนโลยีป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความก้าวหน้า’

 ‘ความพยายามของแฮกเกอร์ในแต่ละครั้งนั้นอาจไม่ใช่การโจมตีครั้งเดียว แต่จะมีการพยายามซ้ำๆ ที่มีจำนวนมาก เช่น การโจมตีที่เกิดขึ้นครั้งละหลายพันครั้งจากแฮกเกอร์เพียงคนเดียว ขณะที่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ชอบนำข้อมูลรั่ว ที่เกิดขึ้นในอดีตมาใช้เคลมว่าสามารถเจาะระบบได้ ทั้งที่ความสำเร็จมีน้อยมาก’

นักรบไซเบอร์ไทยปะทะเดือดกัมพูชา

รายงานล่าสุดของ Personar Thailand พบว่ากลุ่ม “KH Nightmare” ของไทยได้จัดการโจมตีแฮกเกอร์และแรปเปอร์ชื่อดังในกัมพูชา โดยสามารถเจาะข้อมูลสำคัญได้หลายประเภท รวมถึง Apple ID, กระเป๋าเงินดิจิทัล, Facebook และบัญชีคริปโตเคอเรนซี่ของเหล่าเป้าหมาย ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการแฮกครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการเงินที่มีมูลค่าสูงอีกด้วย

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า “KH Nightmare”เป็นแฮกเกอร์กลุ่มใหม่ที่เกิดจากการรวมตัวของนักรบไซเบอร์ไทยเพียง 2 วัน แต่มีความเก่งกาจ สามารถปฏิบัติการเจาะระบบของหน่วยงานในกัมพูชาได้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมาได้ออกมาอ้างว่าแฮกข้อมูลจากเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐกัมพูชาได้สำเร็จ รวมทั้งสิ้น 47 หน่วยงาน และสามารถดึงข้อมูลอีเมลของรัฐบาลกัมพูชาออกมาได้มากถึง 800 GB

และวันที่ 28 ก.ค. กลุ่ม KH Nightmare ได้เผยแพร่ไฟล์ข้อมูลจำนวน 2 ไฟล์ ซึ่งอ้างว่าเป็นข้อมูลที่ได้จากการเจาะระบบหน่วยงานของกัมพูชา โดยในชุดข้อมูลดังกล่าวประกอบด้วย: โดเมนเว็บไซต์ทั้งหมด 235 รายการ ชุดข้อมูลบัญชีผู้ใช้ (Credential) รวมทั้ง ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน จำนวน 4,570 รายการ และข้อมูลสัดส่วนของประเภทองค์กร (Industry) ที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 235 โดเมน เช่น ภาครัฐ การศึกษา และเอกชน

 ขณะที่วันที่ 29 ก.ค.กลุ่มแฮกเกอร์ไทยอีกกลุ่ม “Thai Is God” เปิดปฏิบัติการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ ด้วยการปล่อย DDoS ถล่มระบบธนาคารที่ให้บริการในกัมพูชา ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ล่มและบริการออนไลน์หยุดชะงัก ก่อนใช้เวลาช่วงวิกฤติเข้าลักลอบขโมยไฟล์ข้อมูลสำคัญ อาทิ รายชื่อผู้ใช้งาน ประวัติการทำธุรกรรม และเอกสารยืนยันตัวตนออกจากฐานข้อมูลได้สำเร็จ

 แหล่งข่าวจากวงการไซเบอร์ซิเคียวริตี้ กล่าวว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาแฮกเกอร์ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาป่วนไทยต่อเนื่อง หลังไทยมีการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตามสงครามไซเบอร์ ระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มปะทุรุนแรงจริงมีการตอบโต้กันไปมา หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมาแฮกเกอร์กัมพูชาที่ใช้ชื่อว่า National Defensive Cambodia และ Dark Storm Team ได้ออกมาป่าวประกาศว่าได้ทำการโจมตีในลักษณะ DDoS และแฮกเว็บไซต์หน่วยงานราชการไทยหลายแห่ง

หลังจากนั้นโลกไซเบอร์ของไทยมีการเคลื่อนไหว มีการประกาศรวมตัวของนักรบไซเบอร์ไทย เพื่อปฏิบัติการตอบโต้ เริ่มต้นจาก“BlackEye-Thai” ตัดสินใจตอบโต้กัมพูชาด้วยการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่การโจมตีแบบ DDoS ทั่วไป แต่ยังสามารถเจาะระบบและแฮกข้อมูลสำคัญจากหลายเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการกัมพูชา ไม่เพียงแค่การโจมตีเว็บไซต์ราชการเท่านั้น แต่แฮกเกอร์ไทยยังได้ขุดค้นข้อมูลจนสามารถเปิดเผยตัวตนของเจ้าของกลุ่มแฮกเกอร์ฝั่งกัมพูชาอย่าง NXBBSEC ซึ่งเป็นกลุ่มที่อ้างว่าได้แฮกหน่วยงานราชการไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา การสืบสวนและเปิดเผยตัวตนของ NXBBSEC นี้สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อยให้กับแฮกเกอร์กัมพูชา

 ทั้งนี้ไทยยังเกิดกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีการรวมตัวเฉพาะกิจ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. อีกหลายกลุ่มทั้ง “Thai is God” T.R.A.N.C.E Black iron และ “KH Nightmare”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จริงหรือไม่? กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง เสี่ยงเป็นไข้-ชัก-พูดไม่รู้เรื่อง

ห้ามกินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง … จริงหรือ

ในช่วงปี 2533 ในพื้นที่การเกษตรห่างไกลของเวียดนาม บังคลาเทศและอินเดีย ได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้น เพราะเมื่อเข้าใกล้ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ จะมีเด็กป่วยหรือเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ

เด็กที่ป่วย ตอนเย็นจะยังดูมีอาการปกติ แต่ว่าในตอนเช้าวันถัดมาจะมีอาการซึม สับสน พูดคุยไม่รู้เรื่อง บางคนมีไข้ บางคนชัก แพทย์ที่ทำการตรวจในยุคนั้นพยายามตรวจหาสาเหตุไม่ว่าจะจากเชื้อโรค จากสารเคมี จากสารในผลไม้แต่ก็ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน

ในปีถัดๆมา เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทุกปีเมื่อถึงช่วงเดือนพฤษภาคม ชาวบ้านก็จะกลัวกันว่าลูกของตนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป … ที่อินเดีย ได้มีการตรวจเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อ แต่ก็ไม่ชัดเจน มีการควบคุมการใช้ยาฆ่าแมลง และในปี2555มีการฉีดวัคซีนไข้สมองอักเสบขนานใหญ่ แต่ก็ยังพบว่าเด็กๆยังป่วยอยู่ … ซึ่งทำให้เหลือเหตุผลที่เป็นไปได้อีกตัวนึงคือสารในผลไม้

สารในผลไม้ที่สงสัยกันคือสาร hypoglycin A และ methylenecyclopropylglycine ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้เป็นสารพิษในพืชบางชนิด จะไปยับยั้งการสร้างน้ำตาล ยับยั้งการใช้พลังงานจากกรดไขมัน ทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ โดยสารนี้พบในผลไม้จาไมก้าที่ชื่อว่าอัคกี และทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า โรคอาเจียนจาไมก้า

สำหรับผลไม้ที่อยู่ในตระกูลเดียวกันก็คือ เงาะ ลำไย และลิ้นจี่ ก็มีสารนี้มากน้อยต่างๆกันไป

ห้ามกินตอนท้องว่าง???

หลังจากปี 2555 เมื่อพบว่าการฉีดวัคซีนก็ไม่ช่วยอะไร เลยมีการพุ่งเป้าไปที่สาร hypoglycin A ในลิ้นจี่ … และมีการเก็บข้อมูลกันใหม่ โดยเมื่อมีคนป่วยก็ลองรักษาเสมือนมีภาวะน้ำตาลต่ำและตรวจหาสารนี้ไปเลย

ปรากฏว่าผลคือพบสารนี้ในเลือดของคนที่ป่วยจริงๆ

และเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไป ลองถามดู จะได้ลักษณะที่ตรงกันคือ

  1. เป็นเด็ก
  2. มีภาวะขาดสารอาหาร อาหารการกินไม่ดี อดมื้อกินมื้อ
  3. มักจะมีประวัติว่าหายไปในสวนลิ้นจี่ ไปกินลิ้นจี่ทั้งวันจนอิ่ม และกลับมาโดยทั้งวันไม่กินอาหารหรือไม่กินอาหารเย็น

ทั้งนี้ไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคน เพราะเด็กที่ทำแบบเดียวกัน ก็ไม่ได้เป็นก็มี … แต่เนื่องจากหาสาเหตุอื่นไม่เจอและตรวจเจอสารที่เป็นไปได้ในเลือด ดังนั้นก็เลยสรุปว่าเป็นสารพิษในลิ้นจี่

แล้วเราจะทำยังไง

ก็อย่าเพิ่งตื่นตกใจจนเกินไป เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ รายงานชัดๆมาจาก 3 แห่งคือเวียดนาม บังคลาเทศ และอินเดีย เป็นในบางพื้นที่ไม่ได้เป็นทุกที่ และเป็นเฉพาะในเด็กที่มีภาวะขาดอาหารไม่แข็งแรงอยู่เดิม และเป็นแค่บางคนไม่ได้เป็นทุกคนที่กิน

  1. อย่ากินลิ้นจี่ดิบ : เพราะมีสารพิษที่ว่ามากกว่าผลสุกประมาณ 2-3 เท่า
  2. อย่ากินลิ้นจี่อย่างเดียวทั้งวันแทนอาหาร
  3. อย่าขาดสารอาหาร : ในงานวิจัยบอกว่า อาการนี้พบในเด็กที่ขาดอาหาร ยากจน ซึ่งภาวะขาดอาหารจะทำให้มีพลังงานสำรองในตับลดลง

สรุป

สำหรับคนเป็นเบาหวานที่อยากจะกินลิ้นจี่เป็นยาลดน้ำตาล ก็ขอให้เบรกความคิดไว้ก่อนเพราะว่า

– งานวิจัยพบว่า ลิ้นจี่แต่ละลูกมีสารไม่เท่ากัน (ผลลดน้ำตาลเอาแน่นอนไม่ได้)

– ถ้ากินอาหารไปด้วยน้ำตาลก็อาจไม่ต่ำ

– ในผู้ป่วยบางรายพบภาวะไตวายร่วมด้วย

– ที่สำคัญในลิ้นจี่สุกก็มีน้ำตาล ถ้ากินเป็นล่ำเป็นสันและกินอาหารไปด้วย นอกจากน้ำตาลจะไม่ต่ำ เผลอๆได้น้ำตาลสูงแทน

ปล. ลำไยกับเงาะก็มีสารนี้ แต่ก็เหมือนกัน อย่าไปกินเพื่อหวังลดน้ำตาล

เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งตระหนกตกใจมากจนเกินไปนะคะ หากทานลิ้นจี่ที่สด สะอาด สุกกำลังดี และทานอย่างพอดี รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับรองว่าคุณจะสามารถเอร็ดอร่อยกับผลไม้ชนิดนี้ได้ต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 1/08/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,050.0051,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,300.0050,028.0051,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,970.0045,025.20n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,640.0040,022.40n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,485.0022,512.60n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,155.0017,509.80n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,419.6951,842.50n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 1/08/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.5532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4833.1832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.3430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4449.8449.8449.8441.44
เบนซิน 9541.1449.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า